หญิงสาวใบหน้าสวยหวาน ดวงตาโต ผมยาวสีน้ำตาลเข้ามัดผมอย่างลวกๆ เธออยู่ในชุดกางเกงยีนสั้นสีน้ำเงิน หน้าอกใหญ่เกินตัวถูกบดบังด้วยเสื้อโอเวอร์ไซต์สีน้ำตาลไหม้ที่เจ้าตัวชอบใส่เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของบรรดาเสือ สิงห์ทั้งหลาย มือหนึ่งกำลังลากกระเป๋ากระสอบใบใหญ่ขึ้นไปยังห้องของเธอซึ่งอยู่ชั้นห้า
แฮ่กๆๆๆๆๆๆ
Rrrrr
ควักเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ขณะที่เจ้าตัวยังอยู่ตรงชั้นพักบันได ไอ้ลิฟต์เจ้ากรรมก็ดันมาเสียเอาวันที่สินค้ามาส่งเสียนี่ สุดท้ายจารวีต้องลงไปเอาพร้อมกับลากมันขึ้นมาด้วยอย่างยากลำบาก หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อว่ามีใครโทรเข้ามา ก่อนที่นิ้วเรียวจะกดรับสาย
“จ้ะแม่”
(ทำอะไรอยู่ลูก)
“จี้ลงมาเอาของน่ะแม่”
(หยุดไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่มาหาแม่บ้างล่ะ)
ปลายสายส่งเสียงตัดพ้อ ทำให้จารวีถอนหายใจแรงพร้อมกับทิ้งถุงแสนหนักอึ้งลงบนพื้น
“งั้นแม่มาหาจี้ที่หอเถอะ เดี๋ยวจี้โอนค่าแท็กซี่ให้”
(ลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้วันเกิดคุณท่าน เขาถามหาลูกด้วยนะ)
ปลายสายพูดเสียงเบา ทำไมจารวีจะไม่รู้ว่าแม่คงแอบมาคุยข้างนอกเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน
“แต่จี้ไม่อยากไปเหยียบบ้านนั้นแม่ก็รู้” จารวีตอบตามตรง “แม่ออกมาเถอะ จี้เลี้ยงดูแม่ได้ ตอนนี้จี้ขายของออนไลน์พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง”
(แล้วพ่อล่ะ จี้ไม่ห่วงพ่อบ้างหรือไง ท่านจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีพวกเรา)
ทุกครั้งที่ชวนแม่ออกมาอยู่ข้างนอก แม่จะหยิบยกเรื่องนี้มาอ้างตลอด
“คุณท่านเขามีครอบครัวแล้ว เราคือส่วนเกินนะแม่”
จารวีพูดย้ำ เธอเชื่อว่าต่อให้มีพวกเธออยู่ พ่อของเธอก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นได้
ตั้งแต่เด็กจนโตจารวีถูกทุกคนกล่าวหาว่าเป็นลูกเมียน้อยมาโดยตลอด ในตอนนั้นเธอไม่เคยเข้าใจความหมายพวกนี้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่พอโตขึ้นเธอเข้าใจแล้วว่ามันความรักรูปแบบหนึ่ง แต่มันผิดศีลธรรมของศาสนาที่ถือคติผัวเดียวเมียเดียว
(ฮึก แม่ขอโทษที่ทำให้จี้ลำบากใจ ฮึก)
ปลายสายสะอื้นเสียงสั่น เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่จารวีหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แม่ของเธอก็จะบีบน้ำตาจนจารวียอมใจอ่อนทุกครั้งไป
“งั้นก็ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวอีกชั่วโมงจี้ไปหา แต่จี้ขอไม่อยู่ที่นั่นนานนะคะ”
(จ้ะๆ เดี๋ยวแม่บอกคุณท่านให้นะว่าลูกจะมา ท่านคงดีใจที่ได้เจอหน้าลูก)
จารวีถอนหายใจยาวเมื่อวางสายไปแล้ว ก่อนที่เธอจะกลับมาลากกระเป๋ากระสอบขึ้นไปเก็บบนห้องให้แล้วเสร็จ
