"เจ้ายังมิตอบข้า เมื่อครู่เจ้าขันข้าอันใด"
เมื่ออยู่กันลำพัง ซ่างฮ้วนก็มิจำเป็นต้องแสดงความเคารพคนตรงหน้า เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ระดับต่ำกว่าเฉินเจียนหลางนั่งอยู่เพื่อรินน้ำชาดับกระหายและรอฟังคำตอบจากอีกคน
"เจ้าตาฝ้าฟางกระมัง"
หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ปิติที่จะตอบคำถามสหาย เขาทำเพียงวางท่าสง่าเอื้อมมือแกร่งที่ผิวพรรณขาวผ่องภายใต้อาภรณ์สีดำสีที่เขาชอบ จับกาน้ำชาขึ้นมารินจิบอุ่น ๆ พลางแสยะยิ้มยั่วโมโหอีกคนที่ทำท่าฟึดฟัดใส่อย่างไร้เหตุผล
"เจ้ายิ้ม เมื่อครู่เจ้ายิ้มขันข้า"
หากแต่ซ่างฮ้วนกลับมิยอม เมื่อครู่เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าถูกหยามเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์ตน
"เจ้าจะให้ข้ายอมรับให้ได้"
"เป็นบุรุษ ทำอันใดไว้ย่อมต้องยืดอกรับ"
"เช่นนั้นเจ้าห้ามเคืองข้า"
"ข้ามิใช่สตรีจะได้ทำเช่นนั้น"
"คำไหนคำนั้น"
"อย่ามากความ ตกลงเมื่อครู่เจ้าขันข้าเพราะเหตุใด"
สนทนากันเสียยาวยืดไม่ให้อีกคนหายใจหายคอใช้ความคิดตริตรอง ซ่างฮ้วนวางถ้วยน้ำชาลงพื้นเสียงดังตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลที่ถูกสหายรักขำขันตนต่อหน้าผู้อื่น
"แม่นมข้า สาวใช้ในจวนเฉินที่เจ้าเห็นตั้งแต่เล็กจนโตกลับมิเคยจดจำชื่อได้ หากแต่พอข้าถามถึงบุตรีของจวนมู่เจ้ากลับไม่ขบคิดสักครึ่งเค่อ ตอบได้อย่างฉะฉานถึงนามของสตรีผู้นั้น เช่นนี้ยังต้องให้ข้าอธิบายเพิ่มหรือไม่"
ซ่างฮ้วนถึงกับหน้าชา นี่เขาพลาดไปแล้วหรือที่เค้นคอให้จ่าฝูงหมาป่าเลือดเย็นเจียนหลางผู้นี้จับจุดอ่อนเขาได้
"เจ้าพูดเกินไปกระมัง คนในจวนเฉินข้าจะมิรู้ชื่อพวกนางได้เช่นไร"
"แม่นมข้าชื่ออะไร" ไม่รอให้อีกคนหายใจเต็มปอด เฉินเจียนหลางรีบถามออกไปทันควัน ทำเอาคนที่อวดเก่งเมื่อครู่ถึงกับอ้ำอึ้ง
"แม่นมเจ้าชื่อ..."
ซ่างฮ้วนอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
เหตุใดถึงมิเคยรู้ตัวเลยว่าเขาไม่ได้จดจำชื่อของข้ารับใช้ในจวนที่ตนอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กเช่นนี้
"หึ"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังอย่างเยาะหยัน หากแต่ซ่างฮ้วนกลับโต้คืนอันใดไม่ได้ เขาพลาดไปแล้วจริง ๆ หมากกระดานนี้เขาพลาดท่าบอกใบ้ความลับที่แอบซุกซ่อนอยู่ให้หมาป่าเดียวดายผู้นี้รู้ไปแล้ว
"เรื่องแต่งงานเจ้าคิดว่าข้าควรตอบรับหรือไม่"
ซ่างฮ้วนมองหน้าเฉินเจียนหลางที่ถามคำถามนี้เงียบ ๆ พลางคิดในใจ
จริงอยู่ว่าเขาบังเอิญพบเจอมู่อานจิ่วและช่วยเหลือนางจากอันธพาลที่เคยถูกบิดานางตัดสินโทษอย่างอยุติธรรมจับตัวไปเอาไว้ ทำให้ทั้งสองรู้จักกันและใจของซ่างฮ้วนกลับไม่สงบตั้งแต่นั้นมา
แต่หากถามหัวใจดี ๆ เขามิรู้ด้วยซ้ำว่ามู่อานจิ่วคิดกับเขาเช่นไรและช่วงเวลาที่ผ่านมาซ่างฮ้วนก็มิถึงขั้นคนึงหาสตรีนางนี้แล้วขาดมิได้ หากเจียนหลางจะเลือกมู่อานจิ่วเขาก็มิขัดขวาง
"ตอบรับหรือไม่ ข้ากับเจ้าก็ยังเป็นเหมือนเดิม"
ตอบแบบนี้ดีที่สุดแล้ว
"เหตุใดเจ้าถึงตอบเช่นนั้น"
น้ำเสียงราบเรียบ ขัดกับสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นมา
"ก็เจ้ารู้เรื่องที่ข้ามีใจ... เดี๋ยวก่อน หรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องข้ากับนาง?"
