หออี้เฉิงหลัน...
เยว่อันหนิงใช้เวลาเดินทางด้วยม้าเร็วเพียงสองชั่วยามก็มาถึงเมืองเทียนติ่ง
เก้าปีที่นางกลายเป็นนักฆ่าของหุบเขาไร้เงา นางเข้าออกบ้านเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่เป็นการมาเพื่อทำภารกิจสาส์นจากปรโลก ทำให้ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนเฉียดเข้าใกล้จวนสกุลเยว่ของตนสักหน
หากแต่วันนี้ภารกิจคือจวนสกุลซุยที่ห่างจากจวนสกุลเยว่เพียงไม่กี่รั้วบ้าน ทำให้นางต้องปักหลักที่หออี้เฉิงหลัน หอชื่อดังแหล่งรวมความรื่นรมย์ของเหล่าขุนนางและผู้มีเงินหนาถึงจะเข้าพักกินดื่มชมการแสดงในนี้ได้
"เชิญแม่นาง"
เยว่อันหนิงเดินตามหลังสตรีนางหนึ่งที่เป็นคนดูแลหอแห่งนี้เพื่อเข้าสู่ห้องพักในชั้นสอง
"หากต้องการสิ่งใดเพิ่ม สั่นกระดิ่งทองนี้ได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ"
สตรีโฉมสะครวญนางนี้ภายนอกดูเหมือนเถ้าแก่เนี๊ยเจ้าของกิจการทั่วไป หากแต่เบื้องหลังนางเป็นหนึ่งในสายลับของหุบเขาไร้เงา ทำให้เยว่อันหนิงได้รับการต้อนรับค่อนข้างพิเศษกว่าผู้อื่น
"ส่วนนี่คือทั้งหมดที่ผู้น้อยจัดเตรียมเอื้อความสะดวกให้แก่แม่นาง"
สายลับนามว่าอี้หลันหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมาวางลงตรงหน้าโฉมงามอาภรณ์แดง
เยว่อันหนิงทำเพียงก้มหน้าเล็กน้อยแทนการกล่าวขอบคุณ จากนั้นห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงนางคนเดียว
"รับสินบน ปล้นคนจน โกงกินบ้านเมือง"
เยว่อันหนิงอ่านคำร้องทุกข์จากรายงานในกล่องไม้ที่อี้หลันรวบรวมจากชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะสกุลซุยลับ ๆ เสร็จถึงกับกำมือแน่งน้อยแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง
เหตุใดขุนนางโฉดชั่ว โกงบ้านกินเมืองเช่นนี้ถึงอยู่ดีผาสุข ผิดกับสกุลเยว่ของนางที่ภักดีแม้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกลับตกตายอนาถเพราะคนชั่วป้ายสีสาดโคลนใส่
ฟ้าดินไม่ยุติธรรมบีบให้นางเลือกทางเดินนักฆ่านี้เพื่อสานปณิธานความแค้นวงศ์ตระกูลให้ลุล่วง
"ซุยฉีเฉียน"
กระดาษเปื้อนหมึกแดงที่มีชื่อของเป้าหมายในครั้งนี้ถูกนำไปจ่อที่เปลวไฟบนแท่งเทียนตรงหน้า ปล่อยให้ไฟร้อนค่อย ๆ เผาไหม้สาส์นสั่งตายนี้ให้กลายเป็นผุยผงเพื่อทำลายหลักฐาน
ร่างบางเดินไปยังหน้าต่างที่ปิดสนิท ค่อย ๆ แง้มออกพอมองลอดช่องเห็นจวนหลังใหญ่ที่ห่างจากหอแห่งนี้ไม่ถึงลี้
เยว่อันหนิงวางแผนในการลงมือในหัวคร่าว ๆ คืนนี้ปลายยามจื่อ(23.00 - 24.59 น.) นับว่าเป็นเวลาเหมาะ ทหารลาดตระเวนกำลังบางเบา นางจะสำเร็จโทษคนโฉดชั่วแทนกฎหมายที่ไปไม่ถึงนี้เอง
หากว่าเมื่อวางแผนทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว มือเรียวดั่งแท่งเทียนกำลังจะปิดหน้าต่างของชั้นสอง กับปรากฎกองทัพม้าขบวนหนึ่งควบผ่านไป
แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเวลาสั้น ๆ ที่เยว่อันหนิงมองเห็นใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังม้า หากแต่นางกลับเหมือนตกอยู่ในห้วงของกาลเวลาที่หยุดนิ่ง
ใบหน้าด้านข้างที่คมคร้ามสะดุดตา ช่างเป็นบุรุษที่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าก็ทำให้สตรีอย่างนางหวั่นไหวได้แม้จะเป็นความรู้สึกเพียงชั่ววูบ
เคร้ง!
