ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางของเช้าวันใหม่ ขบวนรถม้ากำลังนำทางพาคุณหนูทั้งสามของสกุลเยว่ไปส่งยังแคว้นเสียนหย่ง
เมื่อหนึ่งก้านธูปที่ผ่านมา รถม้าได้ผ่านประตูเมืองเทียนติ่ง ทำให้คุณหนูสามและคุณหนูสี่ได้เห็นภาพชวนสยองแสนจะหดหู่หัวใจ
ศีรษะของบิดาและพี่ชายถูกเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองตามราชโองการเลือดที่ได้รับ สตรีทั้งสองเป็นลมล้มพับทันทีที่สายตาต้องเข้ากับใบหน้าซีดเผือดที่ไร้วิญญาณของทั้งสามคน เพิ่งจะฟื้นได้ไม่ถึงสิบเค่อก็ต้องรับมือกับเยว่อันหนิงที่ฤทธิ์ยาสงบใจเพิ่งหมดลง
"ดื่มน้ำก่อนเถิด"
เยว่จินจินเก็บทุกอย่างที่เจอมาทั้งคืนเอาไว้ในอก นางต้องเป็นเสาหลักให้น้อง ๆ ทั้งสอง ยื่นถุงน้ำทำจากหนังสัตว์ให้กับน้องเล็กสุดดื่ม
"พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ"
เยว่อันหนิงฟื้นมาก็อยู่บนเกวียนรถม้าที่ไร้ที่กำบังลมและแดด ทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางมีแต่ต้นหญ้าสูงท่วมหัว มองไกลออกไปเห็นสันเขาไกลลูกหูลูกตา พื้นดินแห้งเกรอะกรังบ่งบอกว่าออกสู่ชนบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"สามชั่วยามได้"
นี่นางหลับนานขนาดนี้เลยหรือ แม้อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่นางไม่ได้สติแต่หากถามไปพี่สามพี่สี่นางคงไม่บอกให้กระจ่างเพราะมองว่านางยังเด็กนัก ครั้นมองจากสถานการณ์ตอนนี้ขบวนของมารดานางคงเดินทางไปต่างแคว้นแล้วเช่นกัน ส่วนบิดากับพี่ชายทั้งสองคง...
"ข้ายังขนลุกกับภาพติดตาหัวทั้งสามเมื่อเช้าอยู่เลย"
"เจ้าอย่าพูดขึ้นมาตอนนี้สิ แม้จะยังสว่างอยู่แต่ภาพนั้นติดตานัก คืนนี้ข้าจะหลับตาลงหรือเปล่า"
"เจ้าไม่คิดว่าพวกเขาน่าสงสารหรือ"
"จะไปสงสารกบฎทำไม หากไม่มักใหญ่ใฝ่สูงจะพบจุดจบเช่นนั้นหรือ"
"ใช่ ๆ เร่งเดินทางเถิด เดี๋ยวแยกข้างหน้าพวกเราก็มิได้อาศัยท่านทหารทั้งหลายคุ้มกันแล้ว มืดค่ำมันน่ากลัว"
เสียงชาวบ้านที่อาศัยขบวนทหารติดตามเดินทางมาด้วยพากันพูดถึงเรื่องของเยว่จิ้นกงและบุตรชายเขาที่ถูกโทษประหารเมื่อคืน ทำเอาเยว่อันหนิงที่นั่งอยู่บนเกวียนรถม้าใกล้ ๆ ได้ยินชัดถ้อยชัดคำทุกประโยค
มือแน่งน้อยกำเข้าหากันจนเลือดแทบไม่ไหลเวียน เยว่อิงเถาเห็นน้องเล็กนั่งนิ่งตัวเกร็งนานจึงรีบเรียกสติ
"หนิงเอ๋อร์"
"..."
"หนิงเอ๋อร์!"
