หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนกับเตียงในท่านอนคว่ำหน้าด้วยความรู้สึกหมดแรง ก่อนจะพลิกตัวมองเพดานอันว่างเปล่าพร้อมกับคิดถึงคำพูดของดวงใจก่อนหน้านี้
“พ่อของเรากำลังจะตาย แม่ขอร้องระหว่างนี้จี้ช่วยทำดีกับพ่อเขาหน่อยนะลูก มาหาเขาบ้าง มากินข้าวกับเขาบ้างก็พอแล้ว”
คำขอร้องของผู้เป็นแม่ทำให้จารวีลำบากใจอยู่ไม่น้อย ใช่อยู่..ว่าจารวีไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับพ่อของเธอ แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะเอ็นดูเธอเหมือนลูกตามกฎหมายอย่างฟ้าใส ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พ่อของเธอก็ได้แต่นิ่งเงียบ และสุดท้ายคนที่โดนเอ็ดก็เป็นเธออยู่ดี
“พ่อไม่อยากให้เราทะเลาะกับพี่ฟ้าใส อะไรที่ยอมๆ กันได้ก็ยอมกันบ้างเถอะนะ”
พฤกษ์บอกลูกสาวคนรอง หลังจากที่กลับมาจากที่ทำงานฟ้าใสก็ปรี่เข้ามาฟ้องพ่อของเธอในทันที พฤกษ์เรียกจารวีกับดวงใจมาคุยในห้องทำงาน ยังไม่ทันฟังความทั้งสองฝ่ายผู้เป็นพ่อก็ตัดสินตีความแล้วว่ายังไงจารวีก็ผิดอยู่ดี
“แล้วคุณท่านไม่ถามสาเหตุหน่อยเหรอคะ ว่าที่ทะเลาะกันใครหาเรื่องก่อน”
จารวีเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตากลมร้อนผ่าวกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาเพราะมันจะกลายเป็นเธอที่เป็นฝ่ายแพ้
“พ่อไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกหรอกนะ แต่จี้เป็นน้อง ก็สมควรจะยอมพี่หรือเปล่า”
พฤกษ์พูดเสียงเรียบสบตากับคนตัวเล็ก ผู้ภรรยาส่งสายตาตัดพ้อกับสามีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะไม่อยากทะเลาะกันให้ลูกสาวได้เห็น
“เรื่องอะไรจะยอม จี้ไม่ได้ผิดสักหน่อย คนที่ต้องมาขอโทษจี้ต้องเป็นฝ่ายนั้นไม่ใช่จี้”
“จี้พอเถอะลูก คุณท่านคะ ดวงใจขอโทษแทนจี้ด้วยนะคะ”
ดวงใจรับผิดแทนลูกสาว เธอไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้มากความ
“เลี้ยงดูกันภาษาอะไร ปล่อยให้เถียงผู้ใหญ่ฉอดๆ แม่ดวงใจก็หัดสั่งสอนลูกบ้างนะ ทุกวันนี้มันกำเริบด่าคนอื่นเขาไปทั่ว ฉันพอรู้แล้วว่าทำไมฟ้ารุ่งถึงมาบ่นอยู่เรื่อยว่าเธออบรมสั่งสอนลูกไม่ดี”
หัวเรือใหญ่ของบ้านพูดเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบจดจ้องมองภรรยาที่ส่งสายตาตัดพ้อน้ำตาคลอ
“จี้เป็นแบบนี้ไม่เกี่ยวกับแม่สักหน่อย ถ้าจะด่าให้ด่าจี้ จี้เองก็ใช่ว่าอยากจะอยู่บ้านหลังนี้ให้คนอื่นดูถูกหรอกนะคะ”
“ถ้างั้นแกก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านของฉันอีก โตแล้วไงถึงกล้าเถียงฉันฉอดๆ รู้แบบนี้ฉันเอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เกิดเสียก็ดี”
“คุณท่าน”
