16:00น.
คาเฟ่A ไอริส อันฤดี….. “คุณแม่….สวัสดีค่ะ…”ฉันยกมือไหว้สวัสดีคุณแม่ของลูกหว้าด้วยท่าทางเคารพท่านที่ท่านยืนประจำตำแหน่งเคาน์เตอร์ของร้านแทนที่ของยัยลูกหว้าที่เธอจะต้องยืนประจำอยู่ทุกวัน “อ้าว…หนูไอสวัสดีจ้า^_^”คุณแม่ของลูกหว้ารับไหว้ฉัน ฉันก็ยิ้มให้ท่าน ฉันสนิทกับท่านเพราะฉันจะมาหายัยลูกหว้าเป็นประจำแต่วันนี้กลับแปลกไปที่เธอหายไปไหนไม่ได้มาทำงานหน้าเคาน์เตอร์ของเธอเหมือนทุกที “ยัยลูกหว้านอนอยู่บนห้องน่ะจ้ะ…หนูจะขึ้นไปหาไหม?” “ลูกหว้าไม่สบายเหรอคะ?” “น่าจะทำนองนั้นจ้ะ…หนูไอเดินขึ้นไปหาเลย…” “ได้ค่ะแม่…ขอบคุณนะคะ…” “จ้า^_^”ฉันยกมือไหว้ลาคุณแม่ของลูกหว้าและเดินหมุนทิศทางไปยังบันไดที่อยู้ด้านหลังของห้องครัวเพื่อจะขึ้นไปหายัยลูกหว้า บ้านของเธอด้านล่างถูกเปิดเป็นคาเฟ่ส่วนด้านบนเป็นที่พักอาศัยของลูกหว้าและแม่ของเธอ ฉันที่มาบ้านของเธอบ่อยจึงรู้ว่าห้องของลูกหว้าอยู่ตรงไหนจึงรีบมุ่งเดินไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง ก๊อกกกกก “ลูกหว้า”ฉันเคาะประตูและเอ่ยเรียกชื่อของเจ้าห้องไปด้วย แต่ก็ไร้การตอบกลับได้ยินแต่เสียงของโทรทัศน์ดังแว่วออกมา “เราเข้าไปนะ…”ฉันเอ่ยบอกเธอและเอื้อมมือไปหมุดประตูลูกบิดและเปิดเข้าไปเลย ก็เห็นยัยลูกหว้ากำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนเตียงนอนสีขาวของเธอ สายตาของเธอจับจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์จอแบนขนาดสามสิบเมตรที่กำลังฉายภาพการแสดงคอนเสิร์ตของวงอะไรสักวงและก็มีคนกำลังพูดว่าลาออกจากวงนั้นยิ่งทำให้ยัยลูกหว้าร้องไห้หนักมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก มันเศร้าตั้งแต่เมื่อคืนที่ฉันโทรให้มันไปรับฉันที่สวนสาธารณะแล้ว และนี่วันใหม่แล้ว ยังไม่เลิกเศร้าโศกเสียใจอีกเหรอ “ฮืฮๆๆๆๆๆๆ” “แกเป็นอะไรยัยลูกหว้า?”ฉันเอ่ยถามลูกหว้าไปอย่างตกใจและรีบร้อนไปจับร่างของเธอ พรึบ “ยัยไอ….ก็ท่านไดร์ฟของฉันน่ะสิ…อยู่ดีๆก็ประกาศลาออกจากวง…” “ฮืฮๆๆๆๆเพราะอะไร….ใครทำอะไรไดร์ฟของฉัน!!”เธอเอ่ยออกมาเสียงเข้มแววตาดุดันอย่างไม่พอใจ ฉันก็มองไปยังในจอโทรทัศน์และมองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงกลางเวทีด้วย หน้าตาของเขาหล่อเหลาผิวขาวเปล่งออร่าแต่แววตาเศร้าสร้อยและการแต่งตัวที่เหมือนกันกับผู้ชายคนเมื่อคืนนี้ “เขาลบบัญชีไอจีของเขาทิ้ง…” “ลบบัญชีทวิตเตอร์” “ลบทุกอย่างที่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเขาได้….” “ฮืฮๆๆๆๆ”ยัยลูกหว้าพร่ำเพ้อพร้อมร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง หน้าตาของเธอบวมแดงขอบตาแดงช้ำจนน่าสงสารฉันก็ทำได้เพียงแค่กอดปลอบโยนเธอและลูบแผ่นหลังของเธอไปอย่างทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไดร์ฟแห่งTHE PRINCEคือผู้ชายคนเมื่อคืนเหรอ เจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ใช่ไหมคือคนที่วิ่งชนฉันและทำโทรศัพท์ของฉันแตก ดูจากอาการของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นโรคซึมเศร้านะ “ไดร์ฟ…เปลี่ยนไปจากเดิมใช่ไหม?”ฉันเอ่ยถามลูกหว้าไป เธอก็ค่อยๆดันร่างของเธอออกไปจากอ้อมกอดฉัน “สูดดด…ใช่…หลังๆมาไดร์ฟออกสื่อน้อยมาก…พูดก็น้อยลง…”ลูกหว้าสูดขี้มูกเอามือเช็ดน้ำตาของเธอก่อนจะเอ่ยตอบฉันมา ฉันก็มองหน้าเธออย่างรอฟังคำพูดของเธอต่ออย่างตั้งใจฟัง “ไม่โพสต์เพลง…หรืออะไรเลย…ซึ่งมันผิดแปลกไปจากเดิมของเขามาก” “เขาอาจจะกำลังป่วยอยู่ก็ได้….”ฉันโผงออกไป ลูกหว้าก็จ้องฉันตาเขม่นอย่างไม่เชื่อในคำพูดของฉัน “ไม่จริงหรอก….ถ้าไดร์ฟป่วย…ทางต้นสังกัดคงจะแจ้งข่าวไปแล้ว…”เธอเถียงฉันกลับอย่างมีเหตุผล นั่นน่ะสิ ถ้าเขาป่วยจริง ก็คงจะเป็นข่าวไปแล้วสิ แต่ฉันมั่นใจว่าอาการของเขา เป็นอาการของคนที่ป่วยเป็นซึมเศร้าแน่ๆ “เมื่อกี้ฉันฟัง…เขาบอกว่ามันเป็นแค่คอนเท้นต์และเดี๋ยวเขาจะจัดคอนเสิร์ตให้กับผู้ที่ซื้อบัตรเมื่อวานนี้ได้เข้าชมอีกครั้ง…แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่….”เสียงของลูกหว้าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าลงปะปนไปกับอาการโล่งใจ บางทีฉันไม่ควรจะพูดในสิ่งที่ฉันรู้ไม่จริงจะดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้ไดร์ฟเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้ เพราะทางต้นสังกัดเขาแถลงข่าวแบบนั้น ก็คงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างแหละ ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งดีกว่าเพราะมันไม่ใช่เรื่องของฉันหนิเนอะ “แกชอบไดร์ฟมากเลยเหรอ?”