จารวี จันทร์จิระสกุลกาล หรือ จี้ ในวัยยี่สิบปี หญิงสาวตัวเล็กสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซน ดวงกลมโตที่เป็นเอกลักษณ์ ผมยาวหน้าม้าย้อมผมสีน้ำตาลดูน่ารักราวกับตุ๊กตา ใครจะรู้ว่าภายใต้นามสกุลดังเธอเป็นเพียงลูกนอกสมรสเท่านั้นเอง
เพราะจารวีเติบโตมากับคำดูถูก มันทำให้เด็กสาวคนนึงโตมาอย่างแข็งแกร่งและทนกับคำดูถูกพวกนั้นได้ดี เธอมีความฝันว่าอยากจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆกันสองคนแม่ลูก เพราะมีความฝันอันยิ่งใหญ่ทำให้จารวีต้องต่อสู้ทำงานตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย พอจบมอปลายเธอก็ย้ายออกมาอยู่ที่หอพักเพื่อตัดความรำคาญของสองแม่ลูกคู่นั้น
“เฮ้อ...สงสัยต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่อีกแล้วสินะ”
เสียงแหลมเล็กของใครบางคนทำให้จารวีต้องหยุดชะงักฟัง
“แต่งตัวอย่างกับเด็กใจแตก สงสารแต่พ่อเรานั่นแหละ อุตส่าห์เสียเงินเสียทองส่งมันเรียนแท้ๆ”
คุยกันอยู่สองคนแต่ในการสนทนาจารวีรู้ได้ทันทีว่าสองแม่ลูกกำลังพูดแขวะเธออยู่ ด้วยนิสัยไม่ยอมใครทำให้เธอตัดสินใจที่จะแวะทักทาย สองแม่ลูกเสียหน่อย
“สวัสดีค่ะคุณนายฟ้ารุ่งกับคุณฟ้าใส ไม่เจอกันนาน ปากยังเหมือนเดิมเลยนะคะเนี่ย”
จารวีเอ่ยทักสองแม่ลูกที่นั่งเม้าท์อยู่ตรงโซฟา ทำเอาคนทั้งคู่ถึงกับย่นคิ้ว
“กูก็นึกว่าเสนียดจะหลุดออกจากบ้านกูไปแล้ว นี่อะไรอยู่ๆก็โผล่มา เงินหมดหรือยังไง หรือว่าท้องไม่มีพ่อต้องซมซานกลับบ้าน บอกเลยว่ากูไม่เอาหรอกนะ”
คุณนายฟ้ารุ่งพูดพร้อมกับเชิดหน้าปรายตามองคนที่เธอแสนชัง เด็กอะไรไร้มารยาทสิ้นดี
“คุณนายดูละครหลังข่าวมากเกินไปหรือเปล่าคะ เพลาๆ บ้างนะคะจี้เป็นห่วง”
จารวีเอามือกอดอก ก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าแต่จะให้เธออยู่เฉยๆ โดนด่าฟรีๆ ก็คงไม่ใช่จารวี
“อีจี้มึงด่าแม่กูเหรอ”
ฟ้าใสที่ได้ยินก็ลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล ก่อนจะชี้หน้าคนที่ยืนไม่รู้ร้อนรู้หนาว จารวีเบะปากคว่ำกลอกตาขึ้นบน ก็เพราะแบบนี้ไงเธอถึงไม่อยากมาเหยียบที่นี่เลย
“จำได้ว่าไม่มีคำไหนด่าแม่ของคุณเลยนะคะ ถ้ามีหูไว้ขั้น 'สมอง' อย่างเดียว จี้ว่าไม้แคะหูอันละไม่กี่บาทก็คงซื้อได้”
“กรี๊ด อีจี้ อีเวรตะไล”
“แม่ขอได้ไหมจี้ อย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลย พ่อรู้จะลำบากใจซะเปล่าๆ นะ”
ดวงใจเอ่ยกับลูกสาวหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปะทะคารมสองแม่ลูกนั้นเสร็จ สุดท้ายแล้วก็เป็นดวงใจที่ต้องเข้าไปห้ามศึกไม่ให้เรื่องมันบานปลายก่อนสามีของเธอจะกลับมา