หากแต่เสียงดังด้านนอกทำให้คนที่ตกในภวังค์ได้สติ เยว่อันหนิงรีบเดินออกมาจากห้องเมื่อเสียงเมื่อครู่ดังอยู่หน้าห้องพักของนาง
"บ่าวขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวไม่ได้ตั้งใจ"
สาวใช้นางหนึ่งกำลังนั่งกับพื้นโขกศีรษะจนหน้าผากแดง ตรงหน้าสาวใช้ผู้นั้นมีสตรีสูงศักดิ์สวมอาภรณ์เนื้อดีหรูหรา เต็มไปด้วยเครื่องประดับทั้งหยกและอัญมณีมากมายหากแต่ใบหน้าของนางกำลังเหมือนปีศาจร้ายจ้องฉีกร่างผู้ที่นั่งสำนึกผิดอยู่ที่ปลายเท้านาง
"ขอโทษรึ เจ้ารู้หรือไม่ข้าแพ้ถั่ว เมื่อครู่หากข้ากลืนขนมที่เจ้าสับเพร่าจัดวางให้ ป่านนี้คงได้นอนหายใจรวยรินทรมานไปแล้ว!"
เสียงเล็กแหลมดังกึกก้องไปทั้งหออี้เฉิงหลัน ทำเอาบรรดาแขกเหรื่อห้องอื่น ๆ ที่เข้ามาพักผ่อนเริงรมย์ต่างพากันออกมามุงดู
"บ่าวไม่ทราบจริง ๆ เจ้าค่ะว่าขนมถั่วนั่นมาได้เช่นไร คุณหนูเจ้าคะ บ่าวอยู่ข้างกายคุณหนูมาหลายปีเหตุใดบ่าวจะเลอะเลือนนำอาหารที่คุณหนูแพ้มาให้เจ้าคะ"
หากใช้ความเป็นกลางฟังสิ่งที่สาวใช้ผู้นี้กล่าวก็มีเหตุผล
หากนางรับใช้คุณหนูผู้นี้มานานขนาดนั้นจะสับเพร่าได้เช่นไร
"เจ้าหวังจะทำร้ายข้าเพราะท่านพ่อหักเบี้ยหวัดครอบครัวเจ้าใช่หรือไม่!"
หากแต่เสียงตวาดกลับฟังมีแรงจูงใจ สาวใช้ที่นั่งอยู่ที่พื้นเหมือนสำนึกผิดถึงกับสะดุ้งตัวสั่นเล็กน้อย
เยว่อันหนิงมองเห็นความผิดปกติของสาวใช้นางนั้น มือของนางกำแน่นภายใต้ชายแขนเสื้อราวกำลังข่มใจไม่ให้กระทำการบางอย่าง
"บ่าว... บ่าวจะกล้าทำร้ายคุณหนูของจวนซุยได้อย่างไรเจ้าคะ หากใต้เท้าซุยรู้เข้า บ่าวกับครอบครัวจะอยู่รอดได้เช่นไร คุณหนูโปรดเมตตา เห็นแก่ที่บ่าวรับใช้คุณหนูมานาน นำความดีหักล้างความผิดพลาดครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
นางคือบุตรีสกุลซุยงั้นหรือ?