จารวีปาดน้ำตาอย่างลวกๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอชินแล้วกับการที่ถูกปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน แต่ถึงจะชินมันก็อดน้อยใจเสียมิได้ ทำไมกันทั้งที่เธอก็เป็นคนในครอบครัวใช้นามสกุลจันทร์จิระสกุลกาลเหมือนกัน แต่กลับถูกปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่น ถ้าเลือกได้จารวีขอไม่ใช้นามสกุลนี้เพื่อให้ใครมาดูถูกอย่างแน่นอน จารวีสะบัดศีรษะไล่ความคิด ก่อนจะลุกไปอาบน้ำอาบท่าเพราะไม่อยากจมกับความทุกข์นาน ยังไงเสียเธอก็เปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดไม่ได้อยู่ดี
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเอาผ้ามาเช็ดผม ได้น้ำเย็นราดศีรษะแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นพร้อมกับเอาโน้ตบุ๊กมาเปิด เช็คการสั่งซื้อสินค้าจากแอปพลิเคชันดัง
“สามสิบสี่รายการเลยเหรอ แพ็คของตอนนี้จะได้นอนตอนไหนล่ะจี้”
พึมพำกับตัวเองเบาๆ เอื้อมมือกดปริ้นใบออเดอร์ของลูกค้า วันนี้เห็นทีได้แพ็คของยันสว่างแน่ๆ แต่ช่างเถอะอะไรที่มันได้เงินจารวีทำได้ไม่มีเกี่ยง
ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาอาชีพเสริมรองจากนักศึกษาจารวีก็เป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ เพราะรูปร่างหน้าตาสวย ปากหวาน ขายเก่ง ทำให้มีผู้ติดตามเธออยู่พอสมควร หลักๆ ในช่องที่จารวีรีวิวอยู่ก็จะเป็นเสื้อผ้าแบรนด์ของตัวเองกับรับงานรีวิวนิดหน่อยพอมีเงินมาจ่ายค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตัวเองได้โดยที่ไม่พึ่งพิงเงินจากบ้านหลังนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นจารวีตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เป็นเวลาเกือบจะตีสองแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จจารวีก็คว้าเอากล่องพัสดุที่จะส่งให้ลูกค้ามาใส่ถุงกระสอบ ก่อนจะแบกมันขึ้นลิฟต์ที่พึ่งซ่อมเสร็จลงไปชั้นล่าง เอาของไว้ตรงที่พักเท้ามอเตอร์ไซต์แล้วขับไปที่ขนส่ง
“มาทุกวันเลยนะ ลูกค้าเข้ารัวๆ เลยล่ะสิ”
พนักงานหนุ่มในชุดฟอร์มของบริษัทเอ่ยทักก่อนที่จารวีวางถุงใบใหญ่ไว้ที่หน้าเค้าน์เตอร์
“ไม่อยากเจอหน้าจี้แล้วหรือไงพี่ไม้”
“อยากเจอสิจ๊ะ ใครจะไม่อยากเจอน้องจี้คนสวยของพี่กัน”
ชายหนุ่มใบหน้ามีตุ่มแดงเต็มสองข้างแก้มถึงกับฉีกยิ้มกว้าง จารวีที่เห็นท่าทางแบบนั้นของพนักงานหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ เธอมาส่งของที่นี่บ่อยจนสนิทกับพี่พนักงานทุกคน
“งั้นดีเลยจ้ะ ต่อไปนี้พี่ไม้จะเห็นหน้าจี้ทุกวันเลย เพราะจี้จะขายของได้ทุกวันไงจ๊ะ”
“พี่เป็นกำลังใจให้นะ ขอให้น้องจี้ของพี่ขายดิบขายดีนะจ๊ะ”
กว่าจะทำธุระของตัวเองเสร็จก็ใช้เวลากว่าสามสิบนาที ก่อนจะรีบขับมอเตอร์ไซต์คันเก่าที่ซื้อต่อจากเพื่อนมาไปยังคณะของตัวเองที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ขับมาประมาณสิบห้านาทีก็ถึงคณะศิลปกรรมซึ่งเป็นคณะที่เธอเรียน เพราะความฝันอยากเป็นดีไซเนอร์ทำให้จารวีเลือกเรียนเอกสาขาการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ เอาวิชาที่เธอร่ำเรียนมาทำแบรนด์เล็กๆที่ชื่อว่า Jaravee ซึ่งเป็นแบรนด์ที่จารวีภูมิใจเป็นอย่างมาก จากที่ไม่มีอะไรตอนนี้แบรนด์ของเธอเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่สาวๆแรกรุ่น