ตอนนี้ทั้งสองมาคุยกันที่เรือนหลังเล็กซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ บ้านไม้สองชั้นที่จารวีอยู่มาแต่อ้อนแต่ออกบัดนี้เริ่มทรุดโทรมไม่ได้รับการรีโนเวทเลย รอบบ้านรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่เจ้าของเรือนตั้งใจปลูกให้ร่มรื่น บ้านช่องดูสะอาดสะอ้านตาเพราะเจ้าของดูแลเรือนเป็นอย่างดี
“แม่ห่วงแต่ความรู้สึกพ่อ แล้วจี้ล่ะ...แม่เห็นเป็นห่วงความรู้สึกของจี้บ้างหรือเปล่า”
เพราะอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ทำให้จารวีเผลอขึ้นเสียงใส่มารดา ทว่าดวงใจไม่ได้โกรธเคืองลูกสาวเลยหนำซ้ำยังคว้ามือเล็กมากุมไว้
“แม่ขอโทษที่ทำให้จี้ลำบากใจนะ แต่แค่เวลานี้เท่านั้น ลูกช่วยมาที่บ้านบ่อยๆ ให้คุณท่านเห็นหน้าได้ไหมลูก”
ดวงใจพูดเกลี้ยกล่อม ขอเพียงแค่ช่วงนี้เท่านั้นที่เธออยากให้จารวีกลับบ้าน ท่าทางของจารวีเองก็ลำบากใจ เธอไม่อยากมาที่นี่ให้ใครมาเหยียบย้ำศักดิ์ศรีเธออีกแล้ว
“ทำไมแม่อยากให้จี้มาที่นี่คะ แม่ก็รู้ว่าจี้ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก ลำพังแค่สิบกว่าปีที่ทนมามันยังไม่พออีกหรือไง”
หญิงสาวพูดอย่างเหลืออด ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ว่าทำไมแม่ถึงต้องทนอยู่ให้คนอื่นมาเหยียบย้ำศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ หากนั่นคือความรักของแม่มันไม่ควรเอาเธอมาเกี่ยวข้อง เธออายุยี่สิบปีบรรลุนิติภาวะแล้ว จารวีควรชีวิตเป็นของเธอเอง
“จี้ฟังแม่นะ”
“...”
“พ่อของเรากำลังจะตาย”
หญิงวัยกลางคนน้ำตาคลอเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ อันที่จริงเธอรู้มาได้สักพักแล้วว่าสามีกำลังป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย แม้นว่าพฤกษ์สามีของเธอจะขอไม่ให้บอกใคร แต่เธอก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้จารวีได้รับรู้
แม้ว่าภายนอกพฤกษ์จะดูแข็งแรงแต่นั่นมันก็แค่การแสดงละครเพื่อไม่ให้ทุกคนขวัญเสียเพราะกำลังจะขาดหัวเรือใหญ่ไป ร่างกายที่เคยมีกล้ามเนื้อเหลือเพียงแต่กระดูก ทว่าคุณนายฟ้ารุ่งผู้เป็นภรรยากลับมองข้ามเรื่องนี้ไป อีกฝ่ายเป็นเมียตบเมียแต่งที่เขาไม่ได้รัก ส่วนคนที่รักกลับมีฐานะต่ำต้อยจนมิอาจจะอยู่ร่วมกัน สุดท้ายคนเห็นแก่ตัวนั้นก็คือพฤกษ์ที่ยังรั้งให้ดวงใจอยู่กับเขาจนถึงวันนี้
“มะ แม่ว่าไงนะ”
ดวงใจถอนหายใจแรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องอาการป่วยของสามี ขณะที่จารวีได้ฟังเธอก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยว่าคนที่รักษาสุขภาพตัวเองมาโดยตลอดกลับป่วยหนักขึ้นมาดื้อๆ
“แม่ขอล่ะจี้ ฮึก ถือว่าทำบุญเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”
ดวงใจพูดขอร้องลูกสาวเสียงสะอื้น เมื่อนึกถึงเรื่องการป่วยของสามี จารวีเห็นผู้เป็นแม่เสียใจก็อดที่จะเข้าไปปลอบเสียมิได้ เธอรู้ว่าดวงใจรักสามีของเธอมาก ก็เหมือนที่เธอก็รักพ่อของเธอมากเช่นกัน
“จี้จะพยายามแล้วกัน”
