“เหลียนฮวาไม่ต้องอายไปหรอกลูก พ่อกับแม่อยากอุ้มหลานมานานแล้ว หากเจ้ากับจิ่นหลินมีหลานให้พ่อกับแม่เร็ว ๆ ของรับขวัญของเจ้า แม่จะมอบที่ดินให้พันหมู่เลย แม่กับพ่ออยากให้พวกเจ้าแต่งงานกันวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไป” ซ่งเซียวจิงกล่าว
ซูเหลียนฮวาเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ท่านแม่สามีนางช่างใจป้ำนัก เอ่ยว่าจะให้ที่ดินพันหมู่เมื่อนางตั้งครรภ์ก็คงจะให้จริง ๆ ซูเหลียนฮวาได้แต่หันไปมองว่าที่สามีอย่างไป๋จิ่นหลินซึ่งตอนนี้อมยิ้มแก้มตุ่ยอย่างพอใจที่ท่านแม่ของเขาพูดเช่นนี้ เขาเองก็อยากรีบแต่งงานเร็ว ๆ เช่นกัน
“พี่จิ่นหลินไม่คิดจะพูดอะไรสักหน่อยหรือเจ้าคะ” ซูเหลียนฮวาที่เขินอายจนหน้าแดงก่ำเอ่ยขึ้นอย่างขอความช่วยเหลือ
“เจ้าอยากให้พี่พูดสิ่งใดเล่า ในเมื่อพี่เองก็อยากรีบแต่งเจ้าเข้าบ้านไว ๆ เช่นกัน” สายตาเจ้าเล่ห์ของไป๋จิ่นหลินยิ่งสร้างความขัดเขินให้ซูเหลียนฮวาจนนางก้มหน้างุด ๆ
“ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าสองแม่ลูกเลิกหยอกเย้าว่าที่ลูกสะใ
สองเค่อต่อมา องค์ชายใหญ่พร้อมขบวนสิ่งของจำเป็นและขุนนางจำนวนหนึ่งจากกรมโยธาที่มีราชโองการให้ติดตามไปต่างมาพร้อมกันที่หน้าพระราชวัง ฮ่องเต้ไม่สนใจว่าองค์ชายใหญ่จะนำสิ่งใดไปด้วย ส่วนเงินช่วยเหลือที่ขอมานั้น พระองค์ก็ไม่ได้มอบให้เช่นเดียวกัน สร้างความไม่พอพระทัยให้องค์ชายใหญ่เป็นอย่างมาก แม้ว่ามหาเสนาบดีจะอธิบายถึงความจำเป็นในการใช้เงินเหล่านั้นมากเพียงใดก็ตาม ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงใจอ่อนอีก และไล่ให้องค์ชายใหญ่รีบออกเดินทางจูเค่ออี้หมิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่ ขบวนที่เขาคิดว่าจะมีทหารองครักษ์กลับไม่มีแม้สักคนเดียว ขุนนางคนอื่นที่ติดตามมาก็มีคนของตนเองเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ทำให้ขบวนขององค์ชายใหญ่มีผู้คนรวมทั้งหมดไม่ถึง 200 คนด้วยซ้ำไป แผนการสังหารองค์ชายรองของจูเค่ออี้หมิงที่วางเอาไว้จึงต้องรอคอยให้คนของเขาจัดการองค์ชายรองระหว่างทางได้เท่านั้นฮ่องเต้ไม่สนใจขบวนขององค์ชายใหญ่ที่กำลังเดินทางออกไป พระองค์กลับเข้าไปในพระราชวังเพื่อสะสางราชกิจต่อ มหาเสนาบดีและขุนนางส่วนหนึ่งต่างถวายพระพรลา จากนั้น