บิดาโกงกิน รับสินบนว่าชั่วแล้ว บุตรีผู้นี้แววตาไร้เมตตา ใจคอเราะร้ายไร้การผ่อนปรน
สมแล้วที่มีผู้คนร้องเรียนถึงความชั่วสกุลซุยมากถึงเพียงนั้น
"โอ้ย! คุณหนูบ่าวไม่ได้ทำ บ่าวถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ"
เยว่อันหนิงละความสนใจเพียงแค่ชั่วครู่ ผู้ที่วิวาทกันด้านหน้าถึงกับลงไม้ลงมือกัน
สาวใช้นางนั้นกลิ้งลงนอนกับพื้นด้วยการถูกฝ่าเท้าเหยียบย่ำบนใบหน้าอย่างหยามเกียรติ
เยว่อันหนิงหยิบหมวกคลุมปิดหน้าสีขาวสะอาดตาขึ้นมาสวม ทำท่าทีเหมือนเดินออกจากห้องไปปกติ หากแต่ในมือกลับมีหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งกำไว้ นางใช้แรงเพียงปลายนิ้วดีดหินก้อนนั้นใส่ขาอีกข้างที่เหยียบบนพื้นของคุณหนูซุย ทำเอาคนที่ไม่มีวรยุทธ์ถึงกับแผดเสียงร้องเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นเรียกเสียงขบขันให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
"ใคร! ใครลอบทำร้ายข้า!"
เสียงแหลมเล็กของคุณหนูซุยดังก้องไปทั้งชั้นสองของหออี้เฉิงหลัน หากแต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใครคือคนดีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างลับ ๆ ในครั้งนี้
ผิดกับสายตาเฉี่ยวคมของบุรุษผู้หนึ่งที่แวะเข้ามาชมความวุ่นวายยามผ่านทางที่มองเห็นการกระทำของสตรีลึกลับสวมหมวกสานปกปิดใบหน้าผู้นั้นที่ช่วยเหลือสาวใช้นางนั้นไว้จากการตั้งศาลเตี้ยพอดี
"เราควรยื่นมือไปช่วยหรือไม่"
ซ่างฮ้วนถามแม่ทัพน้อยของเขาเสียงหยอกล้อ
"ละครจบแล้ว อยากเป็นบุรุษขี่ม้าขาวช่วยสตรีก็เชิญ"
เขาก็แค่ชวนคุย เหตุใดต้องทำหน้าเย็นชาใส่เช่นนี้ด้วย
"เดี๋ยว! แม่ทัพน้อยรอข้าด้วย!"
เสียงตะโกนเรียกของซ่างฮ้วนสะดุดหูของเยว่อันหนิงที่เพิ่งเดินสวนออกจากหออี้เฉิงหลันพอดี
นางชะงักเท้าเล็กน้อยก่อนหันไปมองครู่หนึ่ง บุรุษสวมชุดสีดำสองนายพร้อมป้ายห้อยที่นางเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งยืนอยู่ห่างนางไม่ถึงผิง
สายตาของนางและแม่ทัพน้อยผู้นั้นประสานกันชั่วขณะ
แม้อีกคนจะมองเห็นแววตาภายใต้ผ้าขาวบางนั้นไม่ชัดเจน หากแต่เฉินเจียนหลางกลับตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งเช่นกัน
เยว่อันหนิงรับรู้ได้ถึงสายตาไม่ปลอดภัยของคนผู้นี้จริงรีบถอนตัวออกมา
'บุรุษผู้นี้หรือ แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่า'