"พี่สี่มีอันใดหรือเจ้าคะ"
เยว่อันหนิงได้ยินตั้งแต่ครั้งแรกที่พี่สี่นางเรียกชื่อแล้ว หากแต่ที่ยังไม่ปริปากขานรับเพราะกลัวว่าจะกระโดดลงไปอาละวาดใส่ชาวบ้านกลุ่มเมื่อครู่เลยต้องนิ่งพื่อคุมสติตนเองให้สงบก่อน
"เจ้าร้อนหรือไม่ มาหลบแดดบนตักพี่มา"
เยว่อันหนิงโคลงศีรษะปฏิเสธน้ำใจนี้เบา ๆ
"อากาศกำลังดีเจ้าค่ะ"
สายตาคู่สวยเหม่อมองไปไกลโพ้นอย่างไร้จุดหมาย
พี่สาวทั้งสองได้แต่มองหน้ากันพลางลอบถอนหายใจเบา ๆ
แม้พวกนางจะเป็นพี่น้องกัน หากแต่เยว่อันหนิงจะสนิทกับพี่ชายทั้งสองมากกว่าพวกนาง ทำให้บางครั้งเยว่จินจินกับเยว่อิงเถาก็เดาใจน้องเล็กผู้นี้ไม่ถูกว่านางคิดหรือต้องการอันใด
"หยุด!!"
เสียงทหารนำขบวนสั่งให้หยุดรถม้า ทำเอาชาวบ้านและทหารกลุ่มอื่น ๆ แตกตื่นเล็กน้อย
"เกิดอะไรขึ้น"
หัวหน้าทหารที่อยู่บนม้าตัวใหญ่ตะโกนถาม
"เรียนท่านเมี่ยว ด้านหน้ามีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งทำของหล่นกระจายขวางทางขอรับ"
เมี่ยวชุนชะเง้อมองไปด้านหน้าจึงเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังพากันเก็บข้าวของที่หล่นจากรถลากกระจัดกระจายเต็มถนน
"เจ้ารีบพาทหารส่วนหนึ่งไปช่วยจัดการจะได้เร่งเดินทางต่อ"
"ขอรับ"
เมี่ยวชุนถอนหายใจที่เจออุปสรรคตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง ดูสิ แคว้นเสียนหย่งอยู่อีกตั้งเกือบพันลี้ เดินทางกี่วันถึงจะพบจุดหมาย ยิ่งมีเหตุมาให้เสียเวลาแม้เค่อเดียวก็ทำเขาหงุดหงิดใจแล้ว
"อ้าก!"
"โจรปล้น!"
ทหารที่รับคำสั่งไปช่วยชาวบ้านกลุ่มด้านหน้าเดินไปยังไม่ทันไรก็ส่งเสียงร้องตะโกนบอกว่ามีโจรปล้น เมี่ยวชุนยังไม่ทันได้ชักกระบี่ออกจากฝักลำคอหนาก็ถูกคมกระบี่กรีดเข้าสิ้นลมหายใจบนหลังม้า
"กรี้ด!!"
"ไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!"
เสียงกรีดร้องขอความเมตตาของผู้บริสุทธิ์ดังระงมทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้เมื่อมีกลุ่มโจรชุดดำปิดหน้าปิดตาโผล่ออกมาจากโพรงหญ้าข้างทาง
โจรกลุ่มนี้อำมหิตยิ่งนัก พวกมันไม่ปรานีแม้สตรีและคนแก่ หากว่ามาเพื่อปล้นทรัพย์คงมิจำเป็นต้องฆ่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้
"หนิงเอ๋อร์ระวัง!"
เยว่อิงเถาผลักน้องเล็กลงจากเกวียนรถม้าเมื่อมีโจรคนหนึ่งเล็งกระบี่มาที่พวกนาง
เสียงดัง 'ฉึก' ปักเข้ากลางแผ่นหลังพี่หญิงสี่พร้อมเลือดสีแดงขุ่นพุ่งออกจากปากงามจนลมหายใจดับสิ้นอย่างไร้การร่ำลา
"เสี่ยวเถา!"