“เฮ้อ! หากพวกท่านต้องการติดตามไปจริง ๆ ทุกคนต้องระวังตัวให้มาก แต่พวกท่านบางส่วนจะต้องอยู่เมืองหลวงเพื่อคอยส่งข่าวให้เราที่เมืองเฉิงกุยด้วย ไม่จำเป็นต้องติดตามเราไปทั้งหมด” องค์ชายรองถอนหายใจอย่างปลดปลง พระองค์ไม่อาจขัดความหวังดีของพวกเขาได้จึงต้องอนุญาต“ขอบพระทัยองค์ชายพะย่ะค่ะ พวกเราจะแบ่งกันทำงานและจะไม่ทำให้องค์ชายต้องลำบากพระทัย” ซูต้าเหรินยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าครานี้เขาจะได้เดินทางไปช่วยเหลืองานขององค์ชายรองก่อนเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า“รบกวนซูต้าเหรินจัดการเรื่องแทนเราด้วย พวกท่านแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะ”“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา” ซูจินค้อมกายคำนับองค์ชายรองและออกไปจากตำหนักพร้อมขุนนางทั้งหมด เขายังต้องคัดเลือกคนที่จะติดตามไปยังเมืองเฉิงกุยแทนองค์ชายรองด้วยไป๋จิ่นหลินที่ได้รับรายงานจากคนขององค์ชายรอง เขาสั่งฮูต้าให้ไปรวบรวมยาทั้งหมดในร้านค้าทันที ส่วนสิ่งของจำเป็นสำหร
หนึ่งเดือนต่อมาท้องพระโรงวันนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เนื่องจากฝ่าบาทได้รับข่าวจากเมืองเฉิงกุยว่าเกิดน้ำท่วมและโรคระบาดครั้งใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรจำนวนมากโดยรอบเมืองเฉิงกุย“พวกเจ้ามีใครต้องการจะเดินทางไปแก้ไขปัญหาที่เมืองเฉิงกุยหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในท้องพระโรง“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้เจ้าเมืองเฉิงกุยน่าจะจัดการได้พะย่ะค่ะ เราเพียงส่งเงินช่วยเหลือไปให้พวกเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว” มหาเสนาบดีกล่าวอย่างรู้ดีว่าเจ้าเมืองเฉิงกุยเป็นคนของเขา หากนำเงินจากท้องพระคลังส่งไปยังเมืองนั้น เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งเงินบรรเทาทุกข์ครานี้ด้วย“กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการมอบเงินให้อย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอพะย่ะค่ะ หากหมอที่เมืองเฉิงกุยไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ แล้วมีคนหนีออกจากเมืองจนแพร่โรคไปทั่วแคว้น พอถึงตอนนั้นจะแก้ไขปัญหาก็คงยากราวกับขึ้นสวรรค์” องค์ชายรองรู้ดีว่ามหาเสนา
จูเค่ออี้หมิงไม่สนใจงานแต่งงานของไป๋จิ่นหลิน ตอนนี้เขากำลังเตรียมคนให้ลอบเข้ามาในเมืองหลวงอย่างลับ ๆ เพื่อเวลาที่หัวข้อการทดสอบออกมา เขาจะได้ส่งคนไปจัดการขุนนางฝ่ายองค์ชายรองเสียก่อน เรื่องนี้เขาไม่ได้ปรึกษามหาเสนาบดี เพราะรู้ดีว่าความคิดท่านพ่อของตนเองช่างคร่ำครึและระแวดระวังมากเกินไป จนทำให้แผนการที่ผ่านมาของจูเค่อหรงเจี้ยนมักไม่ค่อยสำเร็จ จูเค่ออี้หมิงจึงต้องหาทางกลบเกลื่อนแทนอยู่หลายครั้ง ไม่เช่นนั้นป่านนี้พ่อของเขาคงถูกฝ่าบาทลงโทษไปนานแล้วคนขององค์ชายรองที่แอบติดตามเตียหย่งไปยังภูเขานอกเมืองหลายวันก่อน