เกร้ง!เพียงชั่วพริบตาที่นางคิดว่ากระบี่ในครั้งนี้คงปลิดชีพตนเป็นแน่จึงหลับตาลง หากแต่กลับเกิดเสียงคล้ายของมีคมกระทบกัน จากนั้นเอวบางของนางก็ถูกโอบรัดให้เข้าสู่อ้อมกอดที่แสนคุ้นเคยดวงตาสีสวยแสนอิดโรยฝืนลืมตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดนั้นใบหน้าคมคร้ามงดงามราวเทพเซียนประจักแก่สายตาเป็นเขาอีกแล้ว คนที่ช่วยเหลือนางยามคับขันเหตุใดถึงเป็นเขาอยู่ร่ำไปเปลือกตาบางฝืนต่อไม่ไหว ค่อย ๆ ปิดสนิทลงพร้อมเสียงเรียกที่ฟังไม่ชัดคำของแม่ทัพน้อยเฉิน"อันหนิง"หลังจากที่เฉินเจียนหลางหลบหนีจากนักฆ่าผู้นั้นสำเร็จเขาก็พาเยว่อันหนิงหลบมาอยู่ที่กระท่อมร้างในป่า"จื่อเอ๋อร์ ได้ยินข้าหรือไม่"ชายหนุ่มพยายามเรียกคนที่กึ่งหลับกึ่งมีสติเบา ๆ เพื่อให้นางตอบสนองเขามากที่สุด"เจ้าถูกพิษ"เฉินเจียยหลางจับชีพจรนางดูพบว่าลมปราณปั่นป่วน ริมฝีปากเริ่มม่วงคล้ำเพราะถูกพิษ"พ...พี่ รอ..ง"เสียงที่คนไม่ได้สติพึมพำออกมาเบามากขนาดคนอยู่ใกล้นางยังแทบจับใจความไม่ได้"กินยาถอนพิษก่อน"ขวดเล็กกะทัดรัดถูกหยิบออกมาพร้อมกับเทยาลูกกลอนออกมาสองเม็ดหย่อนเข้าไปในปากของเยว่อันหนิงเสียงไอกระท่อนกระแท่นดังขึ้นหลังจากนางฝืนกลืนยานั้นลงคอ จากนั้
แม้คราแรกที่ไว้ชีวิตคนผู้นี้เพื่อตั้งใจใช้ร่างนี้เป็นหนูทดลองยาพิษของเขาแล้วหลอกถามเอาข้อมูลที่อยากได้มาแต่นึกไม่ถึงว่าคนของจวนเยว่ช่างกตัญญู พอรู้ว่าถูกพิษควบคุมจิตจึงรีบทำให้ลมปรานแตกซ่านจนความจำเสื่อมลืมเลือนสิ้นทุกอย่างในอดีตเยว่อินกวานเลือกที่จะอยู่เหมือนศพเดินได้ แต่ไม่ขอทำร้ายหรือหักหลังครอบครัวสวบ!เยว่อันหนิงที่ลอบฟังอยู่ด้านบนทนรับความจริงที่เจ็บปวดนี้ไม่ได้จึงเผลอขยับตัวจนเกิดเสียงนักฆ่าหุ่นเชิดของมู่ตงหยวนรวดเร็วดั่งสายฟ้าซัดอาวุธลับในมือใส่นางอย่างมิให้ตั้งตัวฉึก!เลือดสด ๆ หยดลงเป็นสายเยว่อันหนิงรีบซัดเข็มพิษลงไปในห้องนั้นโดยไม่สนใจจะดูผลงานว่าโดนผู้ใดบ้างก่อนจะหลบหนีไป"ใต้เท้า!"ภายในห้องหนังสือเกิดเสียงดังของหม่าเย่าขึ้นเข็มพิษเมื่อครู่แม่นยำราวจับวาง ปักเข้าร่างกายของมู่ตงหยวนจนกระอักเลือดข้นออกมา"นำขวดยาในห้องลับมาให้ข้า"หม่าเย่ารีบเปิดห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ นำยาที่ว่าออกมาให้นายของเขาระงับพิษ"ไปจับตัวมาให้ได้! ข้าอยากเห็นว่ามันเป็นใคร!"มู่ตงหยวนสั่งการอย่างเลือดเย็นทั้งแววตาและน้ำเสียงนักฆ่าหุ่นเชิดรีบรับคำสั่งออกตามล่าโจรผู้นั้นทันทีอีกด้าน