ฉันเอ่ยถามลูกหว้าไปพลางมองไปรอบๆห้องนอนของเธอที่มีรูปภาพของไดร์ฟติดอยู่ทั่วทุกมุมผนังของห้อง รวมไปถึงกรอบรูปที่มีแต่รูปภาพของไดร์ฟวางอยู่ทั่วทุกมุมของห้องอีกด้วย ฉันก็ว่าแล้วว่าทำไมหน้าเขาดูคุ้นๆเหมือนฉันเคยเห็นที่ไหนก็จะไม่ให้ฉันเห็นบ่อยได้ไงก็ยัยลูกหว้าคลั่งไคล้ไดร์ฟมากขนาดไหนน่ะ ถ้าฉันบอกเธอว่าเบอร์ที่ฉันใช่โทรหาเธอเมื่อคืน คือเบอร์โทรศัพท์ของไดร์ฟราชาแห่ง THE PRINCEน่ะมีหวังยัยลูกหว้าช็อคตายคาบ้านเธอแน่ “ใช่….” “เขาหล่อหนิเนอะ…”ฉันว่าต่อ “ความหล่อของไดร์ฟก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบเขามาก….แต่ที่ตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น…” “คือไดร์ฟมีความสามารถและความขยันความอดทนมากเขาแข่งขันและทุ่มเทกับเพลงแร็พและเพลงร็อคจนสามารถชนะและได้เดบิวต์มาเป็นสมาชิกหนึ่งในวง THE PRINCE…ได้….”ลูกหว้าว่าไปพลางยิ้มกว้างไปด้วยแววตาที่เธอพูดถึงไดร์ฟดูเป็นประกายแวววาวเหมือนเด็กสาวที่ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง นี่ฉันได้พล็อตนิยายอีกแล้วเหรอเนี่ย ศิลปินกับแฟนคลับของเขาอิอิ^^ “แกยิ้มแบบมีเลศนัยแบบนี้?”ยัยลูกหว้าหรี่ตามองหน้าฉันอย่างจับผิด “อะไรยะ?”ฉันถามยัยลูกหว้ากลับทีี่เธอชี้หน้าฉันและจับทางฉันได้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ พรึบ “ฉันนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าไปที่สำนักพิมพ์…ฉันไปก่อนนะ…” “ไว้เจอกัน….”ฉันเอ่ยออกมาอย่างรีบร้อนและลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้ของฉันเพื่อจะหนีจากแววตาจับผิดของยัยลูกหว้า มีหวังยัยลูกหว้ารู้ว่าฉันกำลังจะเอาเรื่องราวของเธอที่ตกหลุมเมนตัวเองไปเขียนเป็นนิยายน่ะมีหวังมันเอาฉันตายแน่ “บ๊ายยยยย”ฉันโบกมือลายัยลูกหว้าและรีบวิ่งออกจากห้องของเธอมาอย่างไว ฉันสวัสดีคุณแม่ของลูกหว้าและรีบวิ่งออกมาจากร้านคาเฟ่ของยัยลูกหว้าทันทีเพื่อจะไปหาสถานที่เงียบๆเพื่อนำจินตนาการของฉันเป็นตัวอักษร^_^“ค่อยๆนะคะ…ไอกลัวเจ็บ…”ฉันเอ่ยบอกไดร์ฟไป เขาที่มองจุดเชื่อมของเราอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ไอกลัวเจ็บ…แต่ไดร์ฟกลัวทำไม่เป็น…”ไดร์ฟตอบพร้อมใบหน้าเศร้าลง แววตาของเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด“ไอก็ทำไม่เป็น….เราจะทำไปพร้อมๆกันไงคะ…”“ครับ….”“ใส่เข้ามาสิคะ….”“ครับ…”ไดร์ฟตอบรับคำฉันและค่อยๆดันลำกายใหญ่ที่มีขนาดใหญ่โตเท่าท่อนเเขนของฉันเข้ามาในร่องสวาทของฉันอย่างช้าๆ“อื้ออออ!!”