มื้อเย็นของจวนตระกูลอิงกลับมีแขกกิติมศักดิ์อย่างองค์ชายรองร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่คาดคิด นั่นเพราะองค์ชายรองพอตื่นบรรทมแล้วก็ไม่อยากกลับตำหนักไปเสวยพระกระยาหารคนเดียว พระองค์จึงรั้งอยู่ร่วมโต๊ะกับคู่หมั้นอย่างไม่สนใจสายตาของนางที่ยังงอนองค์ชายรองอยู่
“ฮวาเอ๋อกินเยอะ ๆ หน่อย เจ้าผอมเกินไปแล้ว” องค์ชายรองคีบอาหารใส่ถ้วยให้นาง
“ขอบพระทัยเพคะ องค์ชายเองก็เสวยเถิด ไม่ต้องดูแลหม่อมฉันมากขนาดนี้ก็ได้”
“เป็นหน้าที่ของคู่หมั้นอย่างเรา เจ้าอย่าได้เกรงใจ” องค์ชายรองยังคงทำหน้ามึนหยอกเย้าอิงฮวาต่อโดยไม่สนใจสายตาพ่อแม่ของนางเลยแม้แต่น้อย
อิงเต๋อกับหม่านเซียงได้แต่ส่งสายตาให้กันอย่างอ่อนใจ พวกเขาเป็นพ่อแม่ของอิงฮวา มีหรือจะไม่หวงบุตรสาว เพียงแต่พวกเขาเองก็ไม่กล้าต่อว่าองค์ชายรองที่เอาอกเอาใจอิงฮวาอย่างออกหน้าออกตา
“อ้อ! ขุนนางอิงกับฮูหยินอิง อีกสามเดือนจะเป็นวันแต่งงานของเรากับอิงฮวา รบกวนพวกท่านเตรียมสิ
หลังตั้งค่ายเสร็จ องค์ชายรองพาพระชายาและหมอหลวงเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมองครักษ์หลวงอีกจำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านที่ติดเชื้อเข้าใกล้มากนักจนคนอื่น ๆ ติดโรคไปด้วย ก่อนที่ทุกคนจะเข้าไป อิงฮวาสั่งให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเพื่อป้องกันเชื้อโรคระบาดที่ยังไม่รู้ว่าเป็นโรคใดกันแน่ชาวบ้านที่ได้รับเสบียงก่อนหน้านี้ต่างรอคอยความช่วยเหลือจากหมอซึ่งมาจากเมืองหลวงตามที่ทหารป้องกันเมืองบอกเอาไว้ พวกเขามีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้งหลังจากมองดูชาวบ้านหลายคนตายไปต่อหน้าต่อตา“ทุกคนเข้าแถวให้เป็นระเบียบ 10 แถวตอน เราจะให้หมอหลวงแยกกันตรวจพวกเจ้าทีละคน คนที่อาการหนัก พระชายาจะเป็นคนเข้าไปตรวจอาการด้วยพระองค์เอง” องค์ชายรองตรัสสั่งเสียงดัง พระองค์จะติดตามพระชายาเข้าไปด้านในซึ่งมีผู้ป่วยหนักกำลังรอการรักษาอยู่ ส่วนด้านนอกพระองค์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงที่ติดตามมา“ขอบพระทัยองค์ชายและพระชายาที่เมตตาพวกเราพะย่ะค่ะ/เพคะ” ชาวบ้านคุกเข่ากราบอย่างซาบซึ้งใจ พวกเขาไม่คิดว่า
สองเค่อต่อมา องค์ชายใหญ่พร้อมขบวนสิ่งของจำเป็นและขุนนางจำนวนหนึ่งจากกรมโยธาที่มีราชโองการให้ติดตามไปต่างมาพร้อมกันที่หน้าพระราชวัง ฮ่องเต้ไม่สนใจว่าองค์ชายใหญ่จะนำสิ่งใดไปด้วย ส่วนเงินช่วยเหลือที่ขอมานั้น พระองค์ก็ไม่ได้มอบให้เช่นเดียวกัน สร้างความไม่พอพระทัยให้องค์ชายใหญ่เป็นอย่างมาก แม้ว่ามหาเสนาบดีจะอธิบายถึงความจำเป็นในการใช้เงินเหล่านั้นมากเพียงใดก็ตาม ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงใจอ่อนอีก และไล่ให้องค์ชายใหญ่รีบออกเดินทางจูเค่ออี้หมิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่ ขบวนที่เขาคิดว่าจะมีทหารองครักษ์กลับไม่มีแม้สักคนเดียว ขุนนางคนอื่นที่ติดตามมาก็มีคนของตนเองเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ทำให้ขบวนขององค์ชายใหญ่มีผู้คนรวมทั้งหมดไม่ถึง 200 คนด้วยซ้ำไป แผนการสังหารองค์ชายรองของจูเค่ออี้หมิงที่วางเอาไว้จึงต้องรอคอยให้คนของเขาจัดการองค์ชายรองระหว่างทางได้เท่านั้นฮ่องเต้ไม่สนใจขบวนขององค์ชายใหญ่ที่กำลังเดินทางออกไป พระองค์กลับเข้าไปในพระราชวังเพื่อสะสางราชกิจต่อ มหาเสนาบดีและขุนนางส่วนหนึ่งต่างถวายพระพรลา จากนั้น
“เฮ้อ! หากพวกท่านต้องการติดตามไปจริง ๆ ทุกคนต้องระวังตัวให้มาก แต่พวกท่านบางส่วนจะต้องอยู่เมืองหลวงเพื่อคอยส่งข่าวให้เราที่เมืองเฉิงกุยด้วย ไม่จำเป็นต้องติดตามเราไปทั้งหมด” องค์ชายรองถอนหายใจอย่างปลดปลง พระองค์ไม่อาจขัดความหวังดีของพวกเขาได้จึงต้องอนุญาต“ขอบพระทัยองค์ชายพะย่ะค่ะ พวกเราจะแบ่งกันทำงานและจะไม่ทำให้องค์ชายต้องลำบากพระทัย” ซูต้าเหรินยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าครานี้เขาจะได้เดินทางไปช่วยเหลืองานขององค์ชายรองก่อนเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า“รบกวนซูต้าเหรินจัดการเรื่องแทนเราด้วย พวกท่านแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะ”“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา” ซูจินค้อมกายคำนับองค์ชายรองและออกไปจากตำหนักพร้อมขุนนางทั้งหมด เขายังต้องคัดเลือกคนที่จะติดตามไปยังเมืองเฉิงกุยแทนองค์ชายรองด้วยไป๋จิ่นหลินที่ได้รับรายงานจากคนขององค์ชายรอง เขาสั่งฮูต้าให้ไปรวบรวมยาทั้งหมดในร้านค้าทันที ส่วนสิ่งของจำเป็นสำหร
หนึ่งเดือนต่อมาท้องพระโรงวันนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เนื่องจากฝ่าบาทได้รับข่าวจากเมืองเฉิงกุยว่าเกิดน้ำท่วมและโรคระบาดครั้งใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรจำนวนมากโดยรอบเมืองเฉิงกุย“พวกเจ้ามีใครต้องการจะเดินทางไปแก้ไขปัญหาที่เมืองเฉิงกุยหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในท้องพระโรง“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้เจ้าเมืองเฉิงกุยน่าจะจัดการได้พะย่ะค่ะ เราเพียงส่งเงินช่วยเหลือไปให้พวกเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว” มหาเสนาบดีกล่าวอย่างรู้ดีว่าเจ้าเมืองเฉิงกุยเป็นคนของเขา หากนำเงินจากท้องพระคลังส่งไปยังเมืองนั้น เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งเงินบรรเทาทุกข์ครานี้ด้วย“กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการมอบเงินให้อย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอพะย่ะค่ะ หากหมอที่เมืองเฉิงกุยไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ แล้วมีคนหนีออกจากเมืองจนแพร่โรคไปทั่วแคว้น พอถึงตอนนั้นจะแก้ไขปัญหาก็คงยากราวกับขึ้นสวรรค์” องค์ชายรองรู้ดีว่ามหาเสนา
จูเค่ออี้หมิงไม่สนใจงานแต่งงานของไป๋จิ่นหลิน ตอนนี้เขากำลังเตรียมคนให้ลอบเข้ามาในเมืองหลวงอย่างลับ ๆ เพื่อเวลาที่หัวข้อการทดสอบออกมา เขาจะได้ส่งคนไปจัดการขุนนางฝ่ายองค์ชายรองเสียก่อน เรื่องนี้เขาไม่ได้ปรึกษามหาเสนาบดี เพราะรู้ดีว่าความคิดท่านพ่อของตนเองช่างคร่ำครึและระแวดระวังมากเกินไป จนทำให้แผนการที่ผ่านมาของจูเค่อหรงเจี้ยนมักไม่ค่อยสำเร็จ จูเค่ออี้หมิงจึงต้องหาทางกลบเกลื่อนแทนอยู่หลายครั้ง ไม่เช่นนั้นป่านนี้พ่อของเขาคงถูกฝ่าบาทลงโทษไปนานแล้วคนขององค์ชายรองที่แอบติดตามเตียหย่งไปยังภูเขานอกเมืองหลายวันก่อน ตอนนี้เขารู้ถึงแหล่งซ่องสุมกำลังของตระกูลจูเค่อว่าอยู่ที่ใดแล้ว หลังจากทราบสถานที่และลอบออกมาได้อย่างปลอดภัย เขารีบใช้วิชาตัวเบาเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อบอกเรื่องนี้ให้องค์ชายรองทราบทันที น่าเสียดายที่ระยะทางนั้นอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากพอสมควร ทำให้ตอนนี้เขายังไปไม่ถึงเมืองหลวงเลย ถึงแม้จะเดินทางมานานถึงหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ตามทีงานเลี้ยงที่ตระกูลไป๋จัดขึ้นนับว่าสมกับเป็นคหบดีใหญ่ การแสดงที่ถูกจ้างมาต่าง
องค์ชายรองพาพระชายากลับตำหนักในช่วงบ่าย พระองค์ปล่อยให้นางนอนพักผ่อนต่อโดยไม่ให้คนไปรบกวน ส่วนพระองค์เองก็ไปนั่งทำงานที่ห้องหนังสือในตำหนักด้วยความเคยชิน“องค์ชาย มีข่าวจากสายของเราในจวนมหาเสนาบดีพะย่ะค่ะ” อู๋เหลยเข้ามารายงาน“ว่ามา” องค์ชายรองยังคงก้มหน้าอ่านฎีกาที่อยู่บนโต๊ะต่อ“คนสนิทของจูเค่ออี้หมิงเดินทางออกนอกเมืองหลวง ไม่ทราบองค์ชายจะให้คนติดตามต่อไปหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ตามไป ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาไปทำสิ่งใดที่นอกเมืองในสถานการณ์ที่ราชสำนักไม่มั่นคง”“กระหม่อมจะรีบส่งคนติดตามไปอย่างใกล้ชิดพะย่ะค่ะ” อู๋เหลยกล่าวจบก็ทูลลาออกจากห้องหนังสือขององค์ชายรองไปเซียงเซียววางฎีกาที่ตรวจเสร็จลง ในหัวพระองค์กำลังคาดเดาแผนการของจูเค่ออี้หมิงหลังจากนี้ ถึงแม้องค์ชายอยากไปปรึกษาสหายอย่างไป๋จิ่นหลิน แต่พระองค์รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งงานของสหายพระอ