“นี่คนหรือผีดิบเนี่ย”
ปวันรัตน์เอ่ยทักเพื่อนสาว เมื่อจารวีมาถึงก็ฟุบลงไปกับโต๊ะด้วยความง่วง
“ของีบสักสิบนาทีนะ”
“ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตแบบนี้สังขารจะรับได้ไหม”
ปวันรัตน์ หรือ ปั้นแป้งพูดบ่นเพื่อนสาวพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ
“ก็ตอนแรกว่าจะไม่ดึกหรอก ดันมีออเดอร์ล็อตใหญ่มาตอนเที่ยงคืนพอดีเลยอ่ะ”
จารวีพูดเนือยๆ ขณะที่ตายังหลับอยู่ เอาจริงๆ ช่วงนี้จารวีได้นอนเพียงวันละสี่ถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น ไหนจะงานที่มหาลัย ไหนจะงานขายเสื้อผ้า ทำให้เธอแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน
“เดี๋ยวนี้ต้องเรียกคุณจี้หรือเปล่า”
จีรภา หรือ แจม ที่นั่งอยู่ข้างๆปวันรัตน์เอ่ยแซว
“ใช่ว่าขายดีแล้วจะได้เงินเลยนะ ต้องรอให้ลูกค้ารับสินค้าพร้อมกับกดรายการยืนยันอีก อย่างต่ำกว่าจะได้เงินก็อีกสองอาทิตย์ นี่ก็ติดค่าตัดชุดลูกค้าล็อตนี้อยู่เลย โชคดีที่ป้าวันแกยังไม่เอาเงินไม่อย่างนั้นจี้ชักหน้าไม่ถึงหลังแน่ๆ”
จารวีพูดบ่นปัญหาที่เกิดขึ้น แม้นว่าเสื้อผ้าของจารวีจะขายดิบขายดีเพียงใด แต่เงินทุนที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อการสั่งทำสินค้าล็อตใหม่อยู่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่จารวีโชคดีคือการที่เธอได้รู้จักกับป้าเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า แกยอมรับทำชุดของจารวีโดยที่ยังไม่เอามัดจำ ลูกค้าจ่ายเมื่อไหร่ก็ค่อยมาจ่ายแกก็ได้
“แล้วเงินที่พ่อแกส่งให้ใช้ทุกเดือนล่ะ” จีรภาเอ่ยถาม
“เขาไม่ส่งให้จี้มาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าจี้ทำงานได้”
“เขาไม่ส่งให้จี้มาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าจี้ทำงานได้”
“ใช้ได้ที่ไหนกัน แกยังเรียนอยู่ จำเป็นต้องกินต้องใช้นะ”
คิ้วเรียวสวยของปวันรัตน์ขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อได้ยินจารวีเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง จะไม่ให้อารมณ์ของเธอเสียได้อย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายยังโอ้อวดรถคันใหม่ในโซเชียลอยู่เลย
“ทีกับยัยฟ้าใสนั่นยังออกรถใหม่อยู่เลย แต่กับแกแค่เงินค่าหอเดือนละไม่กี่บาทกลับไม่ส่งให้”
ปวันรัตน์พูดอย่างหัวเสีย ก่อนที่จารวีจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจแรง เพราะแบบนี้ไง เธอถึงเข้าใจความหมายกับคำว่ารักลูกไม่เท่ากัน
“ไม่เป็นไรหรอกช่างมันเถอะ จี้เองก็ไม่อยากได้เงินเขาอยู่แล้ว”
พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับจับมือปวันรัตน์บอกว่าเธอไม่เป็นไรจริงๆ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วที่ฟ้าใสจะมีความสำคัญมากกว่าเธอ ส่วนปวันรัตน์เองที่เห็นว่าจารวีเงียบไปก็ลดอารมณ์ลงมา สายตาของเธอบ่งบอกว่าแคร์ความรู้สึกเพื่อนมากเพียงใด