ตอนนี้เขารู้ถึงแหล่งซ่องสุมกำลังของตระกูลจูเค่อว่าอยู่ที่ใดแล้ว หลังจากทราบสถานที่และลอบออกมาได้อย่างปลอดภัย เขารีบใช้วิชาตัวเบาเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อบอกเรื่องนี้ให้องค์ชายรองทราบทันที น่าเสียดายที่ระยะทางนั้นอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากพอสมควร ทำให้ตอนนี้เขายังไปไม่ถึงเมืองหลวงเลย ถึงแม้จะเดินทางมานานถึงหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ตามทีงานเลี้ยงที่ตระกูลไป๋จัดขึ้นนับว่าสมกับเป็นคหบดีใหญ่ การแสดงที่ถูกจ้างมาต่าง
องค์ชายรองพาพระชายากลับตำหนักในช่วงบ่าย พระองค์ปล่อยให้นางนอนพักผ่อนต่อโดยไม่ให้คนไปรบกวน ส่วนพระองค์เองก็ไปนั่งทำงานที่ห้องหนังสือในตำหนักด้วยความเคยชิน“องค์ชาย มีข่าวจากสายของเราในจวนมหาเสนาบดีพะย่ะค่ะ” อู๋เหลยเข้ามารายงาน“ว่ามา” องค์ชายรองยังคงก้มหน้าอ่านฎีกาที่อยู่บนโต๊ะต่อ“คนสนิทของจูเค่ออี้หมิงเดินทางออกนอกเมืองหลวง ไม่ทราบองค์ชายจะให้คนติดตามต่อไปหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ตามไป ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาไปทำสิ่งใดที่นอกเมืองในสถานการณ์ที่ราชสำนักไม่มั่นคง”“กระหม่อมจะรีบส่งคนติดตามไปอย่างใกล้ชิดพะย่ะค่ะ” อู๋เหลยกล่าวจบก็ทูลลาออกจากห้องหนังสือขององค์ชายรองไปเซียงเซียววางฎีกาที่ตรวจเสร็จลง ในหัวพระองค์กำลังคาดเดาแผนการของจูเค่ออี้หมิงหลังจากนี้ ถึงแม้องค์ชายอยากไปปรึกษาสหายอย่างไป๋จิ่นหลิน แต่พระองค์รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งงานของสหายพระอ
พระสนมกุ้ยเฟยที่มารอดูสะใภ้ใหม่ของราชวงศ์ที่ตำหนักเฟิ่งฮัวตั้งแต่เช้ากลับต้องรอคอยอย่างหงุดหงิดที่คู่บ่าวสาวไม่มาเสียที“ฝ่าบาทไม่คิดจะให้คนไปตามองค์ชายรองกับพระชายาหรือเพคะ พวกเรารอมาจนจะถึงเวลาเสวยพระกระยาหารเที่ยงแล้วนะเพคะ” กุ้ยเฟยตรัสด้วยใบหน้าบูดบึ้ง“เจ้าจะรีบอะไร? คนของเจ้ารองก็มาบอกแล้วว่าพวกเขาเพิ่งจะพักผ่อนกันตอนรุ่งสางนี่เอง หากเจ้ารอไม่ไหวก็กลับตำหนักไปเสีย” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะมาตำหนักฮองเฮาทำไมกัน ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย ฝ่าบาทมองสีหน้าฮองเฮาที่ยังคงนิ่งเรียบก็รู้สึกผิดในใจ กุ้ยเฟยมักทำตัวก้าวก่ายพระราชอำนาจของฮองเฮาหลายคราแล้ว แต่พระองค์ก็ตัดใจลงโทษนางไม่ได้เสียที“ขอพระองค์อย่าเพิ่งทรงกริ้ว หม่อมฉันแค่กลัวว่าฝ่าบาทกับฮองเฮาจะหิวเพคะ” กุ้ยเฟยหาทางออกให้ตัวเอง ไม่เช่นนั้นนางคงถูกคนของฝ่าบาทส่งตัวกลับตำหนักแน่ วันนี้นางมาก็เพื่อต้องการทำให้สะใภ้ใหม่ของฮองเฮาต้องอับอายเท่านั้น หากนา