ซวยแล้วซ่างฮ้วน ถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้ขุดกับดักให้ตกหลุมพลางเขาเสียแล้ว
"อ้อ แท้จริงแล้วที่เจ้าจดจำชื่อแซ่สตรีนางนี้ได้เป็นเพราะเจ้าเสน่หานางอยู่นี่เอง ข้านึกว่าเจ้าจำชื่อนางได้เพราะเป็นคนรวบรวมข้อมูลตระกูลมู่ให้ข้าเสียอีก"
เฉินเจียนหลางมีความสุขยามได้กลั่นแกล้งสหายผู้นี้
"เจียนหลาง! เจ้ามันหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหลอกให้ข้าเผยความลับนี้ให้ขายหน้า"
ซ่างฮ้วนเดือดเป็นไฟ หากแต่กลับทำได้เพียงแค้นใจตนเองที่ตกหลุมพลางสหายจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้
"ข้าหลอกเจ้าหรือเจ้าร้อนตัวกันแน่"
ครั้งนี้ซ่างฮ้วนทำเพียงเจ็บแค้นในใจ ดวงตาเขากำลังบอกเฉินเจียนหลางว่าฝากไว้ก่อน อย่าพลาดมีนางในดวงใจให้เขาล่วงรู้ เขาจะรอวันเอาคืนให้หายแค้นใจ
"เอาละ ๆ เลิกล้อเล่นกันได้แล้ว มาเข้าเรื่องสำคัญกันดีกว่า"
น้ำเสียงแม่ทัพน้อยเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา แววตาเขาดุดันราวหมาป่ากำลังดักรอเหยื่อ
"การแต่งงานในครั้งนี้จวนมู่ถึงขั้นเป็นฝ่ายเอ่ยปาก เจ้าว่าไม่แปลกหรือ"
ผู้นำตระกูลมู่ในเวลานี้คือมู่ตงหยวน เสนาบดีกรมตุลาการผู้คุมอำนาจศาลเทียนอวี่แห่งเมืองเทียนติ่ง
ทั้งสองจวนแทบไม่เคยไปมาหาสู่กัน ผู้นำทั้งสองจวนพบเจอกันเพียงแค่ในท้องพระโรงตอนประชุมเหล่าขุนนางว่าราชการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าบุตรชายและบุตรีของทั้งสองพวกเขาเรียกได้ว่าไม่เคยพูดคุยหรือพบเจอกันแม้เฉียดผ่าน
การที่จื่อเชว่รายงานเรื่องมงคลของสองตระกูลนี้มาแทบจะแปลกทุกส่วน
"หรือว่าใต้เท้ามู่จะรู้เรื่องที่เราตามสืบเขาอยู่"
ซ่างฮ้วนแสดงความคิดเห็น และเป็นสิ่งเดียวกับที่เฉินเจียนหลางกำลังวิเคราะห์ความเป็นไปได้
"หากอยากรู้คงมีทางเดียว"
"เจ้าจะตอบรับการทาบทามนี้?"
คนถูกตั้งคำถามเงียบครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดถึงผลลัพธ์ในใจ เมื่อคิดดีแล้วจึงขยับปากหยักลึกเอื้อนเอ่ย
"มีทางเลือกไหนดีกว่านี้อีก"
"แล้วคำทำนายนั่น..."
ซ่างฮ้วนหนักใจแทนสหายรัก
'คำทำนาย' ที่เขาหลุดปากคือคำทำนายจากหมอดูชะตาเร่ร่อนผู้หนึ่งที่เคยตรวจดวงชะตาให้เฉินเจียนหลางตั้งแต่เขาเกิด
หมอดูชะตาผู้นั้นเคยบอกไว้ว่า หากเมื่อใดที่เฉินเจียนหลางมีความคิดเรื่องมงคลตบแต่งฮูหยินเข้าเรือน วันนั้นจะเป็นวันที่อาบไปด้วยสีแดงชาดของโลหิต
คราแรกบิดากับมารดาเขาก็ไม่มีใครใคร่เชื่อ จวบจนเมื่อบุตรชายอายุได้สิบสี่ขวบ เฉินเจียนหลางบังเอิญพบเจอสตรีนางหนึ่งจนคิดคนึงหาพิสวาสตั้งแต่แรกเจอ ในใจเขาขบคิดว่าหากพบนางอีกไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจเขาจะต้องตบแต่งนางเข้าจวนสกุลเฉินให้จงได้
หากแต่ความคิดเขาต้องดับลงเมื่อข่าวที่ได้รับช่างโหดร้าย คำทำนายของหมอดูชะตาผู้นั้นเป็นจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ
นับตั้งแต่นั้นมา เฉินเจียนหลางก็ไม่เคยคิดเรื่องงานมงคลตบแต่งสตรีเข้าเรือนสกุลเฉินอีกเลย
"หากเป็นจริงดั่งคำทำนาย กองทัพเขี้ยวหมาป่าคงให้เจ้าเป็นคนดูแลต่อแล้ว"
"ถุย ๆ วาจาเจ้านี่ช่างเหม็นเน่าไม่เป็นมงคลนัก"
ซ่างฮ้วนรีบถ่มน้ำลายไล่คำอัปมงคลที่สหายรักเพิ่งพ่นออกมา ก่อนจะส่งสายตาตำหนิคนที่เล่นไม่รู้เลิก
"จื่อเชว่บอกว่าอีกไม่กี่วัน เช่นนั้นคืนนี้เราเดินทางกลับเมืองเทียนติ่งกัน"
"อยากเห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวขนาดนั้นเชียว"
ซ่างฮ้วนพูดจาประชดอีกคน หากแต่ทำไมเขากลับดูร้อนรนเสียเอง
"ข้าหมายถึงกลับเมืองเทียนติ่งเพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เหตุใดสมองเจ้าถึงมีแต่เรื่องสตรีอยู่เช่นนั้น"
เป็นอีกครั้งที่ซ่างฮ้วนยื่นเนื้อตนให้สุนัขป่าอย่างเฉินเจียนหลางกินอย่างสบายอุรา ส่วนตนกลับได้แต่เจ็บส่วนที่เฉือนให้เขาเองกับมือเงียบ ๆ
"ข้าจะทูลฟ้ององค์รัชทายาทว่าเจ้ารังแกข้า"
"เป็นบุรุษ คับข้องใจก็เอาคืนเอง"
ใครจะกล้าเล่นกับหมาป่าชั่วร้ายอย่างเขากัน ยามที่มีองค์รัชทายาทอยู่ด้วยไม่เห็นจะเย็นชากับพระองค์เช่นที่ทำกับตนตอนนี้เลย
"เจ้าออกไปเตรียมการเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว"
ไม่ต้องไล่ซ่างฮ้วนก็คิดจะจากออกไปอยู่แล้ว
"เชิญเจ้าสำราญใจรอวันร่วมหอล่วงหน้า"
ไม่ใช่คำพูดประชดให้ตนเองเจ็บ แต่เป็นการตอกย้ำผู้ฟังให้นึกถึงคำทำนายที่อาจจะเป็นจริงหรือไม่เกิดให้แตกฉาน
จากนั้นบุรุษอกผายไหล่ผึ่งก็เดินออกจากกระโจมแห่งนี้ไป ปล่อยให้เฉินเจียนหลางนั่งจมอยู่กับอดีตที่ยากจะลืม
"มงคล สีชาด หลั่งโลหิต สมหวัง"
เขาทบทวนสิ่งที่บิดาเคยบอกไว้ เป็นคำทำนายจากหมอดูผู้นั้นตอนที่เขาเกิด
"หากหลั่งโลหิตแล้วจะสมหวังได้เช่นไร"
เฉินเจียนหลางขบขันออกมาเบา ๆ อย่างเหยียดเยาะ ก่อนจะร่ำสุราดีรอเวลาหวนกลับเทียนติ่งในค่ำคืนนี้
เกร้ง!เพียงชั่วพริบตาที่นางคิดว่ากระบี่ในครั้งนี้คงปลิดชีพตนเป็นแน่จึงหลับตาลง หากแต่กลับเกิดเสียงคล้ายของมีคมกระทบกัน จากนั้นเอวบางของนางก็ถูกโอบรัดให้เข้าสู่อ้อมกอดที่แสนคุ้นเคยดวงตาสีสวยแสนอิดโรยฝืนลืมตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดนั้นใบหน้าคมคร้ามงดงามราวเทพเซียนประจักแก่สายตาเป็นเขาอีกแล้ว คนที่ช่วยเหลือนางยามคับขันเหตุใดถึงเป็นเขาอยู่ร่ำไปเปลือกตาบางฝืนต่อไม่ไหว ค่อย ๆ ปิดสนิทลงพร้อมเสียงเรียกที่ฟังไม่ชัดคำของแม่ทัพน้อยเฉิน"อันหนิง"หลังจากที่เฉินเจียนหลางหลบหนีจากนักฆ่าผู้นั้นสำเร็จเขาก็พาเยว่อันหนิงหลบมาอยู่ที่กระท่อมร้างในป่า"จื่อเอ๋อร์ ได้ยินข้าหรือไม่"ชายหนุ่มพยายามเรียกคนที่กึ่งหลับกึ่งมีสติเบา ๆ เพื่อให้นางตอบสนองเขามากที่สุด"เจ้าถูกพิษ"เฉินเจียยหลางจับชีพจรนางดูพบว่าลมปราณปั่นป่วน ริมฝีปากเริ่มม่วงคล้ำเพราะถูกพิษ"พ...พี่ รอ..ง"เสียงที่คนไม่ได้สติพึมพำออกมาเบามากขนาดคนอยู่ใกล้นางยังแทบจับใจความไม่ได้"กินยาถอนพิษก่อน"ขวดเล็กกะทัดรัดถูกหยิบออกมาพร้อมกับเทยาลูกกลอนออกมาสองเม็ดหย่อนเข้าไปในปากของเยว่อันหนิงเสียงไอกระท่อนกระแท่นดังขึ้นหลังจากนางฝืนกลืนยานั้นลงคอ จากนั้
แม้คราแรกที่ไว้ชีวิตคนผู้นี้เพื่อตั้งใจใช้ร่างนี้เป็นหนูทดลองยาพิษของเขาแล้วหลอกถามเอาข้อมูลที่อยากได้มาแต่นึกไม่ถึงว่าคนของจวนเยว่ช่างกตัญญู พอรู้ว่าถูกพิษควบคุมจิตจึงรีบทำให้ลมปรานแตกซ่านจนความจำเสื่อมลืมเลือนสิ้นทุกอย่างในอดีตเยว่อินกวานเลือกที่จะอยู่เหมือนศพเดินได้ แต่ไม่ขอทำร้ายหรือหักหลังครอบครัวสวบ!เยว่อันหนิงที่ลอบฟังอยู่ด้านบนทนรับความจริงที่เจ็บปวดนี้ไม่ได้จึงเผลอขยับตัวจนเกิดเสียงนักฆ่าหุ่นเชิดของมู่ตงหยวนรวดเร็วดั่งสายฟ้าซัดอาวุธลับในมือใส่นางอย่างมิให้ตั้งตัวฉึก!เลือดสด ๆ หยดลงเป็นสายเยว่อันหนิงรีบซัดเข็มพิษลงไปในห้องนั้นโดยไม่สนใจจะดูผลงานว่าโดนผู้ใดบ้างก่อนจะหลบหนีไป"ใต้เท้า!"ภายในห้องหนังสือเกิดเสียงดังของหม่าเย่าขึ้นเข็มพิษเมื่อครู่แม่นยำราวจับวาง ปักเข้าร่างกายของมู่ตงหยวนจนกระอักเลือดข้นออกมา"นำขวดยาในห้องลับมาให้ข้า"หม่าเย่ารีบเปิดห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ นำยาที่ว่าออกมาให้นายของเขาระงับพิษ"ไปจับตัวมาให้ได้! ข้าอยากเห็นว่ามันเป็นใคร!"มู่ตงหยวนสั่งการอย่างเลือดเย็นทั้งแววตาและน้ำเสียงนักฆ่าหุ่นเชิดรีบรับคำสั่งออกตามล่าโจรผู้นั้นทันทีอีกด้าน
ประมือผ่านมาหลายวันแล้วที่เยว่อันหนิงพักรักษาตัวอยู่ที่จวนสกุลเฉิน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่นางวางเอาไว้ เฉินเจียนหลางผู้นี้เป็นคนรักษาคำพูด ตอนนั้นเขาบอกจะตอบแทนน้ำใจที่นางช่วยชีวิต มาครั้งนี้เขาจึงให้ที่พักพิงนางโดยไม่ไตร่ถามถึงวันเวลาที่ต้องการจะอาศัยอยู่"แม่นางจวี๋ ข้าน้อยขอเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงสาวใช้นามว่าเสี่ยวอวิ้นดังขึ้น"เข้ามาเถิด"ประตูห้องพักเปิดอ้ากว้างทันทีที่คนในห้องอนุญาตเสี่ยวอวิ้นสาวใช้คนใหม่ที่มู่อานจิ่วแอบฝากฝังผ่านพ่อบ้านเฉินถือสำรับอาหารเช้าเข้ามาให้เยว่อันหนิงตามปกติ"แม่นางจวี๋ทานอาหารเช้าก่อนเจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงชะม้ายสายตามองอาหารที่ถูกวางไว้บนโต๊ะในแต่ละวันแต่ละมื้อ นางมักถูกคนในห้องครัวขุนจนอ้วนจะเป็นแม่หมูอยู่แล้ว"ขอบใจเจ้ามาก วันนี้เหตุใดข้าจึงไม่เห็นคุณชายน้อยของบ้าน"คุณชายน้อยที่ว่าคือเฉินเจียนหลาง เขาให้เยว่อันหนิงเรียกตนแบบนั้น"คุณชายน้อยออกไปกับนายท่านตั้งแต่เช้ามืดแล้วเจ้าค่ะ อ้อ บ่าวเกือบลืมไป"เสี่ยวอวิ้นรีบล้วงเอาของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะส่งให้สตรีงดงามตรงหน้า"ของคุณชายน้อยเจ้าหรือ"เสี่ยวอวิ้นพยักหน้าแทนคำตอบ สายตาของสาวใ
"ข้าขอปรึกษากับท่านพ่อสักคำ พรุ่งนี้จะให้คำตอบคุณหนูได้หรือไม่""ได้ยินเช่นนี้อานจิ่วก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ"มู่อานจิ่วคำนับรับอย่างอ่อนช้อย"คุณหนูยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่"ครั้นในห้องเงียบลง มู่อานจิ่วเองก็สอดส่ายสายตาราวกำลังมองหาอะไรอยู่เงียบ ๆ แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาของเฉินเจียนหลาง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา"อานจิ่วเสียมารยาทแล้ว วันนี้มาขอร้องคุณชายด้วยมือเปล่า วันหน้าจักเตรียมของกำนัลมาตอบแทนนะเจ้าคะ"ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่รับปากเรื่องยืมกำลังคน แต่อีกคนกลับพูดถึงเรื่องเตรียมของตอบแทนเสียแล้วแบบนี้เท่ากับว่ามัดมือชกเขามิใช่หรือพ่อลูกตระกูลนี้ร้ายกาจไม่แพ้กันจริง ๆเมื่อเอ่ยปากออกไปแล้วแต่อีกคนไม่ตอบกลับ มู่อานจิ่วจริงลุกขึ้นยืนเพื่อบอกลา"อานจิ่วแอบออกจากจวนมานานแล้วท่านพ่อท่านแม่คงเป็นห่วงแย่ ขอตัวลาคุณชายเฉินตรงนี้เลยนะเจ้าคะ""เดี๋ยวข้าให้ซ่างฮ้วนไปส่งท่านกลับจวน""ขอบคุณน้ำใจคุณชาย แต่อานจิ่วกลับเองดีกว่าเจ้าค่ะ"มู่อานจิ่วย่อตัวลงช้า ๆ เป็นการคำนับลาตามมารยาทของสตรีในห้องหอที่แสนงดงาม ก่อนจะเดินออกไปจากโถงรับรองคล้อยหลังสตรีงดงาม ซ่างฮ้วนที่แอบซ่อนตัวอยู่ตามคำสั่งของแม
สตรีอ่อนหวานใช่ว่าไม่ร้ายโถงรับรอง จวนสกุลเฉินหลังจากป้อนยาให้เยว่อันหนิงเรียบร้อยแล้ว เฉินเจียนหลางก็ตรงมาที่โถงรับรองแขกเพื่อพบคนที่มาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน"เสียมารยาทแล้วที่ปล่อยคุณหนูมู่รอนาน"แม่ทัพน้อยเอ่ยขอโทษขอโพยตามมารยาททันทีที่มาถึง"มิกล้าเจ้าค่ะ เป็นอานจิ่วเองที่มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า"มู่อานจิ่วรีบกล่าวขออภัยอย่างมารยาทงาม"ไม่ทราบว่าคุณหนูมู่มาถึงจวนสกุลเฉินมีเรื่องอันใดหรือ"เฉินเจียนหลางนั่งลงบนตั่งไม้เนื้อดีพลางรินน้ำชาลงถ้วยยกดื่มพร้อมรอฟังธุระของอีกคน"คุณชายเฉินคงได้ยินข่าวของจวนมู่มาบ้างแล้ว"มู่อานจิ่วเกริ่นขึ้นนางเปลี่ยนสรรพนามเรียกคนตรงหน้าราวสนิทสนม หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ใส่ใจ เขาทำท่านึกคิดถึงคำบอกเล่ากึ่งถามนั้นครู่หนึ่งก่อนตอบ"เรื่องที่อยู่บนป้ายประกาศหรือ"เฉินเจียนหลางเดาสุ่มมั่วเพราะนอกจากเรื่องประกาศจับคนร้ายแล้วยังมีข่าวอันใดที่โด่งดังในเวลาเช่นนี้อีก"เดิมทีเรื่องนี้อานจิ่วเป็นสตรีไม่ควรยุ่ง ทว่าเห็นท่าทางหวาดวิตกของท่านพ่อแล้ว อานจิ่วมิอาจอยู่เฉยได้เจ้าค่ะ""หืม... ใต้เท้ามู่วิตกเรื่องอันใด หรือว่าของที่โจรผู้นั้นขโมยไปจะเป็นของสำคัญมาก เ
"จวี๋จื่อขอบคุณความเมตตาของท่านแม่ทัพน้อย และต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านเดือดร้อน”ทว่าเสียงที่กังวาลและเด็ดเดี่ยวของเฉินเจียนหลางที่เอ่ยกลับ ทำให้หัวใจดวงน้อยของเยว่อันหนิงหวั่นไหวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้"ช่วยชีวิตเจ้า ข้ามิเรียกว่าเดือดร้อน"เหตุใดแววตาของเขาที่สบมองนางตอนพูดประโยคนั้นถึงได้ดูลึกซึ้งเพียงนี้“ตอนนี้เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่จวนของข้าให้สบายใจเถิด มิต้องกังวลเรื่องของคณะเซียงหย่งที่ร้องขอมา”“ร้องขอ? หัวหน้าใหญ่คณะร้องขออันใดมาหรือเจ้าคะ”เยว่อันหนิงรีบถามขึ้นด้วยความอยากรู้มิใช่ว่าทางนั้นเล่นจริงจังเกินไปจนเผลอทำอะไรเกินควรมาหรอกกระมัง“พี่ชายเจ้าเคยบอกไว้มิใช่หรือ ธรรมเนียมของคณะเซียงหย่งคือ หากสตรีนางใดเปิดผ้าคลุมหน้าให้ผู้ใดเห็น หมายถึงการที่นางฝากชีวิตไว้กับคนผู้นั้นแล้ว”เยว่อันหนิงนิ่งไปอย่างหาเสียงค้านไม่พบ นางไม่คิดว่าเรื่องราวจะพัวพันยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้“หากเป็นเรื่องนี้ ท่านแม่ทัพน้อยมิต้องใส่ใจ เรื่องวันนั้นเป็นเพียง...”“ข้าเป็นถึงแม่ทัพน้อยแห่งเมืองเทียนติ่ง กล้าทำย่อมกล้ารับผลที่ตามมา”เยว่อันหนิงยังมิทันจะได้พูดความในใจออกไปหมดก็ถูกเฉินเจียนหลางผู้นี้กล่า