ฉันกัดริมฝีปากล่างด้วยความเจ็บจี๊ดที่แก่นกายความเป็นสาวในขณะที่ไดร์ฟดันท่อนเอ็นร้อนของเขาเข้ามาได้เพียงแค่ส่วนหัวยังไม่ถึงกลางลำเลยฉันก็เจ็บปวดมากขนาดนี้ เพราะด้านในของฉันถึงจะมีน้ำหล่อลื่อไหลออกมาตลอดแต่ฉันยังเวอร์จิ้นอยู่ช่องทางรักของฉันมันจึงคับแน่นไม่ยอมเปิดทางให้สิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายๆ“เจ็บเหรอครับ….”ไดร์ฟถามฉันเสียงทุ้มนุ่มละมุน ที่เขาเห็นว่าฉันสั่นสะท้านไปทั้งร่างขาทั้งสองข้างของฉันสั่นระริก“อืม!”ฉันพยักหน้าตอบไดร์ฟไปพร้อมกับใบหน้าเหยเก ไดร์ฟก็ก้มหน้าลงมาหาหน้าอกของฉันและจัดการใช้ปลายลิ้นร้อนแตะลงบนยอดปทุมถันของฉันและตวัดปลายลิ้นสากที่ร้อนรุ่มของเขาขึ้นลงสร้างค
ไอริส อันฤดี…. พรึบฉันเอนตัวลงนอนราบไปบนที่นอนของไดร์ฟหลังจากที่ฉันกับไดร์ฟช่วยกันใช้กระดาษทิชชูเช็ดชำระน้ำรักของไดร์ฟที่เลอะเปรอะเปื้อนที่หน้าของฉันออกไปจนหมดแล้ว“มาสิคะ….”ฉันเอ่ยเชื้อเชิญไดร์ฟอย่างหน้าไม่อาย ซึ่งฉันเองก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สิหรือตัวตนจริงๆของฉันเป็นแบบนี้นะพรึบ“ไอริส….”ไดร์ฟเรียกฉันเสียงแหบพร่าแววตาสีดำเข้มของเขาสั่นไหวเล็กน้อยและจับจ้องมาที่ความเป็นสาวของฉันที่มีผ้าสีขาวปกปิดอยู่อย่างไม่วางตา สายตาของไดร์ฟทำให้ฉันใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา“น้ำของไอ…เยอะจัง…”ไดร์ฟเอ่ยเสียงอ่อนพลางละสายตาจากความเป็นสาวของฉันขึ้นมามองหน้าฉัน ฉันก็คลี่ยิ้มละมุนให้เขาก่อนจะค่อยๆจับกางเกงจีสตริงที่เป็นบิกินี่ของฉันให้มาอยู่รวมกันตรงใจกลางกลีบกุหลาบของฉัน ความเป็นสาวที่เนื้อนูนโหนกอวบอูมไร้ขนนุ่มปกคลุมถูกเนื้อผ้าบางแนบติดไปจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างชัดเจน“อื้ออออ”ฉันครางเสียงหวานอย่างเสียวซ่านเมื่อใช้ปลายนิ้วชี้ของตัวเองแตะสัมผัสลงบนใจกลางกลีบกุหลาบงามของฉันพร้อมกับเกี่ยปลายนิ้วเล่นกับคริสตอริสติ่งเสียวของตัวเองจนร่างของฉันสะท้านไปทั้งร่างด้วยความเสียว แต่ฉันคิดว่ามันยังเสียว
“แผล๊บๆๆๆ…”“อะไอ..มันสกปรกนะครับ!”ไดร์ฟร้องเสียงหลงและตกใจที่ไอริสยื่นปลายลิ้นเล็กของเธอออกมาตวัดเลียไปรอบๆแท่งท่อนเอ็นยักษ์ของเขาอย่างไม่รังเกียจ“ไอไม่รังเกียจหรอกค่ะ…ไดร์ฟจะได้มีความสุขไง…”ไอริสเงยหน้าและเอ่ยบอกไดร์ฟ ไดร์ฟก็มองหน้าเธออย่างสงสัยและเป็นห่วงเธอที่จะใช้ลิ้นปรนเปรอความเป็นชายให้เขา“ทำแบบนี้….มันมีจะความสุขมากจริงๆเหรอ?”ไดร์ฟถามไอริสตาใสแป๋วอย่างหนุ่มอ่อนประสบการณ์“ไดร์ฟไม่เคยช่วยตัวเองเหรอคะ?”ไอริสถามไป เธอถามเขาด้วยแววตานิ่งเฉยไม่ได้ตกใจและไม่ได้อายเธอทำเหมือนเจนจัดเรื่องอย่างว่า ทั้งที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีประสบการณ์อะไรเลย แต่เธอเป็นพวกมีพรสวรรค์จินตนาการติดตัวมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอแต่งนิยายและโด่งดังในหมวดนิยายอีโรติก“มะไม่เคย…”ไดร์ฟตอบไอริสไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างเขินอาย แต่มันคือความจริงว่าเขาไม่เคยช่วยตัวเองจริงๆมีก็แต่ตอนอายุสิบห้าที่เขาฝันเปียกแค่ครั้งเดียวเพราะเขาไม่ได้มีเวลามาคิดเรื่องอย่างว่า ชีวิตของเขาก็ทุกข์ทนมากพออยู่แล้ว ทุกวันเขาคิดแค่หาวิธีเย้ยหยันคนเป็นพ่อแค่นั้นเอง“งั้น….เดี๋ยวไอจะทำให้ไดร์ฟเองค่ะ…ไดร์ฟนอนเฉยๆก็พอ…”ไอริสยิ้มละมุนหวานให้ไดร์ฟ เขาก็พยัก
พรึบ “ไดร์ฟคะ….”เสียงหวานกระเส่าครวญครางที่ข้างหูของไดร์ฟพร้อมกับใช้ปลายจมูกโด่งของเธอซุกไซ้คลอเคลียไปกับซอกคอขาวของเขา ทำให้ร่างหนาของไดร์ฟสั่นสะท้านด้วยความสยิว เขาหลับตาพริ้มซู้ดปากขึ้นอย่างเสียวซ่านเมื่อลมหายใจอุ่นๆเป่ารดต้นคอของเขา“ไอริส….”ไดร์ฟเอ่ยเรียกชื่อผู้หญิงที่นั่งอยู่บนตักเขาเสียงแหบพร่าเช่นกัน มือหนาของเขาลูบไล้ไปตามสัดส่วนที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอ“อื้ออออ”ไอริสครางเสียงหวานอย่างเสียวซ่านเมื่อเธอไปเบียดเสียดเรือนร่างที่ท่อนบนเปลือยเปล่าของเธอไปกับแผงอกแกร่งที่ไร้เสื้อผ้าปกปิดของไดร์ฟทำให้ยอดปทุมถันสีชมพูสดหวานของเธอที่เริ่มแข็งชูชันและไวต่อความรู้สึกเสียดสีไปกับเนื้อเนียนของร่างหนาทำให้ภายในใจของทั้งคู่เต็มไปด้วยไฟร้อนรุ่มที่กำลังแผดเผาเรือนร่างของเขาทั้งสองคน“อื้อออ”ไดร์ฟเองก็ครวญครางกระเส่าไม่ต่างจากคนบนร่าง“จ๊วฟฟฟ”ไดร์ฟยื่นใบหน้าหล่อของเขาคลอเคลียซุกไซ้ไปกับซอกคอของไอริสพร้อมกับสูดดมกลิ่นกายหอมๆของเธอ เขาค่อยๆเลื่อนริมฝีปากมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอวบอิ่มของไอริส เขาไม่รอช้าประกบริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวล“จ๊วฟฟฟ”คนสองคนจูบกันอย่างดูดดื่มไปตามสัญชาตญาณข