ประมือผ่านมาหลายวันแล้วที่เยว่อันหนิงพักรักษาตัวอยู่ที่จวนสกุลเฉิน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่นางวางเอาไว้ เฉินเจียนหลางผู้นี้เป็นคนรักษาคำพูด ตอนนั้นเขาบอกจะตอบแทนน้ำใจที่นางช่วยชีวิต มาครั้งนี้เขาจึงให้ที่พักพิงนางโดยไม่ไตร่ถามถึงวันเวลาที่ต้องการจะอาศัยอยู่"แม่นางจวี๋ ข้าน้อยขอเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงสาวใช้นามว่าเสี่ยวอวิ้นดังขึ้น"เข้ามาเถิด"ประตูห้องพักเปิดอ้ากว้างทันทีที่คนในห้องอนุญาตเสี่ยวอวิ้นสาวใช้คนใหม่ที่มู่อานจิ่วแอบฝากฝังผ่านพ่อบ้านเฉินถือสำรับอาหารเช้าเข้ามาให้เยว่อันหนิงตามปกติ"แม่นางจวี๋ทานอาหารเช้าก่อนเจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงชะม้ายสายตามองอาหารที่ถูกวางไว้บนโต๊ะในแต่ละวันแต่ละมื้อ นางมักถูกคนในห้องครัวขุนจนอ้วนจะเป็นแม่หมูอยู่แล้ว"ขอบใจเจ้ามาก วันนี้เหตุใดข้าจึงไม่เห็นคุณชายน้อยของบ้าน"คุณชายน้อยที่ว่าคือเฉินเจียนหลาง เขาให้เยว่อันหนิงเรียกตนแบบนั้น"คุณชายน้อยออกไปกับนายท่านตั้งแต่เช้ามืดแล้วเจ้าค่ะ อ้อ บ่าวเกือบลืมไป"เสี่ยวอวิ้นรีบล้วงเอาของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะส่งให้สตรีงดงามตรงหน้า"ของคุณชายน้อยเจ้าหรือ"เสี่ยวอวิ้นพยักหน้าแทนคำตอบ สายตาของสาวใ
"ข้าขอปรึกษากับท่านพ่อสักคำ พรุ่งนี้จะให้คำตอบคุณหนูได้หรือไม่""ได้ยินเช่นนี้อานจิ่วก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ"มู่อานจิ่วคำนับรับอย่างอ่อนช้อย"คุณหนูยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่"ครั้นในห้องเงียบลง มู่อานจิ่วเองก็สอดส่ายสายตาราวกำลังมองหาอะไรอยู่เงียบ ๆ แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาของเฉินเจียนหลาง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา"อานจิ่วเสียมารยาทแล้ว วันนี้มาขอร้องคุณชายด้วยมือเปล่า วันหน้าจักเตรียมของกำนัลมาตอบแทนนะเจ้าคะ"ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่รับปากเรื่องยืมกำลังคน แต่อีกคนกลับพูดถึงเรื่องเตรียมของตอบแทนเสียแล้วแบบนี้เท่ากับว่ามัดมือชกเขามิใช่หรือพ่อลูกตระกูลนี้ร้ายกาจไม่แพ้กันจริง ๆเมื่อเอ่ยปากออกไปแล้วแต่อีกคนไม่ตอบกลับ มู่อานจิ่วจริงลุกขึ้นยืนเพื่อบอกลา"อานจิ่วแอบออกจากจวนมานานแล้วท่านพ่อท่านแม่คงเป็นห่วงแย่ ขอตัวลาคุณชายเฉินตรงนี้เลยนะเจ้าคะ""เดี๋ยวข้าให้ซ่างฮ้วนไปส่งท่านกลับจวน""ขอบคุณน้ำใจคุณชาย แต่อานจิ่วกลับเองดีกว่าเจ้าค่ะ"มู่อานจิ่วย่อตัวลงช้า ๆ เป็นการคำนับลาตามมารยาทของสตรีในห้องหอที่แสนงดงาม ก่อนจะเดินออกไปจากโถงรับรองคล้อยหลังสตรีงดงาม ซ่างฮ้วนที่แอบซ่อนตัวอยู่ตามคำสั่งของแม
