บ้านตระกูลไป๋
"เร็วๆเข้า อาหลิง เจ้ารีบไปแจ้งท่านแม่และท่านอาสะใภ้รองเร็วเข้าว่าน้องเล็กฟื้นแล้ว!"
เสียงเอะอะโวยวายที่ฟังไม่ได้ศัพท์ทำให้หมิงจูรู้สึกปวดหัวหนักขึ้นกว่าเดิม เปลือกตาของนางหนักอึ้งยิ่งนัก หญิงสาวพยายามลืมตาแต่กลับไม่อาจทำได้ นางต้องตั้งสติอยู่พักหนึ่ง กว่าจะสามารถลืมตาขึ้นมามองสิ่งรอบตัวได้
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง จะว่าเก่าทรุดโทรมก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ข้าวของเครื่องใช้ออกจะธรรมดาสามัญและไร้ราคาไปเสียหน่อย อีกทั้งภายในห้องยังจุดกำยานที่มีกลิ่นฉุนเสียจนนางรู้สึกเวียนหัว
"น้ำ แค่กแค่ก"
นางเอ่ยขอน้ำพร้อมกับไอออกมาคราหนึ่ง
"อาเยว่ น้ำมาแล้ว เจ้ารีบดื่มก่อนเถอะ"
ไม่นานนักก็มีสตรีนางหนึ่งเข้ามาประคองนางและยกถ้วยใส่น้ำมาให้นางดื่มอย่างช้าๆ คล้ายว่าน้ำในถ้วยจะผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย ทำให้หมิงจูรู้สึกชุ่มคอเป็นอย่างมาก เมื่อได้ดื่มน้ำแล้ว ทุกส่วนในร่างกายของนางก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น นางเงยหน้าไปมองสตรีที่ประคองตนเอาไว้ ก่อนจะพบว่าสตรีนางนี้น่าจะมีอายุราวสิบเจ็ดปี หน้าตาไม่ได้งดงามโดดเด่น แต่กลับน่ารักน่าชังยิ่ง อีกทั้งยังยิ้มให้นางอย่างเอ็นดูรักใคร่อีกด้วย
"น้องเล็ก เจ้าฟื้นแล้ว ให้ตายเถอะ ข้ากับทุกคนตกใจแทบตาย อยู่ๆเจ้าก็ล้มป่วยไม่ได้สติโดยไม่ทราบสาเหตุ ข้าบอกแล้วว่าสุขภาพเจ้าไม่ค่อยดีห้ามออกไปวิ่งเล่นตากลมข้างนอกเจ้าก็ไม่ฟังข้า"
"น้องเล็กหรือ น้องเล็กคือผู้ใดกัน?"
สตรีนางนั้นเมื่อได้ยินน้องสาวตนเอ่ยถามเช่นนี้ก็เบิกตากว้าง พลางเอามือมาแตะบนหน้าผากน้องสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"ให้ตายเถอะ น้องเล็ก เจ้าป่วยจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ ไม่เป็นอันใด ข้าจะทวนความทรงจำให้เจ้าเอง เจ้ามีนามว่าไป๋เยว่ซิน เป็นบุตรสาวคนเล็กของจวนตระกูลไป๋เรา ส่วนข้ามีนามว่าไป๋เซียงเป็นพี่สาวของเจ้า และยังมีพี่ใหญ่นามว่าไป๋ฟาน ครอบครัวของเรามีอาชีพทำนาทำสวน เป็นเช่นไร พอจำอันใดได้บ้างหรือไม่?"
หมิงจูกระพริบตาปริบๆ อยู่ๆภาพบางอย่างก็ปรากกฎขึ้นในหัวจนนางปวดศีรษะไปหมด
ภาพที่นางอยู่ในวังและถูกทำโทษจนตาย ภาพที่นางร้องไห้ขอความเมตตาจากเสด็จพ่อ ภาพของเสด็จแม่ที่ห่วงใยนาง ภาพเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไปช้าๆก่อนจะแทนที่ด้วยภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม
สวรรค์นี่นางมาเกิดใหม่ในร่างของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ!
