"เจ้ายังมิตอบข้า เมื่อครู่เจ้าขันข้าอันใด"
เมื่ออยู่กันลำพัง ซ่างฮ้วนก็มิจำเป็นต้องแสดงความเคารพคนตรงหน้า เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ระดับต่ำกว่าเฉินเจียนหลางนั่งอยู่เพื่อรินน้ำชาดับกระหายและรอฟังคำตอบจากอีกคน
"เจ้าตาฝ้าฟางกระมัง"
หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ปิติที่จะตอบคำถามสหาย เขาทำเพียงวางท่าสง่าเอื้อมมือแกร่งที่ผิวพรรณขาวผ่องภายใต้อาภรณ์สีดำสีที่เขาชอบ จับกาน้ำชาขึ้นมารินจิบอุ่น ๆ พลางแสยะยิ้มยั่วโมโหอีกคนที่ทำท่าฟึดฟัดใส่อย่างไร้เหตุผล
"เจ้ายิ้ม เมื่อครู่เจ้ายิ้มขันข้า"
หากแต่ซ่างฮ้วนกลับมิยอม เมื่อครู่เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าถูกหยามเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์ตน
"เจ้าจะให้ข้ายอมรับให้ได้"
"เป็นบุรุษ ทำอันใดไว้ย่อมต้องยืดอกรับ"
"เช่นนั้นเจ้าห้ามเคืองข้า"
"ข้ามิใช่สตรีจะได้ทำเช่นนั้น"
"คำไหนคำนั้น"
"อย่ามากความ ตกลงเมื่อครู่เจ้าขันข้าเพราะเหตุใด"
สนทนากันเสียยาวยืดไม่ให้อีกคนหายใจหายคอใช้ความคิดตริตรอง ซ่างฮ้วนวางถ้วยน้ำชาลงพื้นเสียงดังตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลที่ถูกสหายรักขำขันตนต่อหน้าผู้อื่น
"แม่นมข้า สาวใช้ในจวนเฉินที่เจ้าเห็นตั้งแต่เล็กจนโตกลับมิเคยจดจำชื่อได้ หากแต่พอข้าถามถึงบุตรีของจวนมู่เจ้ากลับไม่ขบคิดสักครึ่งเค่อ ตอบได้อย่างฉะฉานถึงนามของสตรีผู้นั้น เช่นนี้ยังต้องให้ข้าอธิบายเพิ่มหรือไม่"
ซ่างฮ้วนถึงกับหน้าชา นี่เขาพลาดไปแล้วหรือที่เค้นคอให้จ่าฝูงหมาป่าเลือดเย็นเจียนหลางผู้นี้จับจุดอ่อนเขาได้
"เจ้าพูดเกินไปกระมัง คนในจวนเฉินข้าจะมิรู้ชื่อพวกนางได้เช่นไร"
"แม่นมข้าชื่ออะไร" ไม่รอให้อีกคนหายใจเต็มปอด เฉินเจียนหลางรีบถามออกไปทันควัน ทำเอาคนที่อวดเก่งเมื่อครู่ถึงกับอ้ำอึ้ง
"แม่นมเจ้าชื่อ..."
ซ่างฮ้วนอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
เหตุใดถึงมิเคยรู้ตัวเลยว่าเขาไม่ได้จดจำชื่อของข้ารับใช้ในจวนที่ตนอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กเช่นนี้
"หึ"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังอย่างเยาะหยัน หากแต่ซ่างฮ้วนกลับโต้คืนอันใดไม่ได้ เขาพลาดไปแล้วจริง ๆ หมากกระดานนี้เขาพลาดท่าบอกใบ้ความลับที่แอบซุกซ่อนอยู่ให้หมาป่าเดียวดายผู้นี้รู้ไปแล้ว
"เรื่องแต่งงานเจ้าคิดว่าข้าควรตอบรับหรือไม่"
ซ่างฮ้วนมองหน้าเฉินเจียนหลางที่ถามคำถามนี้เงียบ ๆ พลางคิดในใจ
จริงอยู่ว่าเขาบังเอิญพบเจอมู่อานจิ่วและช่วยเหลือนางจากอันธพาลที่เคยถูกบิดานางตัดสินโทษอย่างอยุติธรรมจับตัวไปเอาไว้ ทำให้ทั้งสองรู้จักกันและใจของซ่างฮ้วนกลับไม่สงบตั้งแต่นั้นมา
แต่หากถามหัวใจดี ๆ เขามิรู้ด้วยซ้ำว่ามู่อานจิ่วคิดกับเขาเช่นไรและช่วงเวลาที่ผ่านมาซ่างฮ้วนก็มิถึงขั้นคนึงหาสตรีนางนี้แล้วขาดมิได้ หากเจียนหลางจะเลือกมู่อานจิ่วเขาก็มิขัดขวาง
"ตอบรับหรือไม่ ข้ากับเจ้าก็ยังเป็นเหมือนเดิม"
ตอบแบบนี้ดีที่สุดแล้ว
"เหตุใดเจ้าถึงตอบเช่นนั้น"
น้ำเสียงราบเรียบ ขัดกับสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นมา
"ก็เจ้ารู้เรื่องที่ข้ามีใจ... เดี๋ยวก่อน หรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องข้ากับนาง?"
ซวยแล้วซ่างฮ้วน ถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้ขุดกับดักให้ตกหลุมพลางเขาเสียแล้ว
"อ้อ แท้จริงแล้วที่เจ้าจดจำชื่อแซ่สตรีนางนี้ได้เป็นเพราะเจ้าเสน่หานางอยู่นี่เอง ข้านึกว่าเจ้าจำชื่อนางได้เพราะเป็นคนรวบรวมข้อมูลตระกูลมู่ให้ข้าเสียอีก"
เฉินเจียนหลางมีความสุขยามได้กลั่นแกล้งสหายผู้นี้
"เจียนหลาง! เจ้ามันหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหลอกให้ข้าเผยความลับนี้ให้ขายหน้า"
ซ่างฮ้วนเดือดเป็นไฟ หากแต่กลับทำได้เพียงแค้นใจตนเองที่ตกหลุมพลางสหายจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้
"ข้าหลอกเจ้าหรือเจ้าร้อนตัวกันแน่"
ครั้งนี้ซ่างฮ้วนทำเพียงเจ็บแค้นในใจ ดวงตาเขากำลังบอกเฉินเจียนหลางว่าฝากไว้ก่อน อย่าพลาดมีนางในดวงใจให้เขาล่วงรู้ เขาจะรอวันเอาคืนให้หายแค้นใจ
"เอาละ ๆ เลิกล้อเล่นกันได้แล้ว มาเข้าเรื่องสำคัญกันดีกว่า"
น้ำเสียงแม่ทัพน้อยเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา แววตาเขาดุดันราวหมาป่ากำลังดักรอเหยื่อ
"การแต่งงานในครั้งนี้จวนมู่ถึงขั้นเป็นฝ่ายเอ่ยปาก เจ้าว่าไม่แปลกหรือ"
ผู้นำตระกูลมู่ในเวลานี้คือมู่ตงหยวน เสนาบดีกรมตุลาการผู้คุมอำนาจศาลเทียนอวี่แห่งเมืองเทียนติ่ง
ทั้งสองจวนแทบไม่เคยไปมาหาสู่กัน ผู้นำทั้งสองจวนพบเจอกันเพียงแค่ในท้องพระโรงตอนประชุมเหล่าขุนนางว่าราชการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าบุตรชายและบุตรีของทั้งสองพวกเขาเรียกได้ว่าไม่เคยพูดคุยหรือพบเจอกันแม้เฉียดผ่าน
การที่จื่อเชว่รายงานเรื่องมงคลของสองตระกูลนี้มาแทบจะแปลกทุกส่วน
"หรือว่าใต้เท้ามู่จะรู้เรื่องที่เราตามสืบเขาอยู่"
ซ่างฮ้วนแสดงความคิดเห็น และเป็นสิ่งเดียวกับที่เฉินเจียนหลางกำลังวิเคราะห์ความเป็นไปได้
"หากอยากรู้คงมีทางเดียว"
"เจ้าจะตอบรับการทาบทามนี้?"
คนถูกตั้งคำถามเงียบครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดถึงผลลัพธ์ในใจ เมื่อคิดดีแล้วจึงขยับปากหยักลึกเอื้อนเอ่ย
"มีทางเลือกไหนดีกว่านี้อีก"
"แล้วคำทำนายนั่น..."
ซ่างฮ้วนหนักใจแทนสหายรัก
'คำทำนาย' ที่เขาหลุดปากคือคำทำนายจากหมอดูชะตาเร่ร่อนผู้หนึ่งที่เคยตรวจดวงชะตาให้เฉินเจียนหลางตั้งแต่เขาเกิด
หมอดูชะตาผู้นั้นเคยบอกไว้ว่า หากเมื่อใดที่เฉินเจียนหลางมีความคิดเรื่องมงคลตบแต่งฮูหยินเข้าเรือน วันนั้นจะเป็นวันที่อาบไปด้วยสีแดงชาดของโลหิต
คราแรกบิดากับมารดาเขาก็ไม่มีใครใคร่เชื่อ จวบจนเมื่อบุตรชายอายุได้สิบสี่ขวบ เฉินเจียนหลางบังเอิญพบเจอสตรีนางหนึ่งจนคิดคนึงหาพิสวาสตั้งแต่แรกเจอ ในใจเขาขบคิดว่าหากพบนางอีกไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจเขาจะต้องตบแต่งนางเข้าจวนสกุลเฉินให้จงได้
หากแต่ความคิดเขาต้องดับลงเมื่อข่าวที่ได้รับช่างโหดร้าย คำทำนายของหมอดูชะตาผู้นั้นเป็นจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ
นับตั้งแต่นั้นมา เฉินเจียนหลางก็ไม่เคยคิดเรื่องงานมงคลตบแต่งสตรีเข้าเรือนสกุลเฉินอีกเลย
"หากเป็นจริงดั่งคำทำนาย กองทัพเขี้ยวหมาป่าคงให้เจ้าเป็นคนดูแลต่อแล้ว"
"ถุย ๆ วาจาเจ้านี่ช่างเหม็นเน่าไม่เป็นมงคลนัก"
ซ่างฮ้วนรีบถ่มน้ำลายไล่คำอัปมงคลที่สหายรักเพิ่งพ่นออกมา ก่อนจะส่งสายตาตำหนิคนที่เล่นไม่รู้เลิก
"จื่อเชว่บอกว่าอีกไม่กี่วัน เช่นนั้นคืนนี้เราเดินทางกลับเมืองเทียนติ่งกัน"
"อยากเห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวขนาดนั้นเชียว"
ซ่างฮ้วนพูดจาประชดอีกคน หากแต่ทำไมเขากลับดูร้อนรนเสียเอง
"ข้าหมายถึงกลับเมืองเทียนติ่งเพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เหตุใดสมองเจ้าถึงมีแต่เรื่องสตรีอยู่เช่นนั้น"
เป็นอีกครั้งที่ซ่างฮ้วนยื่นเนื้อตนให้สุนัขป่าอย่างเฉินเจียนหลางกินอย่างสบายอุรา ส่วนตนกลับได้แต่เจ็บส่วนที่เฉือนให้เขาเองกับมือเงียบ ๆ
"ข้าจะทูลฟ้ององค์รัชทายาทว่าเจ้ารังแกข้า"
"เป็นบุรุษ คับข้องใจก็เอาคืนเอง"
ใครจะกล้าเล่นกับหมาป่าชั่วร้ายอย่างเขากัน ยามที่มีองค์รัชทายาทอยู่ด้วยไม่เห็นจะเย็นชากับพระองค์เช่นที่ทำกับตนตอนนี้เลย
"เจ้าออกไปเตรียมการเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว"
ไม่ต้องไล่ซ่างฮ้วนก็คิดจะจากออกไปอยู่แล้ว
"เชิญเจ้าสำราญใจรอวันร่วมหอล่วงหน้า"
ไม่ใช่คำพูดประชดให้ตนเองเจ็บ แต่เป็นการตอกย้ำผู้ฟังให้นึกถึงคำทำนายที่อาจจะเป็นจริงหรือไม่เกิดให้แตกฉาน
จากนั้นบุรุษอกผายไหล่ผึ่งก็เดินออกจากกระโจมแห่งนี้ไป ปล่อยให้เฉินเจียนหลางนั่งจมอยู่กับอดีตที่ยากจะลืม
"มงคล สีชาด หลั่งโลหิต สมหวัง"
เขาทบทวนสิ่งที่บิดาเคยบอกไว้ เป็นคำทำนายจากหมอดูผู้นั้นตอนที่เขาเกิด
"หากหลั่งโลหิตแล้วจะสมหวังได้เช่นไร"
เฉินเจียนหลางขบขันออกมาเบา ๆ อย่างเหยียดเยาะ ก่อนจะร่ำสุราดีรอเวลาหวนกลับเทียนติ่งในค่ำคืนนี้
"แม่นางเยว่มิได้คิดอันใดข้าพอทราบ แต่บุรุษหากปักใจรักแล้วยากจะตัดใจ"เยว่อันหนิงลอบมองใบหน้ารูปงามของแม่ทัพน้อยที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา"หากศิษย์พี่มาที่นี่ ฝากเจ้าหออี้ส่งข่าวว่าข้าต้องการพบ""ข้าน้อยทราบแล้ว""เช่นนั้นพวกเราขอตัว""เรื่องที่ฝากฝังไว้ ข้าจะรีบส่งข่าวอีกที""ขอบคุณเจ้าหออี้"เยว่อันหนิงส่งสัญญาณตาให้บุรุษเพียงคนเดียวในห้องเดินตามนางออกจากหอเริงรมย์ เฉินเจียนหลางว่าง่ายเขาเดินตามนางออกมาจากในนั้นเงียบ ๆ ราวคนลืมเอาปากมาด้วย"ท่านคงไม่ได้หึงหวงข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่"ครั้นออกมาจากหออี้เฉิงหลันแล้ว เยว่อันหนิงรู้สึกถึงความเงียบที่มีไอเย็นยะเยือกตามหลังมาเลยหยุดเท้าแล้วหันมาเผชิญหน้าถามคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ"หากข้าบอกว่าหึงเล่า"คนที่ไม่เคยหวั่นไหวกับความรักหรือคำหวานถึงกับสะอึก หัวใจที่ไม่คิดจะหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้กลับแกว่งแปลก ๆ จนต้องปั้นหน้าหันหลบตาไปอีกทาง"ข้ากับต้วนอี้เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวในหัว""ถึงเจ้าจะคิด ข้าก็ไม่ยอม""ท่านหมายความเช่นไร""ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว ต่อให้หัวใจเจ้าจะอยู่กับผู้อื่นข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด"วาจาหน
หลังจากเข้ามาในห้องประจำที่อี้หลันจัดเจรียมไว้แล้ว เจ้าหออี้ก็พาเยว่อันหนิงปลีกออกมาอีกฝั่งของห้องสี่เหลี่ยมเพื่อไถ่ถามความเป็นมาในวันนี้"เหตุใดท่านถึงมากับแม่ทัพน้อยเฉินได้"การกระซิบถามไม่ได้อยู่นอกสายตาของเฉินเจียนหลางสักนิด หากแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้สตรีสองนางอึดอัดเท่านั้น"เขารู้ตัวตนของข้าหมดแล้ว"อี้หลันถึงกับตกใจกับความจริงที่ได้ยินคราแรกตอนที่นางเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาในหอเริงรมย์แห่งนี้ด้วยกันอี้หลันคิดเพียงแค่ว่าเฉินเจียนหลางคงหลงเสน่ห์นางรำจวี๋จื่อเข้าให้ แต่ไม่นึกว่าที่แม่ทัพน้อยเฉินเดินตามก้นนางมาอย่างไม่ให้ห่างกายเช่นนี้เป็นเพราะเขาล่วงรู้ความลับของเยว่อันหนิงเสียแล้ว"เช่นนั้นคงไม่มีอะไรปิดบังเขาอีกแล้ว"เยว่อันหนิงพยักหน้าแทนคำตอบให้อี้หลันจากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับแม่ทัพน้อยเฉินที่นั่งจิบน้ำชารอเงียบ ๆ"วันนี้ท่านมาที่นี่ต้องการข่าวอันใดจากหออี้เฉิงหลันของข้า"เจ้าหออี้ที่นับว่าเป็นสตรีงดงามผู้หนึ่งแห่งเมืองเทียนติ่งเอ่ยถามขึ้น"ข้าต้องการให้ท่านดูสิ่งนี้"เยว่อันหนิงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เก็บเศษผงบนตัวสายลับเงาของเฉินเจียนหลางยื่นให้อี้หลั
"เดิมทีหญ้าเกสรห้าสีเป็นสมุนไพรบำรุงหัวใจ หาได้ยากนักเพราะมักเกิดอยู่บนเขาลึกที่หนทางซับซ้อนอันตรายรอบด้าน"เฉินเจียนหลางตั้งใจฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้และรอไขคดีคนร้าย"แต่หากนำมาทาอาบไว้บนไม้แก่นกำยานจะกลายเป็นพิษร้ายที่สามารถทำให้คนสิ้นใจอย่างไม่รู้ตัว""เช่นนั้นตอนที่เจ้าถูกพิษที่มีดสั้นวันนั้นเหตุใดถึงยังรอดมาได้"เยว่อันหนิงค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วเอ่ย"เพราะข้ามียาของหมอเทวดาของหุบเขาช่วยชีวิตไว้"พอคิดถึงเรื่องในอดีต เยว่อันหนิงกลับรู้สึกขนชันขึ้นมาทันที หากยามนั้นนางไม่ได้พกยาถอนพิษที่ขจัดพิษได้ทุกชนิดของผู้เฒ่าฝูหนาน ป่านนี้นางคงได้ไปพบบิดาที่ปรโลกแล้ว"เจ้ากำลังจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของนักฆ่ากลุ่มเดียวกันในวันนั้น"'ไม่ใช่นักฆ่ากลุ่มเดียวกัน หากแต่เป็น 'นาง' เท่านั้น'"ในจวนของท่านมีเกลือเป็นหนอน ตอนนี้ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน"เยว่อันหนิงเลือกเก็บความจริงในใจเอาไว้ ปล่อยให้เฉินเจียนหลางคิดว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับในงานเลือกคู่ของมู่อานจิ่ว"เจ้ามีแผนล่องู่โผล่หางหรือไม่"แววตาชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของคนรักที่จ้องมองนางนั้นช่างปกปิดไม่มิดเอาเสียเลย ทำให้คนที่ซ่อน
ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับมายังเรือนต้นสนเพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็พบกับห้องของเยว่อันหนิงที่ถูกรื้อค้นจนเละไปหมด หน้าประตูห้องพบสาวใช้นางหนึ่งถูกปาดคอนอนสิ้นใจอย่างน่าสงสาร"มีใครอยู่แถวนี้บ้าง!"นายน้อยของสกุลเฉินตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่เสียงเกรี้ยวกราด จวนแม่ทัพแท้ ๆ คนร้ายยังกล้าอุกอาจบุกเข้ามาแถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ อีก ไม่ให้แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าอย่างเขากรุ่นโกรธได้เยี่ยงไร"น...นายน้อย เกิดอะไรขึ้นขอรับ""กรี๊ด! เสี่ยวหยา"เสียงบ่าวคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินนายน้อยของจวนตะโกนเรียกจึงวิ่งตามเสียงมาและถามสาเหตุขึ้นส่วนสาวใช้ที่ตามมาติด ๆ พอเห็นศพของสาวใช้ในเรือนด้วยกันถึงกับกรีดร้องด้วยความตกใจ"เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นที่เรือนต้นสน"เฉินเจียนหลางเริ่มซักไซ้เอาความ"ม...เมื่อครู่ เมื่อครู่จู่ ๆ พวกข้าก็เหมือนจะง่วงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้จนได้ยินเสียงนายน้อยตะโกนเรียกขอรับ"เฉินเจียนหลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ บริเวณเรือนต้นสนที่กว้างใหญ่นี้"วี้ด!!"เสียงเป่าสัญญาณจากปี่ไม้เรียกสายลับเงาดังขึ้น หากแต่ไม่มีแม้เงาของสายลับที่เขาซ่อนสุมกำลังไว้ตามที่ต่าง
ผ่านมาครึ่งก้านธูป เฉินเจียนหลางก็พาสตรีในดวงใจมายังศาลาสงบใจที่อยู่ด้านหลังเรือนต้นสนแห่งนี้"เหตุใดที่นี่ถึงได้เงียบสงบเช่นนี้"อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่มดแมลงสักตัวยังไม่มี"ที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม ข้าเอาไว้ใช้ฝึกสมาธิปรับลมปราณ"เยว่อันหนิงได้ฟังจึงพยักหน้าเข้าใจพร้อมเอ่ยต่อ"ท่านเรียกข้ามาที่แห่งนี้เพราะมีความลับที่จะหารือใช่หรือไม่"หากไม่ใช่เรื่องสำคัญและเป็นความลับ เฉินเจียนหลางคงไม่พานางมายังเขตหวงห้ามที่คนนอกเข้าออกไม่ได้เช่นนี้ร่างกำยำสวมชุดสีดำแถบแดงล้วงเอาของสำคัญออกมาวางไว้"นี่คือสิ่งใด"เยว่อันหนิงมองกล่องไม้ตรงหน้าอย่างใคร่สงสัย"นี่คือของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ส่งมอบมันให้กับท่านพ่อก่อนที่สกุลเยว่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ"เยว่อันหนิงใจหล่นวูบเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเจียนหลางบอกมือแน่งน้อยเอื้อมไปสัมผัสกล่องไม้ตรงหน้าด้วยความสั่นเทา ในหัวของนางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวานจึงเอ่ย"คงเป็นวันที่พี่ใหญ่กับพี่รองกำลังซ้อมกระบี่กันในวันนั้น"เฉินเจียนหลางพยักหน้าเบา ๆเยว่อันหนิงใจกล้า ๆ กลัว ๆ ตอนสัมผัสกล่องไม้ที่ว่า เมื่อฝากล่องไม้ถูกเปิดออก ม้วนภาพวาดผืนหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาของนา
หลังจากทั้งหมดกลับมายังจวนสกุลเฉินแล้ว เยว่อันหนิงก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เรือนต้นสน นางให้เหตุผลกับเฉินเจียนหลางว่าต้องการรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กดูเผื่อว่าที่ผ่านมานางตกหล่นชิ้นส่วนความทรงจำใดไป"แม่นางจวี๋เจ้าคะ ข้าน้อยนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"สาวใช้นางหนึ่งตะโกนขึ้นที่หน้าห้องพักก่อนจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารจำนวนหนึ่ง"นายน้อยเล่า"เสียงใสถามขึ้น นางขังตัวเองอยู่ในห้องนี้มาแล้วเกือบสองชั่วยามจึงอยากรู้ความเคลื่อนไหวภายในจวนสกุลเฉิน"นายน้อยไปส่งนายท่านออกนอกเมืองเจ้าค่ะ"คิ้วสวยขมวดย่นเล็กน้อย แววตานางมีความครุ่นคิดฉายขึ้น สาวใช้ตรงหน้าคงสังเกตเห็นจึงเล่าต่อ"วันนี้นายน้อยต้องกลับค่ายทหาร หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญต้องสะสาง นายท่านจึงอาสากลับไปคุมค่ายทหารให้ก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ"สาวใช้ตรงหน้ารายงานอย่างที่เฉินเจียนหลางสั่งไว้ไม่ขาดตกบกพร่องสักคำ"เจ้ากลับไปทำงานเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว""เจ้าค่ะ หากแม่นางจวี๋ต้องการสิ่งใด เรียกใช้ข้ารับใช้ในเรือนได้ทุกเมื่อ"เยว่อันหนิงคลี่ยิ้มบางเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นออกจากห้องไปดวงตาคู่สวยเหลือบมองอาหารที่น่าทานบนโต๊ะเพ