สตรีอ่อนหวานใช่ว่าไม่ร้ายโถงรับรอง จวนสกุลเฉินหลังจากป้อนยาให้เยว่อันหนิงเรียบร้อยแล้ว เฉินเจียนหลางก็ตรงมาที่โถงรับรองแขกเพื่อพบคนที่มาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน"เสียมารยาทแล้วที่ปล่อยคุณหนูมู่รอนาน"แม่ทัพน้อยเอ่ยขอโทษขอโพยตามมารยาททันทีที่มาถึง"มิกล้าเจ้าค่ะ เป็นอานจิ่วเองที่มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า"มู่อานจิ่วรีบกล่าวขออภัยอย่างมารยาทงาม"ไม่ทราบว่าคุณหนูมู่มาถึงจวนสกุลเฉินมีเรื่องอันใดหรือ"เฉินเจียนหลางนั่งลงบนตั่งไม้เนื้อดีพลางรินน้ำชาลงถ้วยยกดื่มพร้อมรอฟังธุระของอีกคน"คุณชายเฉินคงได้ยินข่าวของจวนมู่มาบ้างแล้ว"มู่อานจิ่วเกริ่นขึ้นนางเปลี่ยนสรรพนามเรียกคนตรงหน้าราวสนิทสนม หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ใส่ใจ เขาทำท่านึกคิดถึงคำบอกเล่ากึ่งถามนั้นครู่หนึ่งก่อนตอบ"เรื่องที่อยู่บนป้ายประกาศหรือ"เฉินเจียนหลางเดาสุ่มมั่วเพราะนอกจากเรื่องประกาศจับคนร้ายแล้วยังมีข่าวอันใดที่โด่งดังในเวลาเช่นนี้อีก"เดิมทีเรื่องนี้อานจิ่วเป็นสตรีไม่ควรยุ่ง ทว่าเห็นท่าทางหวาดวิตกของท่านพ่อแล้ว อานจิ่วมิอาจอยู่เฉยได้เจ้าค่ะ""หืม... ใต้เท้ามู่วิตกเรื่องอันใด หรือว่าของที่โจรผู้นั้นขโมยไปจะเป็นของสำคัญมาก เ
"จวี๋จื่อขอบคุณความเมตตาของท่านแม่ทัพน้อย และต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านเดือดร้อน”ทว่าเสียงที่กังวาลและเด็ดเดี่ยวของเฉินเจียนหลางที่เอ่ยกลับ ทำให้หัวใจดวงน้อยของเยว่อันหนิงหวั่นไหวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้"ช่วยชีวิตเจ้า ข้ามิเรียกว่าเดือดร้อน"เหตุใดแววตาของเขาที่สบมองนางตอนพูดประโยคนั้นถึงได้ดูลึกซึ้งเพียงนี้“ตอนนี้เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่จวนของข้าให้สบายใจเถิด มิต้องกังวลเรื่องของคณะเซียงหย่งที่ร้องขอมา”“ร้องขอ? หัวหน้าใหญ่คณะร้องขออันใดมาหรือเจ้าคะ”เยว่อันหนิงรีบถามขึ้นด้วยความอยากรู้มิใช่ว่าทางนั้นเล่นจริงจังเกินไปจนเผลอทำอะไรเกินควรมาหรอกกระมัง“พี่ชายเจ้าเคยบอกไว้มิใช่หรือ ธรรมเนียมของคณะเซียงหย่งคือ หากสตรีนางใดเปิดผ้าคลุมหน้าให้ผู้ใดเห็น หมายถึงการที่นางฝากชีวิตไว้กับคนผู้นั้นแล้ว”เยว่อันหนิงนิ่งไปอย่างหาเสียงค้านไม่พบ นางไม่คิดว่าเรื่องราวจะพัวพันยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้“หากเป็นเรื่องนี้ ท่านแม่ทัพน้อยมิต้องใส่ใจ เรื่องวันนั้นเป็นเพียง...”“ข้าเป็นถึงแม่ทัพน้อยแห่งเมืองเทียนติ่ง กล้าทำย่อมกล้ารับผลที่ตามมา”เยว่อันหนิงยังมิทันจะได้พูดความในใจออกไปหมดก็ถูกเฉินเจียนหลางผู้นี้กล่า