หมิงจูพยายามรวบรวมแรงกำลังลุกพรวดพราดเดินโซซัดโซเซไปที่คันฉ่องทองเหลืองเก่าๆที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก นางคว้าหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนที่ร่างกายจะต้องชาวาบไปทั้งตัว
สตรีตรงหน้าไม่ใช่นาง ใบหน้าของสตรีนางนี้ดูอ่อนเยาว์ อายุก็ราวๆสิบห้าปี หน้าตาไม่ได้งดงามโดดเด่น แต่กลับน่าทะนุถนอมและดูแบบบางเป็นอย่างมาก นางมีนามว่าไป๋เยว่ซิน เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัวตระกูลไป๋ อีกทั้งไป๋เยว่ซินยังมีพี่สาวและพี่ชายฝาแฝดนามว่าไป๋ฟานและไป๋เซียงด้วย
หมิงจูร่างกายโงนเงนไปมา ไป๋เซียงที่เห็นเช่นนั้นจึงเข้ามาประคองน้องสาวพร้อมกำชับว่าห้ามขยับส่งเดช และบอกว่าให้นางรอสักครู่ ไป๋เซียงจะไปเอาโจ๊กมาให้นาง
เมื่ออยู่เพียงลำพังแล้ว หมิงจูก็ได้มีเวลาขบคิดมากขึ้น
ก่อนตายนางร้องขอต่อสวรรค์ หากเกิดใหม่อีกหนอย่าเกิดเป็นองค์หญิงอีก นางขอเกิดเป็นสตรีธรรมดาที่ได้ทำตามใจตน สวรรค์ได้ยินคำขอของนางเช่นนั้นหรือ
นางหลับตาลงช้าๆ ความคิดปลงตกก่อนหน้านี้มันทำให้นางมีท่าทีสงบลง
เอาเถิด ในเมื่อนี่คือชะตาของนาง เช่นนั้นนางก็จะไม่คัดค้าน นับแต่นี้นางคือไป๋เยว่ซิน ไม่ใช่องค์หญิงใหญ่หมิงจูอีกต่อไป
เรื่องราวต่อจากนี้ก็ค่อยๆคิด ค่อยเป็นค่อยไปเถิด
ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับเสด็จพ่อและวังหลวงนั้น นางไม่อยากจะนึกถึงมันอีก
เพราะความเหนื่อยล้าทำให้ไป๋เยว่ซินผล็อยหลับไปอีกครั้ง ก่อนที่นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกคราเพราะได้กลิ่นน้ำแกงหอมๆที่ลอยโชยมาแตะจมูก หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าในเรือนมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด
"เยว่เอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ ให้ตายเถอะ ป้าสะใภ้ใหญ่ร้อนใจแทบบ้า นี่เจ้าดูสิ ป้าสะใภ้ใหญ่ต้มน้ำแกงบำรุงมาให้เจ้าด้วยนะ เซียงเอ๋อร์ เร็วๆรีบประคองน้องเล็กของเจ้าขึ้นมา"
"เจ้าค่ะท่านแม่"
ไป๋เซียงยิ้มรับ ก่อนจะเข้ามาประคองไป๋เยว่ซิน และบรรจงป้อนน้ำแกงให้นางอย่างไม่รีบไม่ร้อน น้ำแกงถ้วยนี้รสชาติดี แม้วัตถุดิบจะไม่ได้ดีเลิศเช่นในวังหลวงที่นางเคยอยู่ แต่รสชาติกลับไม่เลวเลย
เมื่อกินอิ่มแล้ว ไป๋เยว่ซินก็มองสำรวจผู้คนตรงหน้าตนทันที
คนที่ต้มน้ำแกงให้นางคือป้าสะใภ้ใหญ่ เป็นภรรยาของท่านลุงใหญ่ นามว่า เกาซิน นางมาจากตระกูลเกาซึ่งเป็นตระกูลชาวนาเล็กๆ ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นสตรีร่างท้วมท่าทางดูใจดี ส่วนสตรีที่คอยเอาผ้าเช็ดหน้าให้นางคือมารดาของนาง นามว่าหลี่อวิ๋น มาจากตระกูลหลี่ซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้า
ทุกคนต่างมองนางด้วยความรักใคร่ มันทำให้ไป๋เยว่ซินค่อนข้างประหม่าไม่น้อย
นางหลี่ที่เห็นว่าบุตรสาวตนเงียบไปก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"เยว่เอ๋อร์ เจ้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ แม่กับป้าสะใภ้ใหญ่เป็นห่วงเจ้าแทบตาย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ อีกไม่กี่วันท่านลุง ท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าก็จะกลับมาจากต่างอำเภอแล้ว กลับมาครานี้ต้องมีของเล่นแปลกใหม่มาฝากเจ้าอีกเป็นแน่"