เยว่จินจินเห็นน้องสี่ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นถึงกับตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่เยว่อันหนิงผลักนางหลบคมกระบี่จากโจรอีกคนได้หวุดหวิดจึงได้หายใจต่ออีกหน่อย
"พวกเจ้ามิได้มาเพื่อปล้นทรัพย์?"
เด็กน้อยมองการกระทำของโจรกลุ่มนี้เพียงแวบเดียวก็สามารถวิเคราะห์จุดประสงค์การมาครั้งนี้ออก
"แม่นางเยว่มิได้คิดอันใดข้าพอทราบ แต่บุรุษหากปักใจรักแล้วยากจะตัดใจ"เยว่อันหนิงลอบมองใบหน้ารูปงามของแม่ทัพน้อยที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา"หากศิษย์พี่มาที่นี่ ฝากเจ้าหออี้ส่งข่าวว่าข้าต้องการพบ""ข้าน้อยทราบแล้ว""เช่นนั้นพวกเราขอตัว""เรื่องที่ฝากฝังไว้ ข้าจะรีบส่งข่าวอีกที""ขอบคุณเจ้าหออี้"เยว่อันหนิงส่งสัญญาณตาให้บุรุษเพียงคนเดียวในห้องเดินตามนางออกจากหอเริงรมย์ เฉินเจียนหลางว่าง่ายเขาเดินตามนางออกมาจากในนั้นเงียบ ๆ ราวคนลืมเอาปากมาด้วย"ท่านคงไม่ได้หึงหวงข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่"ครั้นออกมาจากหออี้เฉิงหลันแล้ว เยว่อันหนิงรู้สึกถึงความเงียบที่มีไอเย็นยะเยือกตามหลังมาเลยหยุดเท้าแล้วหันมาเผชิญหน้าถามคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ"หากข้าบอกว่าหึงเล่า"คนที่ไม่เคยหวั่นไหวกับความรักหรือคำหวานถึงกับสะอึก หัวใจที่ไม่คิดจะหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้กลับแกว่งแปลก ๆ จนต้องปั้นหน้าหันหลบตาไปอีกทาง"ข้ากับต้วนอี้เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวในหัว""ถึงเจ้าจะคิด ข้าก็ไม่ยอม""ท่านหมายความเช่นไร""ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว ต่อให้หัวใจเจ้าจะอยู่กับผู้อื่นข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด"วาจาหน
หลังจากเข้ามาในห้องประจำที่อี้หลันจัดเจรียมไว้แล้ว เจ้าหออี้ก็พาเยว่อันหนิงปลีกออกมาอีกฝั่งของห้องสี่เหลี่ยมเพื่อไถ่ถามความเป็นมาในวันนี้"เหตุใดท่านถึงมากับแม่ทัพน้อยเฉินได้"การกระซิบถามไม่ได้อยู่นอกสายตาของเฉินเจียนหลางสักนิด หากแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้สตรีสองนางอึดอัดเท่านั้น"เขารู้ตัวตนของข้าหมดแล้ว"อี้หลันถึงกับตกใจกับความจริงที่ได้ยินคราแรกตอนที่นางเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาในหอเริงรมย์แห่งนี้ด้วยกันอี้หลันคิดเพียงแค่ว่าเฉินเจียนหลางคงหลงเสน่ห์นางรำจวี๋จื่อเข้าให้ แต่ไม่นึกว่าที่แม่ทัพน้อยเฉินเดินตามก้นนางมาอย่างไม่ให้ห่างกายเช่นนี้เป็นเพราะเขาล่วงรู้ความลับของเยว่อันหนิงเสียแล้ว"เช่นนั้นคงไม่มีอะไรปิดบังเขาอีกแล้ว"เยว่อันหนิงพยักหน้าแทนคำตอบให้อี้หลันจากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับแม่ทัพน้อยเฉินที่นั่งจิบน้ำชารอเงียบ ๆ"วันนี้ท่านมาที่นี่ต้องการข่าวอันใดจากหออี้เฉิงหลันของข้า"เจ้าหออี้ที่นับว่าเป็นสตรีงดงามผู้หนึ่งแห่งเมืองเทียนติ่งเอ่ยถามขึ้น"ข้าต้องการให้ท่านดูสิ่งนี้"เยว่อันหนิงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เก็บเศษผงบนตัวสายลับเงาของเฉินเจียนหลางยื่นให้อี้หลั
