“คุณหนูจะให้พวกเราทำอะไรหรือเจ้าคะ?” จางหลัวเด็กหญิงวัยสิบสองปีที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในหมู่บ้านเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นก่อนใคร ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนางแข็งแกร่งหรือมีอายุมากกว่าคนอื่น แต่นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับจากพี่เบิ้มอย่าง ‘เจ้าสัง’ และเป็นคนริเริ่มเรียกเย่หัวว่า ‘คุณหนู’ “เห็นคุณหนูพูดแบบนี้มาสองสามวันแล้วเจ้าค่ะ”
“นั่นสิขอรับ”
จางซิวผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวเห็นด้วย ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างก็ลดจังหวะความเร็วในการเคี้ยวลง แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“ก่อนอื่นข้าอยากฟังเรื่องของพวกเจ้าก่อน ก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยสิ่งที่จะทำต่อไป เพราะข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ข้าอยากจะทำมันจะสำเร็จไหม”
“อะไรหรือเจ้าคะ”
“ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารการกินอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เย่หัวพยายามทบทวนความคิดของตัวเองหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว “พวกเจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม ทั้งรายละเอียดเรื่องอาหารการกินและภัยแล้งอะไรนั่นที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน”
“พี่ใหญ่เป็นคนเล่าให้ฟังดีกว่า พี่ใหญ่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าพวกเราทุกคน” จางต้าพังเด็กอ้วนประจำหมู่บ้านผู้มีอายุเกือบจะมากสุดในกลุ่มหันไปทางพี่คนโตสุดในกลุ่ม
“ใช่ๆ”
“จริงด้วย ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นพี่ใหญ่น่าจะรู้เรื่องมากที่สุดแล้ว”
“ตอนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นพวกเราส่วนใหญ่ยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ”
“...”
“...”
“...”
เด็กๆ หลายๆ คนต่างก็เห็นด้วย เพราะว่าเรื่องราวที่ว่ามามันเป็นเรื่องเมื่อราวสิบปีก่อน ซึ่งในที่แห่งนี้ถ้าหากจะมีใครรู้เรื่องนี้มากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นจางซิวที่มีอายุมากกว่าใครเพื่อน
“ทุกคนว่ามาอย่างนั้น”
เย่หัวหันไปหาคนอายุมากที่สุดในกลุ่มเป็นเชิงเห็นด้วย พลางอดที่จะคิดคำนวณในใจไม่ได้ ถึงอายุของอีกฝ่าย เพราะถ้าหากตีกลมๆ ว่าแต่ละปีที่นี่เท่ากับหกสิบปีในโลกที่นางจากมา...
โดยปกติแล้วตามแบบฉบับนิยายทะลุมิติอะไรเทือกนั้น คนที่ไปเกิดใหม่หรือทะลุมิติไปก็จะต้องมีอายุมากที่สุด มีความรู้มากที่สุดอะไรแบบนั้น
แต่กลับกลายเป็นว่าต่อให้รวมอายุของนางทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมากว่าห้าสิบปี กับในโลกนี้อีกเดือนเศษๆ มันก็ยังไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของคนที่เด็กที่สุดด้วยซ้ำ ไม่ต้องนับคนที่อายุมากที่สุดที่นั่งอยู่ที่นี้ เด็กชายผู้ที่เพิ่งจะผ่านอายุสิบห้าปีที่โตที่สุดในกลุ่ม ถ้าคูนด้วยหกสิบเข้าไปแล้วล่ะก็เด็กชายที่อายุเพิ่งครบทำบัตรประชาชนจะมีอายุได้เก้าร้อยปี...
เป็นโคตรพ่อโคตรแม่โคตรบรรพบุรุษของนางเลยก็ยังได้!!
‘ไม่ชินกับความต่างของวันเวลาของที่นี่สักทีเลยให้ตายสิ...’
