“ว่าอย่างไร มีผู้ใดสอนข้าได้หรือไม่” หลี่เสวี่ยซินกวาดสายตาสำรวจสีหน้าประดักประเดิดของเหล่าองครักษ์
“มิสู้ให้พี่สอนเจ้าดีหรือไม่”
หลี่เสวี่ยซินหันหน้าขวับ เปลือกตาบางหรี่ลงจนแคบกระทั่งเห็นอีกฝ่ายกระจะตา เท้าเรียวก็พลันขยับถอยไปด้านหลัง
“ฮั่วเหวินหลง”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เมื่อเห็นอาการตระหนกตื่นเจืออยู่ในน้ำเสียงเล็กใส “เจ้ายังขุ่นเคืองพี่อยู่หรือ”
หลี่เสวี่ยซินไม่รู้ นางนึกไม่ออก เพียงแต่ร่างกายนี้เกิดต่อต้านไปตามสัญชาตญาณ เพราะความสัมพันธ์ของหนิงเสวี่ยซินและบุรุษตรงหน้ายังเป็นปริศนาสำหรับความทรงจำที่มันขาดหาย
ดังนั้นหลี่เสวี่ยซินจึงรวบรวมสติและสงวนท่าทีไม่ให้เผลอเปิดเผยตัวตน “ท่านพี่เหวินหลง มาได้อย่างไรเจ้าคะ”
ฮั่วเหวินหลงคลี่ยิ้ม “เมื่อเช้าพี่มาพบเจ้าแล้วแต่ก็ไม่พบ ตอนนี้เห็นซินซินสบายดีพี่ก็วางใจ”
ฮั่วเหวินหลงลดตามองผ้าพันแผลบนฝ่ามือเล็ก
หลี่เสวี่ยซินรู้ตัวว่าถูกจับจ้อง จึงย้ายมือข้างขวาไปซ่อนด้านหลัง หญิงสาวยิ้มกลบเกลื่อน รอยยิ้มนั้นแข็งทื่อจนน่าขัน “ขออภัยท่านพี่เหวินหลง เมื่อเช้าน้องแค่อยากไปไหว้พระขอพรเร
“ท่านพี่เหวินหลง ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอาเจ้าค่ะ ไม่ได้มาจวนป๋อนานมากแล้วรู้สึกคิดถึงวันเก่า ๆ ยิ่งนัก น้องเสียมารยาทแล้วหวังว่าท่านจะไม่ว่าอะไรนะเจ้าคะ” หลี่เสวี่ยซินยิ้มหวาน แสร้งไอโขลกเล็กน้อยฮั่วเหวินหลงตกตะลึงคิดว่าตนกำลังฝัน เพราะนานมากแล้วที่หญิงสาวไม่เหยียบเข้ามาที่จวนป๋อ หลี่เสวี่ยซินสืบมาเรียบร้อยว่าวันนี้ฮั่วเหวินหลงและฮั่วอู๋หลัวไม่ออกไปไหน ดังนั้นจึงสบจังหวะที่นางจะแวะเข้ามาพอดีฮั่วเหวินหลงหลุดจากภวังค์ “พี่จะว่าได้อย่างไร เจ้าเข้ามาจิบน้ำชาข้างในก่อนเถิด ท่านพ่ออยู่พอดี”“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หม่าเซียวช่วยประคองร่างระหงเดินอย่างแช่มช้า ส่วนหลิวอี้หอบของฝากตามอยู่ไม่ห่างคิ้วเข้มขยับเข้าชิดกัน เมื่อฮั่วเหวินหลงเห็นท่าทางโรยแรงจากอีกฝ่าย หนำซ้ำใบหน้าเกลี้ยงเกลายังไร้สีเลือดฝาด เรียกได้ว่าขาวซีดดุจกระดาษก็ไม่ปาน“ซินซิน เจ้า...ป่วยอีกแล้วหรือ”หลี่เสวี่ยซินชะงัก ริมฝีปากขาวซีดเผยยิ้มเบาบาง “เล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร แค่ก แค่ก”ฮั่วเหวินหลงตกใจ “หากเจ้าป่วยเหตุใดไม่พักอยู่ที่เรื
หลี่เสวี่ยซินหลุบเปลือกตาลงต่ำ พยายามเก็บซ่อนร่องรอยความบอบช้ำบนขอบตาเอาไว้ หญิงสาวสังเกตสิ่งที่เขาพกมาด้วย กล่องขนมจากร้านเฟิงมี่คล้ายกับกล่องที่นางวางเอาไว้หน้าหลุมศพไม่มีผิด หนำซ้ำยังมีจวี๋ฮวาสีเหลืองอร่ามอวดกลีบบานสะพรั่ง“ท่านหญิงหรอกหรือ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่”มือเรียวกำแน่นบริเวณท้องน้อย ยามนี้นางยืนบดบังของที่ตนเพิ่งเซ่นไหว้เอาไว้จนมิด ทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็น “...ข้าบังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น ไม่คิดว่าจะพบนายกองหลี่ที่นี่”หลี่เจิงเวยยิ้มบาง แม้ประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็มิอยากยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของผู้ใด “ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านหญิงจะมายังวัดเล็ก ๆ ท้ายหุบเขาอย่างนี้ ยามปกติมิใช่ว่าชนชั้นสูงอย่างท่านมักไปกราบไหว้ที่วัดเทียนอู่หรอกหรือ”“ข้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง กราบไหว้ที่ใดก็เหมือนกันหากใจเราศรัทธา หรือข้าพูดไม่จริง”หลี่เจิงเวยพยักหน้า “ความคิดของท่านหญิงช่างน่านับถือ”“มิกล้าเจ้าค่ะ ทุกสิ่งข้ากล่าวล้วนเป็นไปตามเนื้อผ้า” หลี่เสวี่ยซินหาช่องทางปลีกตัว “ดูเหมือนท่านนายกองหลี่คงมีธุระ”หลี่เจิงเวยลดมองสิ่งของในมือตน แววตาเต็มเ
หญิงสาวหันหลังขวับ“เป็นอะไรเจ้าคะ” หลิวอี้ถาม จากนั้นเหลียวมองทิศทางที่หลี่เสวี่ยซินเอาแต่กวาดสายตาสำรวจ ซ้ำยังขมวดคิ้วจนแทบผูกปมได้หลี่เสวี่ยซินถอนหายใจ “เปล่าหรอก ข้าไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตานาน ก็เลยรู้สึกว่ามันแปลกไปเสียหน่อย”หลิวอี้ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นรถม้าเถิดเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า “อือ”สายตาคมกริบจับจ้องหญิงสาวไม่กะพริบตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันปรากฏ “ความรู้สึกว่องไวใช้ได้ แต่ยังอ่อนหัดไปหน่อย”จูเหิงฉงน “นายท่านหมายถึงข้าหรือ”ลั่วเทียนเฉินหันมององครักษ์ข้างกาย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”“ขออภัยนายท่าน ต่อไปข้าจะฝึกฝนวรยุทธ์ให้มากกว่านี้ขอรับ แต่ว่าเหตุใดวันนี้นายท่านจะต้องติดตามท่านหญิงด้วยตนเองหรือ มีข้าอยู่นายท่านไม่ต้องห่วง”แขนแกร่งที่ค้ำยันไม้ก้านโตเกือบลื่นวืด ฝ่ามือกว้างตบเปาะแปะลงบนบ่าของจูเหิง “เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าไม่ต้องตามนางแล้ว วันนี้ข้ามีงานอื่นให้ไปทำ”“งานใดขอรับ”มือหยาบระคายยื่นกระดาษแผ่นเล็กส่งให้อีกฝ่าย จูเหิงเปิดอ่านจากนั้นยัดเก็บไว้ในสาบเสื้อ เสีย
องครักษ์นำตัวของชายสูงวัยที่พูดจาเลื่อนเปื้อนไปไต่สวน หลิวอี้รีบวิ่งมาขวางพวกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน”“แม่นางหลิวมีอะไรหรือ”“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านโหวให้ปล่อยตัวคนผู้นี้ไปเสีย”ชายหนุ่มทั้งสองขมวดคิ้วยุ่งเหยิง พวกเขาเหลียวมองหน้ากัน แววตาเจือความคลางแคลง “แต่ว่า...”