“แป้งขอโทษด้วยนะจี้ แป้งแค่โมโห” ปวันรัตน์พูดเสียงอ่อนลง
“จี้ไม่เป็นไรจริงๆ แป้งไม่ต้องขอโทษหรอกนะ”
จารวีส่งยิ้มให้เพื่อนสาวบอกว่าเธอไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วมันก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด เธอกับฟ้าใสถึงจะใช้นามสกุลเดียวกันแต่ชีวิตต่างกันราวกับฟ้ากับเหว อย่างว่าแหละเขาจะมาเอ็นดูบุตรนอกสมรสได้อย่างไรกัน ลำพังแค่ใช้นามสกุลเดียวกันฝ่ายนั้นก็อ้างถึงบุญคุณอยู่ร่ำไปจนจารวีรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน
สองอาทิตย์ต่อมาจารวีก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ว่าจะเรียนในช่วงเช้าและไลฟ์สดขายของในช่วงกลางคืน วันๆ หนึ่งเธอแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ฝืนร่างกายมาเป็นเดือน จนใกล้ถึงขีดสุด หญิงสาวหอบหิ้วสินค้าตีกลับล็อตใหญ่แบกขึ้นห้องชั้นห้าเหมือนเดิม
ยังไม่ทันได้เปิดประตูห้อง ร่างบางก็ทรุดตัวลงนั่งกับประตู เอามือปิดหน้าตัวเองพร้อมกับสะอื้นจนตัวโยน
ก่อนหน้านี้มีลูกค้ากดสั่งสินค้าล็อตใหญ่ ทำให้จารวีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยขายของได้เยอะเท่านี้มาก่อน และก็เป็นอย่างครั้งก่อน จารวีตัดสินใจที่จะเพิ่มการผลิต แต่เพราะเงินทุนที่ยังบริหารไม่ได้ทำให้เธอบากหน้าไปขอป้าวันให้ตัดเย็บชุดเธอก่อน ทว่าสินค้าล็อตนี้กลับมีปัญหาตีกลับมาจนหมด ทำเอาจารวีถึงกับเข่าทรุดเพราะใกล้ถึงกำหนดชำระค่ามัดจำในอีกสองวันเท่านั้น
“เอ่อ...สวัสดีค่ะคุณลูกค้า โทรจากร้าน Jaravee นะคะ พอดีทางร้านได้รับสินค้าตีกลับ ไม่ทราบว่าลูกค้ามีปัญหาตรงไหนหรือเปล่าคะ”
(....)
“หากคุณลูกค้ามีปัญหาตรงไหนสามารถแจ้งได้เลยนะคะ ทางร้านยินดีปรับปรุง...”
(อีโง่)
ทันทีที่ปลายสายเปล่งเสียงออกมาก็ทำให้จารวีถึงกับนิ่งงันไป เธอจำเสียงนี้ได้แม่น คำด่าทอที่เธอเคยเจอมาสิบกว่าปี คนที่เธอเกลียดชังเข้ากระดูกดำ
“ฟ้าใส”
(หึ พอดีว่าว่างก็เลยกดเล่นๆ ดู ดีใจไหมล่ะ สินค้าล็อตใหญ่ขนาดนี้ ได้ข่าวว่าจ้างคนผลิตแทบไม่ทันเลยล่ะสิ)
ฟ้าใสเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะในลำคอ
“คุณทำแบบนี้ทำไม”
จารวีพยายามควบคุมสติอารมณ์ก่อนที่เธอจะระเบิดออกมาจนต้องเรียกรถแท็กซี่ไปอาละวาดผู้หญิงคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
(ก็สนุกดี หึหึ)
“ถ้าว่างมากก็อยู่เฉยๆ อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น” จารวีพูดเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความโกรธเคือง
(เรื่องอะไรล่ะ ฉันเป็นผู้บริโภค มีสิทธิ์ที่จะไม่รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพของเธอมันก็เรื่องปกติ)
“ฉันให้โอกาสคุณโอนค่าสินค้าภายในห้านาทีนะคุณฟ้าใส”
(ทำไมฉันต้องโอนให้แกละ อีลูกเมียน้อย)
ใบหน้าหวานขบฟันแน่นเมื่อได้ยินคำที่ปลายสายเปล่งออกมา มือเล็กกำหมัดแน่นด้วยความแค้น
“งั้นลูกเมียหลวงอย่างคุณก็เตรียมรอรับหมายศาลได้เลยแล้วกัน”