ไป๋เยว่ซินเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้น
"น้องสะใภ้รอง เช่นนั้นเจ้าก็นำเงินที่เรือนของข้าไปซื้อเครื่องประดับงามๆมาให้เยว่เอ๋อร์ดีหรือไม่ เผื่อนางจะอารมณ์ดีขึ้น"
"พี่สะใภ้ ในจวนเราแทบจะไม่มีเงินเหลือแล้วนะเจ้าคะ"
"เช่นนั้นก็เอาสินเดิมข้าไปซื้อก่อน"
“ไม่ได้นะเจ้าคะพี่สะใภ้”
สตรีวัยกลางคนเอ่ยถกเถียงกันไปมาจนไป๋เซียงต้องเอ่ยปราม
ด้านไป๋เยว่ซินที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดชะงักไปไม่ได้
นางเคยเห็นแต่พี่สะใภ้น้องสะใภ้มักจะไม่ลงรอยตบตีแย่งชิงสมบัติกัน แต่นี่สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองกลับรักใคร่กันดี นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย อีกทั้งยังคิดว่าพวกนางอาจจะเสแสร้งแกล้งทำ
แต่เท่าที่ดู กลับดูเหมือนไม่ใช่การเสแสร้ง
ภาพเก่าๆของเจ้าของร่างเดิมพลันปรากฏขึ้นมาอีกครา สิบปีก่อนไป๋ฟานและไป๋เซียงบุตรชายบุตรสาวฝาแฝดของป้าสะใภ้ใหญ่เกิดล้มป่วยหนัก นางหลี่เป็นคนใช้สินเดิมของตนทั้งหมดไปจ้างท่านหมอมารักษาเด็กทั้งสองคนจนหายดี นับแต่นั้นป้าสะใภ้ใหญ่ก็ซาบซึ้งใจและดีต่อนางหลี่ราวกับญาติพี่น้องที่คลานตามกันมา
หมิงจูยกยิ้มมุมปาก เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน นางอยากอยู่อย่างสงบ หากมาเกิดใหม่แล้วยังต้องอยู่ในวังวนการแก่งแย่งอีก นางคงเหนื่อยใจเต็มทน
เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีแล้ว นางเกาและนางหลี่จึงขอตัวไปพักผ่อน เหลือเพียงไป๋เซียงที่อยู่กับนาง
"น้องเล็ก วันนี้พี่จะนอนเป็นเพื่อนเจ้าเอง"
ไป๋เซียงเอ่ยจบก็ให้อาหลิงสาวใช้น้อยนำผ้าสะอาดมาช่วยเช็ดหน้าให้ไป๋เยว่ซิน และจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเข้านอน
ไป๋เยว่ซินชำเลืองสายตามองไป๋เซียงคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
"พี่รอง เหตุใดท่านจึงดีกับข้า แต่ไหนแต่ไร พี่น้องต่างมารดาหรือญาติห่างๆ ล้วนจะไม่ลงรอยกันไม่ใช่หรือ แม้แต่พี่น้องแท้ๆยังเกลียดชังกันเลย?"
นางสงสัยจริงๆ สิ่งที่นางสงสัยอย่างไรย่อมต้องเอ่ยถามให้กระจ่างแจ้ง
ไป๋เซียงเมื่อได้ยินจึงหันมามองน้องสาวตน ก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของไป๋เซียงอย่างรักใคร่
"น้องเล็ก อยู่ๆเหตุใดจึงถามเช่นนี้เล่า หรือว่าเจ้าป่วยจนเพี้ยนไปแล้ว ที่ผ่านเจ้าไม่เคยถามเลยนี่นา”
ไป๋เยว่ซินเม้มริมฝีปากแน่น พลางเอ่ย
“ก็ข้าอยากรู้ ไม่ได้หรือ?”
ไป๋เซียงยิ้มตาหยีก่อนจะพยักหน้า
“ได้สิ ได้สิ พี่รองตามใจเจ้า คืออย่างนี้ ถึงแม้พวกเราจะเกิดมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ท่านแม่มักจะสอนข้าเสมอว่า ต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน มารดาข้าและมารดาเจ้าต่างไม่ได้เกิดมาในตระกูลร่ำรวย ล้วนเข้าใจในความยากลำบากของกันและกันเป็นอย่างดี อีกอย่างก็คือ หากพวกเราปรองดองกัน ท่านลุง ท่านพ่อและพี่ชายที่ทำงานอยู่ข้างนอก ก็จะมีกำลังใจ เจ้าเข้าใจหรือไม่ เด็กดี พวกเราก็มีกันเพียงเท่านี้ ควรช่วยเหลือกันจึงจะถูก"