“อื้อออ”ฉันร้องท้วงขึ้นและรีบใช้มือผลักร่างของไดร์ฟให้เขาถอดถอนริมฝีปากออกไปจากริมฝีปากของฉัน“ไดร์ฟ…”ฉันเรียกไดร์ฟเสียงหลงที่รับรู้ได้ถึงความเย็นของร่างกายฉัน ที่ตอนนี้เสื้อคลุมอาบน้ำสีชมพูของฉันได้หลุดออกไปจากเรือนร่างของฉันแล้วหลงเหลือไว้เพียงบิกินี่ตัวจิ๋วสีขาวของฉันที่ปดปิดเพียงหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่โตจนโผล่พ้นขอบของชั้นในออกมาและกางเกงตัวจิ๋วที่ปกปิดจิมิของฉันอยู่แค่เนินสามเหลี่ยมเอง“ไอริส….”ไดร์ฟพึมพำเรียกชื่อฉันเสียงแหบพร่าก่อนที่เขาจะลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกใหญ่ที่เขาเอาแต่จ้องเรือนร่างของฉันตาไม่กระพริบ“จ้องขนาดนี้….กลืนกินเลยดีไหม?”ฉันเอ่ยถามไดร์ฟไปอย่างทีเล่นทีจริงที่เห็นสายตาหวานเยิ้มของเขาที่จ้องมองร่างกายของฉันอยู่“กินได้เหรอ….?”ไดร์ฟเอ่ยถามฉันพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันด้วยแววตาสงสัย ฉันก็ถึงกับหัวเราะออกมา ฉันเชื่อแล้ว…ว่าไดร์ฟของฉันยังไม่เคยผ่านมือหญิงใดมาก่อนจริงๆอย่างที่เขาเคยบอกฉันนั่นแหละพรึบ“เเล้ว….ไดร์ฟว่ายังไงล่ะค่ะ…?”ฉันขยับร่างของฉันเข้าไปแนบชิดร่างกายที่เปลือยเปล่าร้อนระอุของไดร์ฟพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างไปโอบรอบคอของเขาและค่อยๆดันร่างของไดร์ฟที่อ้
“ค่ะ…งั้นขอบคุณค่ะคุณป้า….คุณป้าไปทำงานอย่างอื่นต่อเถอะค่ะ…เดี๋ยวที่เหลือไอจัดการเอง…” “ค่ะ…ขอบคุณมากค่ะ…” “ค่ะ^_^”ฉันยิ้มให้ป้าแม่บ้านก่อนจะหันมาให้ความสนใจจานชามในซิงค์ตรงหน้าของฉันต่อ ในใจก็นึกสงสัยกับความสัมพันธ์ของไดร์ฟและเจ้าของค่ายเพลงคนนั้น ว่ามันเป็นมายังไงกันแน่ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้….แต่มองเหมือนไดร์ฟจะไม่ค่อยชอบผู้ชายคนนั้นเลยนะ…แววตาดุดันที่เขาใช้มองชายคนนั้นน่ะ… “ทำไมต้องเกิดมา…มีพ่อแบบนี้?”ฉันเบิกตาโตขึ้นด้วยความตกใจที่ฉันนึกคิดประโยคคำพูดของไดร์ฟที่เขาอาละวาดในคืนวันนั้นได้ ใช่เขาพูดประโยคนี้ งั้นแสดงว่า…. “สองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน”ฉันเอ่ยออกมาพร้อมกับทำสีหน้าตกใจและแปลกใจปะปนกันไป งงกันไปหมด…ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมไดร์ฟถึงมีอาการป่วยซึมเศร้าได้ และต้นเหตุมันคืออะไร เพราะถ้าเราไม่รักษาตั้งแต่ต้นเหตุ ปลายเหตุก็ไม่มีทางหายได้หรอก…ฉันเชื่อแบบนั้นและฉันนี่แหละจะอาสาเป็นคนรักษาตั้งแต่ต้นเหตุเอง เพราะฉันทนเห็นไดร์ฟทนอยู่กับความทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้าไม่ได้อีกแล้ว….ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาสูญเสียไปเพราะโรคนี้อีกแล้ว….10.00น.ห้องนอนไดร์ฟไอริส อันฤดี….พรึบ “ประวัติ