ทางด้านอีกฝั่งเจ้าของดวงตาคมกริบ ใบหน้าคมคราม คิ้วดก ริมฝีปากหนา กำลังเอานิ้วเคาะที่โต๊ะพร้อมกับจ้องมองเอกสารตรงหน้า เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือหรูเป็นพักๆ ก่อนจะตัดสินใจปิดแฟ้มงานลงพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้ราคาแพงคว้าเอาเสื้อกาวน์สีขาวแล้วรีบเดินออกไปจากห้องอย่างรีบเร่ง
“คนไข้ของผมวันนี้หมดแล้วใช่ไหมครับ”
ภวินท์เดินออกมาถามกับธเนศ เลขาหน้าห้องที่เขาจ้างมาดูแลทั้งงานโรงพยาบาลและงานอื่นๆ ชายหนุ่มกวาดตาที่จอโน้ตบุ๊กมั่นใจแล้วว่าวันนี้คงไม่มีเคสด่วนเข้ามากะทันหันจึงเอ่ยกับนายออกไป
“ครับ...แต่ว่าวันนี้คุณวินมีนัดทานข้าวกับคุณไมเคิลตอนสองทุ่มที่ร้านอาหาร XXX นะครับ”
ธเนศพูดบอกเจ้านาย ก่อนที่ร่างสูงจะพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปขึ้นรถที่มาจอดรออยู่ที่หน้าตึกทำงานของเขาแล้ว
ภวินท์ พิพัฒน์ชานนท์ หรือที่ใครๆ เรียกเขาว่า หมอวิน ลูกเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ทว่าเบื้องหลังกลับเปิดรักษาให้บรรดาพวกมาเฟีย กอบโกยรายได้เดือนๆ หนึ่งมากกว่าการเปิดโรงพยาบาลหลายสิบเท่า
“มาเที่ยวทำไมทำหน้าบึ้งอย่างนั้นล่ะไอ้วิน”
ไมเคิลเอ่ยถามภวินท์หลังจากที่ลอบสังเกตว่าหมอหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งย่านกลางกรุง ไมเคิลเป็นคนอังกฤษและเป็นหมอเหมือนกับวิน เขาตัดสินใจลาพักร้อนเพื่อมาเที่ยวที่ไทยเพราะเห็นรีวิวในเพจต่างๆ ว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมีแหล่งท่องเที่ยวเกือบทุกจังหวัด
“ไม่ให้เครียดได้ไงวะ แม่กูบอกว่า ถ้ากูไม่แต่งงานภายในปีนี้ เขาจะเลือกเจ้าสาวให้กูเอง”
ไมเคิลที่กำลังยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มแทบสำลัก ดวงตาสีน้ำทะเลมองเพื่อนร่างสูงด้วยความไม่เข้าใจในความหมาย ทำไมแม่ของภวินท์ต้องบังคับให้เขาแต่งงานทั้งที่เขาไม่ได้เต็มใจ
“ทำไมเป็นงั้น”
“ก็บ่นอยากเห็นกูสร้างครอบครัว แต่ไม่ถามความคิดเห็นกูสักคำ”
“กูไม่เข้าใจ ประเทศนี้ยังมีการคลุมถุงชนอีกงั้นเหรอ?”
ไมเคิลเอ่ยถามไม่อยากเชื่อหู ประเพณีที่แสนคร่ำครึใช่ว่าประเทศของตัวเองจะไม่มี มันหมดยุคหมดสมัยการคลุมถุงชนไปนานแล้ว
“ไม่มีแล้ว”
“งั้นจะแคร์ทำไมวะ มึงไม่ทำตามซะอย่าง”
ก็จริงอย่างที่ไมเคิลพูด ภวินท์ไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมีใคร แต่ตอนนี้สิ่งที่ภวินท์สนใจอย่างเดียวก็คือการทำงาน เขายังสนุกกับชีวิตโสด แต่เขาก็ไม่อยากให้ผู้เป็นแม่เสียใจ
“แต่กูไม่อยากเห็นเขาเสียใจ”
“งั้นก็แค่ใช่เงินตัดสินปัญหาสิวะ”
ไมเคิลออกความคิดพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ขณะที่ภวินท์มีสีหน้าเรียบนิ่ง คิดอยู่ชั่วครู่ เขารู้ว่าที่ไมเคิลพูดมาเมื่อสักครู่หมายความว่าอย่างไร
“น่าสนใจ”
Comments