เมื่อฟังจบ ไป๋เยว่ซินก็พยักหน้าคราหนึ่ง นางเพิ่งเข้ามาอยู่ในร่างนี้ หลายๆเรื่องยังคงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้สักหน่อย
หลายวันที่พักรักษาตัว มันทำให้ไป๋เยว่ซินเข้าใจหลายๆเรื่องมากขึ้น คนในตระกูลไป๋ไม่ได้เสแสร้งแต่กลับจริงใจต่อกัน มีของดีอะไรป้าสะใภ้ใหญ่ล้วนให้คนนำมาให้นางกิน อีกทั้งยังบอกว่านางต้องบำรุงร่างกายให้ฟื้นคืนมาแข็งแรงเช่นเดิม เพราะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี จึงทำให้ร่างกายของไป๋เยว่ซินดีขึ้นมาก อีกทั้งความสัมพันธ์กับคนตระกูลไป๋ก็นับว่าไปได้ดี นางไม่อึดอัดและยังรู้สึกดีมาก
ที่ผ่านมานางเติบโตอยู่ในวังหลวง ไม่เคยเข้าใจคำว่าครอบครัวที่แท้จริง แต่่ยามนี้นางเหมือนจะค่อยๆเข้าใจมากขึ้นแล้ว
ตระกูลไป๋เป็นตระกูลชาวนา ท่านปู่ท่านย่ามีบุตรชายสองคนคือท่านลุงและท่านพ่อของนาง บ้านที่อยู่คือบ้านต้นตระกูลดั้งเดิม สองพี่น้องรักใคร่กันมากจึงอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ไม่คิดแบ่งบ้านหลักบ้านรองให้ยุ่งยาก
เมื่อร่างกายดีขึ้น ไป๋เยว่ซินก็ขบคิดหลายเรื่องในใจของตนรวมไปถึงเรื่องของหยางซี
ก่อนที่วิญญาณของนางจะมาอยู่ในร่างนี้ นางจำได้ว่าเขาเป็นคนทำศพและสลักป้ายชื่อให้นางใหม่
ภาพความทรงจำเก่าๆปรากฏขึ้น ตอนนั้นนางแต่งกายเป็นบุรุษออกไปเดินเล่นที่ตลาดในนครหลวง และได้ช่วยร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ชายชราผู้หนึ่งที่ถูกคนมีอำนาจรังแก จนเกือบพลาดท่าถูกทำร้าย โชคดีได้หยางซีมาช่วยคลี่คลายคดี ยามนั้นนางยังไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใด และเขาก็ไม่รู้ว่านางเป็นสตรี จึงดื่มสุราร่วมสาบานเป็นสหายรักกัน หยางซีในตอนนั้นเป็นหนุ่มน้อยร่าเริงจิตใจดี
จนกระทั่งเขาและนางรู้สถานะของกันและกัน
นางเป็นองค์หญิงใหญ่ ส่วนเขาคือหลานชายของหยางฮองเฮา นับแต่นั้นความสัมพันธ์ของเขาและนางก็พังทลายลง จากเด็กหนุ่มร่าเริงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้งามสง่าและแสนเย็นชา
แน่นอนว่าหยางซีย่อมเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับคนในตระกูลของตน
นางไม่โกรธเขาและคิดว่าชาตินี้เขาและนางคงจะไม่มีวาสนาได้ดื่มสุราด้วยกันอีก
แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่า หยางซีจะมาหานางที่หลุมศพอีกครา
ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาซับซ้อนยากคาดเดา และนางเองก็ไม่รู้ความรู้สึกในใจของเขา
ไป๋เยว่ซินถอนหายใจออกมา ไม่คิดถึงเรื่องชวนปวดหัวนี่อีก
หลังจากที่หายดีแล้ว ไป๋เยว่ซินก็ออกมาเดินเล่น แม้ร่างนี้จะค่อนข้างบอบบางไปเสียหน่อย แต่กลับไม่ได้อ่อนแอถึงปานนั้น
"น้องเล็ก ข้าจะไปซื้อผักที่ตลาด เจ้าอยู่ที่เรือนดีดีเล่า ห้ามออกไปวิ่งเล่นที่ใดส่งเดชอีกนะ"
ในขณะที่ไป๋เยว่ซินกำลังครุ่นคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินไป๋เซียงเอ่ยกับนาง หญิงสาวหันไปมองพี่สาวก่อนจะยิ้มคราหนึ่ง
"พี่รอง ข้าไปด้วยสิ"
“ไม่ได้ เจ้าเพิ่งหายป่วย"
"ข้าไม่ได้พิการเสียหน่อย พวกท่านจะเอาแต่ขังข้าเอาไว้ในจวนไปจนตายหรือ ข้าจะไปด้วย เข้าใจหรือไม่ ห้ามขวาง!"
อยู่ๆไป๋เซียงก็ชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงของน้องเล็กเหมือนจะมีอำนาจจนนางไม่กล้าโต้แย้ง
"เช่นนั้นก็ได้ พวกเรารีบไปรีบกลับ"
ไป๋เยว่ซินพยักหน้า ก่อนจะเดินตามพี่สาวไปที่ตลาด เพราะตระกูลไป๋ไม่ได้ร่ำรวย จึงไม่มีรถม้า พวกนางไปที่ใดล้วนต้องเดินไป ไป๋เยว่ซินไม่คิดอันใดมากนัก ในเมื่อมาอยู่ในร่างนี้แล้วย่อมต้องยอมรับและปรับตัวให้ได้
ที่นี่คืออำเภอเซียงถง อยู่ติดกับชายแดน เป็นอำเภอที่ไม่ได้เล็กมากนัก มีเหล่าพ่อค้าและผู้คนสัญจรผ่านไปมาพลุกพล่าน ครอบครัวไป๋ทำอาชีพเกษตรกรรม ยามที่เก็บเกี่ยวพืชผลได้ก็จะนำไปขายที่ตลาดใหญ่ในอำเภอรวมไปถึงต่างอำเภอด้วย
บิดาของนางมีนามว่าไป๋จง ท่านลุงมีนามว่าไป๋ชวน ไป๋เซียงเล่าว่าท่านพ่อและท่านลุงเป็นคนขยันมากและรักบุตรหลานทุกคน ส่วนไป๋ฟานพี่ใหญ่ของนางนั้นอายุสิบเจ็ดปีแล้ว เขาขยันและรักในการเล่าเรียน ท่านลุงและท่านพ่อจึงนำเงินที่มีส่งเขาเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาประจำอำเภอเซียงถง คาดว่าการสอบชิวซื่อในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้เขาจะต้องสอบติดหนึ่งในสามของระดับอำเภอเป็นแน่ หากสอบติดหนึ่งในสามของระดับอำเภอก็จะสามารถเดินทางเข้าไปร่วมสอบชุนซื่อและเตี้ยนซื่อในนครหลวงได้
เหล่าชาวบ้านที่อำเภอเซียงถง ล้วนมีความหวังว่าอยากให้บุตรชายตนได้สอบเป็นขุนนางเพื่อนำความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูล เรื่องนี้นางเข้าใจดี
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายังไม่รู้นั่นก็คือ ขุนนางเหล่านั้นที่ได้เข้าไปทำงานในราชสำนัก ล้วนใช้เส้นสายเป็นส่วนมาก น้อยคนนักที่จะสามารถเข้าไปได้อย่างใสสะอาด
เพราะเป็นเช่นนี้ ในวังหลวงจึงมีแต่ขุนนางชั่วเต็มไปหมดอย่างไรเล่า!
สองพี่น้องเดินเล่นในตลาด ไป๋เซียงไม่ได้ซื้ออันใดมากนักเพราะไม่ค่อยมีเงิน ไป๋เยว่ซินเห็นแล้วปวดใจนัก ของดีดีล้วนตกมาอยู่ในท้องนางหมด แต่พวกเขากลับกินอย่างประหยัด หลายวันมานี้พวกเขากินเพียงผัดผักและข้าวต้มที่ใสเหมือนตาแมว เห็นทีนางคงต้องหาอันใดสักอย่างที่ทำแล้วได้เงินมาช่วยจุนเจือ ไม่อย่างนั้นชีวิตคงลำบากเป็นแน่
แต่จะทำอันใดดีเล่า?
"อุ๊ยตาย นึกว่าผู้ใดมาซื้อของ ที่แท้ก็เจ้าเองหรือไป๋เซียง ไหนดูสิ ตายจริง บ้านเจ้ากินผัดผักกินอีกแล้วหรือ?"
ไป๋เยว่ซินหันไปมอง ก่อนจะพบกับสตรีน้อยนางหนึ่งที่นางไม่ใคร่จะคุ้นหน้าคุ้นตาเท่าใดนัก ดูแล้วคงจะเป็นพวกสตรีฐานะระดับปานกลาง ตอนนางยังเป็นองค์หญิงนั้นเคยคบหาแต่คุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น
สตรีตรงหน้าหน้าตางดงามหมดจด นางใช้สายตามองประเมินไป๋เซียงอย่างดูแคลน ความทรงจำของร่างเดิมบอกกับไป๋เยว่ซินว่า สตรีนางนี้มีนามว่าหลิงจวง เป็นบุตรสาวคหบดีมีฐานะดีผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้ไป๋เซียงรักกับบุตรชายเจ้าของร้านซาลาเปา แต่สุดท้ายเขากลับเชื่อคำยุยงของมารดาตน ไปแต่งงานกับหลิงจวงเพราะบ้านนางร่ำรวยกว่าตระกูลไป๋ ไป๋เซียงเสียงใจจนไม่กินข้าวกินปลาอยู่หลายวัน
ไป๋เซียงกำมือแน่นพลางเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
"อย่ามาหาเรื่องกันเลยจะดีกว่าหลินจวง ในเมื่อพี่โจวเลือกเจ้าแล้ว เจ้าก็อย่าได้ตามมารังควานและเยาะเย้ยข้าอีก!"
"โธ่ๆ ผู้ใดหาเรื่องเจ้ากัน ข้าเพียงแวะมาทักทาย วันนี้พี่โจวอยากกินเนื้อน่ะ ข้าจึงมาซื้อเนื้อไปย่างให้เขากิน บ้านเรามีเงินอยากกินเนื้อย่อมต้องได้กิน ไม่เหมือนคนบางคน กินแต่ผักเพราะยากจน เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ไม่สู้เจ้าไปที่หอนางโลม ขายนาผืนน้อยของเจ้าเสีย จะได้มีเงินไปซื้อเนื้อกิน อิอิ"
"หลินจวง เจ้าจะรังแกคนเกินไปแล้ว เจ้าแย่งคนรักของข้าไปยังพอทน เจ้ายังหาเรื่องข้าอีก เหอะ! คนเช่นข้าไม่มีทางทำเรื่องต่ำทรามเช่นเจ้าหรอก เจ้าต่างหากที่ต่ำกว่าข้า วางท่าเป็นคนดีแต่แท้จริงนิสัยกลับโสมม ช่างเหมาะสมกับคนเลวเช่นไอ้ชั่วแซ่โจวยิ่งนัก!"
"เหอะ ด่าไปเถิด ข้าไม่เจ็บหรอก เจ้าสิเจ็บ พี่โจวไม่เคยรักเจ้า เขาบอกว่ารังเกียจที่เจ้าตามติดเขาแจ หน้าตาเจ้าก็ธรรมดา บ้านก็จน บิดาก็เป็นเพียงชาวนาต่ำต้อย ต่อให้วันนี้ข้าตบตีเจ้า เจ้าก็ยังเอาความกับข้าไม่ได้เลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว วันนี้ข้าจะตบตีสั่งสอนเจ้าให้รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอง!"
หลินจวงยังไม่ทันได้ลงมือ ก็ถูกไป๋เย่วซินซัดหมัดเข้าใส่ใบหน้างามเสียก่อน แรงต่อยของไป๋เยว่ซินไม่เบาเลย มันทำให้ฟันหน้าของหลินจวงหลุดกระเด็นออกจากเหงือกมาถึงสองซี่ หลินจวงที่เห็นเช่นนั้นก็กรีดร้องพลางเป็นลมล้มพับไปทันที
ไป๋เซียงหันขวับมามองไป๋เย่วซินทันที
"น้องเล็ก!"
ไป๋เยว่ซินที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยตอบโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
"ขออภัย มือข้ากระตุก โชคดีที่นางสลบไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเท้าข้าก็อาจจะกระตุกฟาดหน้านางด้วย"
ไป๋เซียง”.........”
ไป๋เยว่ซินโมโหนัก นางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเองคราหนึ่ง ด้านคนตระกูลไป๋ที่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก็รีบเข้ามาเอ่ยปลอบใจไป๋เยว่ซินยกใหญ่ ไป๋จงบิดาของนางถึงกับบอกว่าหากทำอันใดไม่ได้ ก็ขายขาดสูตรขนมนั่นไปเสีย อย่างไรก็รับเงินของเถ้าแก่จางแล้ว ไป๋เยว่ซินส่ายหน้าไปมา พร้อมกับบอกทุกคนว่านางอยากอยู่คนเดียวสักครู่หนึ่ง เมื่อคนในบ้านได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าขัดใจนางจึงรีบออกไปจากห้องทันทีเมื่ออยู่เพียงลำพังแล้ว ไป๋เยว่ซินก็พยายามใช้สติไตร่ตรองว่าจะทำเช่นไรดี ฉับพลันนางก็หาทางออกวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ในขณะที่นางกำลังจะไปจัดการตามแผนของตน ก็ได้ยินเจ้าแมวอาซานเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงร้อง เมื่อไป๋เยว่ซินหันไปมอง ก็พบว่ามันกำลังเดินตรงเข้ามาหานาง ก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงตรงหน้าของนาง ไป๋เยว่ซินที่เห็นกระดาษตรงหน้าชัดๆก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความดีใจ"นี่มัน..."เจ้าแมวอาซานยกมือของตนขึ้นมาเลียอย่างเกียจคร้าน"นายหญิงน้อย นี่คือสัญญาการซื้อขายระหว่างท่านกับเถ้าแก่ชั่วนั่น ข้าไปเอาคืนมาให้ท่านแล้ว เถ้าแก่จางเป็นคนสั่งให้คนมาขโมยไปจริงๆ อีกทั้งข้ายังทราบอีกด้วยว่า ที่เขาสั่งแป้งขนมของท่านไปมากมาย เพ