"เดิมทีหญ้าเกสรห้าสีเป็นสมุนไพรบำรุงหัวใจ หาได้ยากนักเพราะมักเกิดอยู่บนเขาลึกที่หนทางซับซ้อนอันตรายรอบด้าน"เฉินเจียนหลางตั้งใจฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้และรอไขคดีคนร้าย"แต่หากนำมาทาอาบไว้บนไม้แก่นกำยานจะกลายเป็นพิษร้ายที่สามารถทำให้คนสิ้นใจอย่างไม่รู้ตัว""เช่นนั้นตอนที่เจ้าถูกพิษที่มีดสั้นวันนั้นเหตุใดถึงยังรอดมาได้"เยว่อันหนิงค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วเอ่ย"เพราะข้ามียาของหมอเทวดาของหุบเขาช่วยชีวิตไว้"พอคิดถึงเรื่องในอดีต เยว่อันหนิงกลับรู้สึกขนชันขึ้นมาทันที หากยามนั้นนางไม่ได้พกยาถอนพิษที่ขจัดพิษได้ทุกชนิดของผู้เฒ่าฝูหนาน ป่านนี้นางคงได้ไปพบบิดาที่ปรโลกแล้ว"เจ้ากำลังจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของนักฆ่ากลุ่มเดียวกันในวันนั้น"'ไม่ใช่นักฆ่ากลุ่มเดียวกัน หากแต่เป็น 'นาง' เท่านั้น'"ในจวนของท่านมีเกลือเป็นหนอน ตอนนี้ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน"เยว่อันหนิงเลือกเก็บความจริงในใจเอาไว้ ปล่อยให้เฉินเจียนหลางคิดว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับในงานเลือกคู่ของมู่อานจิ่ว"เจ้ามีแผนล่องู่โผล่หางหรือไม่"แววตาชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของคนรักที่จ้องมองนางนั้นช่างปกปิดไม่มิดเอาเสียเลย ทำให้คนที่ซ่อน
ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับมายังเรือนต้นสนเพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็พบกับห้องของเยว่อันหนิงที่ถูกรื้อค้นจนเละไปหมด หน้าประตูห้องพบสาวใช้นางหนึ่งถูกปาดคอนอนสิ้นใจอย่างน่าสงสาร"มีใครอยู่แถวนี้บ้าง!"นายน้อยของสกุลเฉินตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่เสียงเกรี้ยวกราด จวนแม่ทัพแท้ ๆ คนร้ายยังกล้าอุกอาจบุกเข้ามาแถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ อีก ไม่ให้แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าอย่างเขากรุ่นโกรธได้เยี่ยงไร"น...นายน้อย เกิดอะไรขึ้นขอรับ""กรี๊ด! เสี่ยวหยา"เสียงบ่าวคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินนายน้อยของจวนตะโกนเรียกจึงวิ่งตามเสียงมาและถามสาเหตุขึ้นส่วนสาวใช้ที่ตามมาติด ๆ พอเห็นศพของสาวใช้ในเรือนด้วยกันถึงกับกรีดร้องด้วยความตกใจ"เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นที่เรือนต้นสน"เฉินเจียนหลางเริ่มซักไซ้เอาความ"ม...เมื่อครู่ เมื่อครู่จู่ ๆ พวกข้าก็เหมือนจะง่วงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้จนได้ยินเสียงนายน้อยตะโกนเรียกขอรับ"เฉินเจียนหลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ บริเวณเรือนต้นสนที่กว้างใหญ่นี้"วี้ด!!"เสียงเป่าสัญญาณจากปี่ไม้เรียกสายลับเงาดังขึ้น หากแต่ไม่มีแม้เงาของสายลับที่เขาซ่อนสุมกำลังไว้ตามที่ต่าง