“ไม่ต้องแต่แล้ว นี่เป็นคำสั่งของท่านโหวเชียวนะ หรือพวกท่านคิดจะขัดคำสั่ง” หลิวอี้ตัดบท พร้อมคว้าหยกขึ้นชูไปด้านหน้าครั้นเห็นหยกประจำตัวของหนิงโหวปรากฏอยู่เบื้องหน้า องครักษ์จึงไม่กล้าขัดขวางต่อ “เข้าใจแล้วขอรับ”“พวกท่านไปเถิด เดี๋ยวข้าไปส่งเขาเอง”“เช่นนั้นก็ได้ รบกวนแม่นางหลิวแล้ว”“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกท่านไปทำอย่างอื่นต่อเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง”ชายทั้งสองพยักหน้า แล้วถอยออกไป หลิวอี้มองตามกระทั่งแผ่นหลังกว้างกลายเป็นจุดสีดำ เสียงถอนหายใจจึงถูกพ่นออกมาด้วยความโล่งอก “เกือบไปแล้ว”ชายสูงวัยโพล่ง “ข้าน่ะสิที่เกือบ หากเจ้ามาไม่ทันข้าคงถูกตัดลิ้นไปแล้ว”“เอาน่า อย่าบ่นไปหน่อยเลย ข้าก็มาแล้วนี่ รับนี่ไปค่าตอบแทนของท่าน จากนี้ควรทำอย่าง
“นี่ท่าน! ข้าไม่ได้…”“ท่านหญิงหมายความเช่นนี้” ลั่วเทียนเฉินตัดบท เขาพูดต่อ “ไม่ต้องกังวล ท่านหญิงก็รู้ว่าแต่เดิมข้าได้รับหน้าที่อารักขาท่าน เสื้อคลุมข้าท่านเอาไปแล้ว หรืออยากเปลี่ยนเป็นเสื้อตัวในแทน ถ้าอยากแนบเนียนหน่อยก็ต้องทำเช่นนี้ ล่วงเกินอีกแล้ว”หลี่เสวี่ยซินอ้าปากค้างพูดไม่ออก ร่างระหงถูกชายหนุ่มหิ้วขึ้นมาด้วยแขนเพียงหนึ่งข้าง เขาทำราวกับว่าหากต้องกายนางแล้วจะติดโรคระบาดหลี่เสวี่ยซินขบฟันแน่น “ท่านอุ้มสตรีเช่นนี้รึ”ลั่วเทียนเฉินแค่นยิ้ม “เปล่า”“ท่านทำเช่นนี้ไม่น่าอายไปหน่อยหรือไง รู้จักหรือเปล่าวีรบุรุษช่วยสาวงามน่ะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” หลี่เสวี่ยซินอับอายอย่างมากเขาทำราวกับว่าตนกำลังหิ้วตุ๊กตาตนหนึ่งแนบข้างเอวลั่วเทียนเฉินหัวเราะครืน “ก็ต้องดูว่าสาวงามผู้นั้นคือใคร อีกอย่างการอุ้มอย่างทะนุถนอมข้าไว้ใช้เพียงกับภรรยาของข้าผู้เดียวเท่านั้น”หลี่เสวี่ยซินหูอื้ออึง แม้ใบหน้าเปื้อนคราบขี้เถ้า แต่ก็ไม่อาจบดบังสีแดงระเรื่อที่ปรากฏได้ อยู่ ๆ เหตุการณ์เมื่อวันวานก็ผุดขึ้นย้ำเตือน บุรุษผู้นี้เคยโอบอุ้ม เคยปกป้อง และให้ความอบอุ่นกับ
ควันสีขาวขุ่นลอยโขมงขึ้นกลางหลังคาหอตำราเล็กซึ่งเยื้องจากลานจัดแสดงไม่ไกลนัก ความอลหม่านทวีขึ้นอีกครั้ง“ท่านหญิง ทำเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ” หม่าเซียวแทบหลั่งน้ำตา จู่ ๆ ท่านหญิงของนางก็เอาอ่างไฟขนาดใหญ่มาไว้หลังหอตำรา ไม่เพียงเท่านั้นยังจุดไฟเผาเศษกระดาษสร้างเรื่องวุ่นวายยกใหญ่หลี่เสวี่ยซินโบกพัดในมือแรงขึ้น “อาเซียว ออกไป เร็วเข้า”“ท่านหญิง”“เถิดน่า ข้าปลอดภัยดี แค่ก แค่ก” กล่าวไปก็สำลักควันไป หลี่เสวี่ยซินกำชับต่อ “แล้วอย่าลืมทำตามที่ข้าบอก เข้าใจหรือไม่”หม่าเซียวพยักหน้าด้วยความจำใจ ซ้ำยังสำลักควันเสียจนตาแดงจมูกแดง แผนการตลกร้ายอันใดของท่านหญิง เพียงแค่ไม่อยากแสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนนางถึงกับต้องลงทุนเอาร่างมารมควัน หม่าเซียวออกวิ่งไม่คิดชีวิตหลี่เสวี่ยซินมองตามแผ่นหลังหม่าเซียวจนลับสายตาก็หยุดพัดในมือ เศษกระดาษที่ถูกโยนลงในอ่างไฟถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเขม่าสีดำ มือเรียวคว้ามันขึ้นมาป้ายแก้มแปะคางเพื่อให้ตนมอมแมมที่สุดแปะแปะแปะเสียงปรบมือจากใครบางคนพลันดังขึ้น“ใคร!?”“นี่คือความสามา