ร้านขนมหวานตระกูลจางตั้งอยู่ไม่ไกลจากภัตตาคารตระกูลหม่าเท่าใดนัก อีกทั้งยังเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเซียงถง ผู้คนต่างแวะเวียนมาซื้อขนมหวานที่ร้านนี้กันอย่างไม่ขาดสาย เพราะมีขนมหลากหลายและรสชาติดี ไป๋เยว่ซินเคยซื้อมาชิมครั้งหนึ่ง พบว่าจะรสชาติดีแต่ออกจะหวานเลี่ยนเกินไปเสียหน่อย หวานจนแสบคอไปเสียด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายขนมบางชิ้นเนื้อแป้งก็หยาบแข็งจนสากคออีกด้วยเถ้าแก่ร้านขนมหวานตระกูลจาง เป็นคนไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย ได้ยินคนแถวนั้นบอกว่าสักเดือนหนึ่งเขาจะมาที่นี่สักครั้ง และไป๋เยว่ซินก็สืบทราบมาได้ว่าทุกวันที่สิบห้าของเดือนเขาจึงจะเข้าร้านไป๋เยว่ซินเดินเข้ามาในร้านพร้อมนำขนมเค้กฟักทองมาด้วย ขนมนี่เป็นสูตรลับที่นางได้มาจากตำราพิเศษ ไม่เคยมีผู้ใดทำขายมาก่อน เมื่อผู้ดูแลร้านเห็นว่านางเดินเข้ามาในร้านก็จำนางได้ทันที จึงรีบเข้ามาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง"แม่นางน้อย วันนี้จะรับขนมใดดีขอรับ"ไป๋เยว่ซินยิ้มตาหยี พลางเอ่ยตอบ"ข้าอยากพบเถ้าแก่ร้าน พอดีว่าข้ามีขนมสูตรใหม่อยากให้เขาลองชิม และอยากทำข้อตกลงการค้าร่วมกับเขา"ผู้ดูแลร้านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ใช้สายตาพิจารณามองไป๋เยว่ซินอย่างดูแคลนวูบหนึ่ง น้ำ
ด้านไป๋เยว่ซินนั้น ตอนนี้กิจการที่นางทำร่วมกับเถ้าแก่หม่ากำลังไปได้สวยเป็นอย่างมาก ทุกๆวันภัตตาคารตระกูลหม่าจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ผู้คนต่างพูดกันปากต่อปากว่าอาหารของภัตตาคารตระกูลหม่านั้นเลิศรสเป็นอย่างมาก ช่วยดึงดูดลูกค้าจากต่างอำเภอรวมไปถึงผู้คนที่สัญจรไปมาให้เข้ามาลองลิ้มชิมรสอีกด้วย เถ้าแก่หม่าถึงกับต้องจ้างคนงานเพิ่มอีกหลายคนเพื่อเข้ามาช่วยงานในภัตตาคารทุกๆสามวัน ไป๋เยว่ซินนำผักและเครื่องปรุงพิเศษไปส่งให้เถ้าแก่หยวนด้วยตนเอง อีกทั้งเถ้าแก่หยวนยังสั่งห้ามคนนอกเข้าไปในห้องครัวนอกจากแม่ครัวและคนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีคนมาสอบถามเขาก็ตอบโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่านี่คือสูตรลับใหม่ของเขาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เหล่าชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นต่างผิดหวังไปตามๆกันในอำเภอเซียงถงแห่งนี้ นอกจากภัตตาคารตระกูลหม่าแล้ว ยังมีภัตตาคารตระกูลหวังอีกแห่งหนึ่งด้วย เมื่อสามปีก่อนบุตรชายของเถ้าแก่หวังสามารถสอบได้เป็นเป็นจ้วงหยวน และได้เข้าไปทำงานในราชสำนักที่นครหลวง รั้งตำแห่งขุนนางขั้นหกในกรมพิธีการ ทำให้มีคนในอำเภอนับหน้าถือตาเถ้าแก่หวังเป็นอย่างมาก กิจการก็ไปได้ดี แต่เถ้าแก่หม่าเคยได้ยินคนพูดว่
งานเลี้ยงตระกูลหยางกลายเป็นที่โจษจันท์ไปทั่วนครหลวง ทั้งที่จวนกั๋วกงตั้งใจปิดเรื่องนี้ และส่งของขวัญไปให้ทุกจวนหมายจะใช้ของขวัญปิดปาก แต่เรื่องโสโครกของหยางเหลียนกลับถูกแพร่งพรายออกไปได้ ยามนี้ฮ่องเต้หมิงต่งและหยางฮองเฮาทรงทราบเรื่องแล้ว และยังทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้หมิงต่งต่อว่าหยางฮองเฮาไปหลายคำรบ และสั่งลงดาบทำโทษหยางเหลียนห้ามออกไปพบหน้าผู้คนในช่วงระยะเวลานี้จวนตระกูลหยางค่อนข้างโกลาหลเป็นอย่างมาก หลังจากที่หยางเหลียนฟื้นคืนสติกลับมาก็ถูกหยางกั๋วกงทุบตีอย่างทารุณ ฮูหยินใหญ่ที่ขอร้องแทนบุตรชายตนทำให้โดนลูกหลงไปด้วย หยางกั๋วกงโมโหจึงเตะเสยปลายคางนางจนฟันหน้าร่วงไปหลายซี่ หยางซีที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย เขาไม่เอ่ยห้ามปรามเพียงปรายตามองบิดาทุบตีหยางเหลียนอย่างไม่ใส่ใจหยางฮูหยินกรีดร้องเหมือนคนบ้า หลังจากที่หยางเหลียนฟื้นได้สติมาเขาก็บอกว่าตนเองไม่รู้ว่าได้ทำอันใดลงไป ก่อนหน้านี้เขาดื่มสุราจนมึนเมา หลังจากกลับไปพักที่ห้องก็รู้สึกปวดหัว อีกทั้งยังคอแห้งจึงลุกขึ้นมาหาน้ำดื่ม หลังจากนั้นก็จำสิ่งใดไม่ได้แล้วเมื่อได้ยินบิดาและมารดาบอกว่าตนได้กอดจูบกับ
ด้านหยางซีนั้น เขาตัดสินใจที่จะยังไม่กลับไปที่อำเภอเซียงถง เพราะอยากอยู่ร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหยางเหลียงเสียก่อน ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากพบกับคนผู้หนึ่งอวี๋สาม!"นายท่าน"อยู่ๆองค์รักษ์ลับก็ปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา หยางซีละจากความคิดในหัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามององค์รักษ์ลับของตน"ว่าอย่างไร"องค์รักษ์ยกมือขึ้นประสานกัน ก่อนจะเอ่ยตอบ"เมื่อครู่คนของเรามารายงานว่าพบคุณหนูสามอวี๋อยู่ที่หน้าหลุมศพขององค์หญิงใหญ่หมิงจูขอรับ อีกทั้งนางยังกอดป้ายหน้าหลุมศพเอาไว้แน่นและยังร้องไห้ไม่หยุดอีกด้วยขอรับ""ว่าอย่างไรนะ?"หยางซีถึงกับผุดลุกขึ้นยืน แววตาของชายหนุ่มวูบไหวไปมา อยู่ๆในใจของเขาก็เต้นถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง ในหัวพลันผุดชื่อของใครบางคนขึ้นมาสวีฝู อดีตฮองเฮา มารดาของหมิงจู!...............หลายวันต่อมาจวนหยางกั๋วกงก็จัดงานวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบห้าปีให้กับหยางเหลียน ผู้คนต่างมาร่วมงานเลี้ยงกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง อย่างไรเสียยามนี้จวนตระกูลหยางก็มีอำนาจมากที่สุดในเมืองหลวง หยางกั๋วกงนั้นช่างมีบุญนัก มีบุตรชายที่ดีถึงสองคน คนโตเป็นถึงซื่อจื่อผู้สืบทอด ส่วนบุตรชายคนรองก็รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของ
จวนตระกูลอวี๋"คุณหนูสามเจ้าคะ รถม้าเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ"เสียงของสาวใช้น้อยนามว่าสวี่หยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม อีกทั้งยังไม่กล้ากระทำการใดส่งเดชหากเจ้านายของตนยังไม่ได้อนุญาต หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกเพียงเอ่ยตอบรับว่าอืมคำหนึ่ง ก่อนจะมองใบหน้าของตนเองในคันฉ่องทองเหลืองสัมฤทธิ์ด้วยแววตาที่ไร้ริ้วคลื่น ภาพสตรีที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่องบานนี้มีนามว่าอวี๋ฝู ปีนี้นางมีอายุสิบหกแล้ว นางเป็นบุตรสาวของอดีตฮูหยินผู้ล่วงลับของใต้เท้าอวี๋ เป็นบุตรภรรยาเอกและเป็นบุตรคนที่สามของไต้เท้าอวี๋ คนในจวนจึงเรียกนางว่าอวี๋สาม หลังจากมารดาตายจากไปเมื่อสามปีก่อน บิดาก็ยกย่องฮูหยินรองเฉิงขึ้นมาเป็นภรรยาเอกคนใหม่ นางเฉิงซื่อมีบุตรสาวและบุตรชายฝาแฝดคู่หนึ่งนามว่า อวี๋หลวนและอวี๋เสียน อายุมากกว่านางสองปี นางเฉิงซื่อคอยให้ท้ายบุตรตนอย่างผิดๆ อวี๋หลวนและอวี๋เสียนจึงคอยทำร้ายและกลั่นแกล้งนางสารพัด ท่านพ่อเองก็ทำเป็นปิดตาข้างนึงปล่อยให้นางถูกรังแก สุดท้ายแล้วนางกลับถูกนางเฉิงซื่อใส่ร้ายว่าคิดจะวางยามารดาเลี้ยงและให้ไต้ซือมาทำนายว่านางมีดวงอัปมงคล หากนางยังอยู่ในจวนย่อมทำให้คนในจวนถึงแก่ชีวิต ต้องไปอยู่ในอา