ผ่านมาครึ่งก้านธูป เฉินเจียนหลางก็พาสตรีในดวงใจมายังศาลาสงบใจที่อยู่ด้านหลังเรือนต้นสนแห่งนี้"เหตุใดที่นี่ถึงได้เงียบสงบเช่นนี้"อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่มดแมลงสักตัวยังไม่มี"ที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม ข้าเอาไว้ใช้ฝึกสมาธิปรับลมปราณ"เยว่อันหนิงได้ฟังจึงพยักหน้าเข้าใจพร้อมเอ่ยต่อ"ท่านเรียกข้ามาที่แห่งนี้เพราะมีความลับที่จะหารือใช่หรือไม่"หากไม่ใช่เรื่องสำคัญและเป็นความลับ เฉินเจียนหลางคงไม่พานางมายังเขตหวงห้ามที่คนนอกเข้าออกไม่ได้เช่นนี้ร่างกำยำสวมชุดสีดำแถบแดงล้วงเอาของสำคัญออกมาวางไว้"นี่คือสิ่งใด"เยว่อันหนิงมองกล่องไม้ตรงหน้าอย่างใคร่สงสัย"นี่คือของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ส่งมอบมันให้กับท่านพ่อก่อนที่สกุลเยว่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ"เยว่อันหนิงใจหล่นวูบเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเจียนหลางบอกมือแน่งน้อยเอื้อมไปสัมผัสกล่องไม้ตรงหน้าด้วยความสั่นเทา ในหัวของนางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวานจึงเอ่ย"คงเป็นวันที่พี่ใหญ่กับพี่รองกำลังซ้อมกระบี่กันในวันนั้น"เฉินเจียนหลางพยักหน้าเบา ๆเยว่อันหนิงใจกล้า ๆ กลัว ๆ ตอนสัมผัสกล่องไม้ที่ว่า เมื่อฝากล่องไม้ถูกเปิดออก ม้วนภาพวาดผืนหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาของนา
หลังจากทั้งหมดกลับมายังจวนสกุลเฉินแล้ว เยว่อันหนิงก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เรือนต้นสน นางให้เหตุผลกับเฉินเจียนหลางว่าต้องการรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กดูเผื่อว่าที่ผ่านมานางตกหล่นชิ้นส่วนความทรงจำใดไป"แม่นางจวี๋เจ้าคะ ข้าน้อยนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"สาวใช้นางหนึ่งตะโกนขึ้นที่หน้าห้องพักก่อนจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารจำนวนหนึ่ง"นายน้อยเล่า"เสียงใสถามขึ้น นางขังตัวเองอยู่ในห้องนี้มาแล้วเกือบสองชั่วยามจึงอยากรู้ความเคลื่อนไหวภายในจวนสกุลเฉิน"นายน้อยไปส่งนายท่านออกนอกเมืองเจ้าค่ะ"คิ้วสวยขมวดย่นเล็กน้อย แววตานางมีความครุ่นคิดฉายขึ้น สาวใช้ตรงหน้าคงสังเกตเห็นจึงเล่าต่อ"วันนี้นายน้อยต้องกลับค่ายทหาร หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญต้องสะสาง นายท่านจึงอาสากลับไปคุมค่ายทหารให้ก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ"สาวใช้ตรงหน้ารายงานอย่างที่เฉินเจียนหลางสั่งไว้ไม่ขาดตกบกพร่องสักคำ"เจ้ากลับไปทำงานเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว""เจ้าค่ะ หากแม่นางจวี๋ต้องการสิ่งใด เรียกใช้ข้ารับใช้ในเรือนได้ทุกเมื่อ"เยว่อันหนิงคลี่ยิ้มบางเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นออกจากห้องไปดวงตาคู่สวยเหลือบมองอาหารที่น่าทานบนโต๊ะเพ