“อย่างที่ข้าได้บอกไปว่าข้าแทบไม่มีความทรงจำจากก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย จำได้ลางๆ เพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะรู้รายละเอียดบ้าง เพราะสำหรับข้าแล้วข้าหิวทุกครึ่งชั่วยามเลย แต่เห็นพวกเจ้าแทบจะเที่ยวเล่นได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกินอะไรด้วยซ้ำ”
“จริงๆ แล้วถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นพวกเราก็จะกินอาหารมื้อใหญ่ๆ กันวันละสองมื้อขอรับ มื้อเช้ากับมื้อค่ำ แล้วในระหว่างวันถ้าหากเป็นพวกผู้ใหญ่ที่ออกไปทำงานก็จะกินในทุกๆ ชั่วยาม ส่วนเด็กๆ ก็จะกินขนมที่ทำขึ้นเองหรือของที่ซื้อหามาจากข้างนอกขอรับ”
“ทุกชั่วยาม...”
‘หนึ่งชั่วยามก็ราวๆ ยี่สิบชั่วโมง แทบไม่ต่างจากพระวัดป่าเลยมั้งนั่น อยู่กันได้ยังไง...’
“ขอรับ แต่ด้วยหลายปีมานี้ภัยแล้งมาเยือนพวกเรา ลำธารที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็มีเพียงแค่สายน้ำเล็กๆ ที่เพียงพอแค่ให้ดื่มกินกับใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น ไม่เพียงพอให้ทำไร่ทำสวนอีกต่อไปขอรับ อีกทั้งผืนดินที่เคยอุดมสมบูรณ์เองก็ค่อยๆ เสื่อมลงทำให้ผลผลิดที่เพาะปลูกได้น้อยลงมาก ทำให้สิบปีที่ผ่านมาอาหารการกินของคนในหมู่บ้านลดลงมาก จนผู้คนต่างก็ผอมแห่งอย่างที่คุณหนูได้เห็นนั่นแหละขอรับ”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆ หมู่บ้านถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้กัน”
“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้เช่นกันขอรับ พวกผู้ใหญ่พยายามหาสาเหตุหลายครั้งหลายหนหมดเงินทองไปก็ไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมทุกคนถึงไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่นล่ะ เห็นว่าข้างนอกหุบเขาแห่งนี้ยังมีที่อีกมากมายที่สามารถสร้างบ้านได้นี่ หรือจะย้ายออกไปในเมืองที่อยู่ไกลออกไปก็ได้”
“มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละขอรับ เพราะก็มีผู้คนบางส่วนที่ตัดสินใจย้ายออกไป” เด็กชายยิ้มออกมาด้วยร้อยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ “แต่จะให้พวกเราทิ้งบ้านเกิดที่อยู่มาหลายชั่วอายุคนไปแบบนั้นพวกเราขอตายที่นี่เสียดีกว่าขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
เด็กๆ คนอื่นๆที่ฟังบทสนทนามาตั้งแต่ต้นต่างก็ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
ถึงพวกเขาทุกคนที่นี่จะไม่ได้สูงส่งมาจากที่ไหน หรือไม่ได้ร่ำรวยมีกินมีใช้ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งหนึ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป ก็คือพวกเขาจะไม่มีทางทอดทิ้งผืนดินที่ให้กำเนิดพวกเขาไปอย่างเด็ดขาด
ต่อให้ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ก็ตาม...
เย่หัวที่ได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กๆ เป็นแบบนั้นแล้วนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มยออกมา
ถ้าหากผู้คนในยุคของนางหลายๆ คนได้มาได้ยินได้ฟังสิ่งที่เด็กๆ พวกนี้บอกกล่าวแล้วล่ะก็ อาจจะหัวเราะเยาะและหาว่าพวกเขาทุกคนโง่เง่า
แต่สำหรับคนที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องอาศัยอยู่ในดินแดนที่ผู้คนต่างพูดจาไปต่างๆ นาๆ ว่าไม่ปลอดภัยบ้างละ ดินแดนของผู้ก่อการร้ายบ้างละ ดงระเบิดบ้างละ อย่างจังหวัดยะลาในประเทศไหนสักแห่งอย่างนางแล้ว
นางเข้าใจความรู้สึกของเด็กๆ พวกนี้ดีเชียวละ!
“ตกลง ถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าจะทำหลังจากนี้มันจะพอช่วยเหลือพวกเจ้าได้มากน้อยแค่ไหน แต่ข้าก็จะลองดูสักตั้งก็แล้วกัน!”
……………………..
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง