ร่างสูงผอมสมส่วนในวัยยี่สิบปีเดินออกมาหามุมคุยโทรศัพท์ เนื่องจากมีสายเข้าจากเพื่อนคนสนิทในมหาวิทยาลัยโทรมาพูดคุยเรื่องงานที่ต้องทำส่งอาจารย์ ชายหนุ่มเดินถือโทรศัพท์มือถือลัดเลาะไปตามคันร่องสวนมะม่วงและชมพู่ ซึ่งวันนี้ครอบครัวของหัสดินทร์แวะเวียนมาเยี่ยมทิพย์อาภาที่บ้านสวนจังหวัดนนทบุรี
ทว่าจังหวะที่หัสดินทร์กำลังลอดซุ้มต้นชมพู่ขนาดใหญ่ ซึ่งมีกิ่งก้านแผ่ไพศาลให้ร่มเงาแก่ทางเดินที่เขากำลังเดินผ่าน ก็มีอะไรบางอย่างหล่นตุ้บลงมาตรงหน้า เฉียดศีรษะของเขาไปหวุดหวิด พร้อมกับเสียงเล็กตะโกนร้องบอกเสียงดังลั่น
“เฮ้ย! มดแดง”
คนตัวโตกว่าก้มมองลงไปก็เห็นเป็นรังมดแดงถูกห่อหุ้มด้วยใบของต้นชมพู่ จากขนาดรังใหญ่พอสมควรตกอยู่ตรงหน้าเท้าของเขา ถ้าชายหนุ่มเดินเร็วกว่านี้อีกนิด รับรองได้ว่าเจ้ามดแดงได้เข้าไปทำรังรุมกัดเขาทั้งตัวเป็นแน่
หัสดินทร์จึงก้มไปหยิบกิ่งไม้มาเขี่ยรังมดแดงไปไว้อีกด้านของคันร่องสวน แล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมองสาเหตุที่แท้จริงของรังมดแดงที่อยู่ตรงปลายเท้า ดูก็รู้ว่าไม่ได้ร่วงจากต้นแบบปกติธรรมดาอย่างแน่นอน
เด็กผู้หญิงผมเปียใบหน้าและตามเสื้อผ้ามอมแมมไปด้วยคราบโคลน ดูจากตัวแล้วอายุอานามคงเป็นน้องเขาอยู่หลายปี เธอยังนั่งห้อยขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนกิ่งชมพู่ ซึ่งอยู่สูงกว่าหัวเขาเกือบสองเมตร แม่คุณคงจะโยนรังมดแดงลงมาพลาดเกือบโดนหัวเขา
“นี่น้อง จะเขวี้ยงอะไรลงมาดูตาม้าตาเรือบ้างนะ ถ้ามันโดนขึ้นมาคนอื่นจะเดือดร้อน”
“แล้วใครใช้ให้พี่มาเดินดุมๆ ในสวนบ้านคนอื่นล่ะ”
ประโยคสวนกลับมาอย่างทันควัน ยิ่งทำให้เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกสาวของน้าทิพย์อาภา ดูท่ายายเด็กนี่คงแสบใช่ย่อย
“แล้วที่โยนลงมาหัดขอโทษบ้างสิ ไม่มีใครสอนหรือไง”
“สอน! แต่หนูไม่ผิดนิ พี่ต่างหากเดินไม่รู้จักมอง จริงๆต้องขอบคุณหนูด้วยซ้ำที่เตือนก่อน ไม่อย่างนั้นพี่คงคันคะเยอจนเซตกน้ำข้างร่องสวนไปแล้ว”
เด็กน้อยวัยแปดขวบพูดไปด้วยขณะที่กำลังปีนลงจากกิ่งต้นชมพู่ ก่อนจะกระโดดลงมายืนประจันหน้ากับคนตัวโตกว่า ดวงตากลมโตจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
“นี่ยายเปี๊ยก นอกจากไม่ขอโทษแล้วยังจะเถียงคอเป็นเอ็นอีก เธอนี่เป็นเด็กยังไงฮะ”
“ก็เป็นเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าพี่นี่ไง”
ยายตัวกะเปี๊ยกทำท่าเอียงคอมองพลางจ้องเขาตาแป๋วใสซื่อ แถมเหยียดยิ้มกวนๆ ทำเอาหัสดินทร์อยากจะสั่งสอนเด็กตัวจิ๋วนี่สักหน่อย เขาเอื้อมมือไปหยิกแก้มใสด้วยความมันเขี้ยว ทำเอาสาวน้อยไม่ทันตั้งตัวตกใจร้องลั่น
“โอ้ย! แล้วพี่หยิกแก้มหนูทำไม”
“ก็สั่งสอนเด็กอย่างเธอไง ว่าหัดมีมารยาท อย่าเถียงผู้ใหญ่”
“แต่ผู้ใหญ่แบบพี่มันน่าเถียงนี่น่า” พรนลัทยังคงเถียงหน้าตาย “แล้วพี่ดันมาทำให้หนูเจ็บ พี่ก็ต้องเจ็บเหมือนกัน” น้ำเสียงคาดโทษของคนตัวเล็กไม่ทำให้เขาสะทกสะท้านสักนิด กลับหัวเราะร่วน
ทว่าเสียงหัวเราะต้องเปลี่ยนเป็นตกตะลึง เพราะเพียงแค่ชั่ววินาที! เด็กน้อยตัวกะเปี๊ยกก็แปลงร่างกายเป็นนินจาจิ๋วกระโดดเข้ามารวบลำคอหนา แล้วเกี่ยวท่อนขาเล็กไว้กับรอบเอวสอบอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับใช้ฟันแหลมคมงับเข้าที่ใบหูของเขาอย่างเต็มแรง
“โอ๊ยยยย! ยายเปี๊ยก กัดหูพี่ พี่เจ็บนะเว้ย”
หัสดินทร์ร้องออกมาเสียงหลงดังลั่นสวน ทำเอาบรรดาบุพการีที่กำลังชื่นชมความงามของธรรมชาติต่างแตกตื่นตกใจรีบพากันมายังบริเวณที่เกิดเหตุ ทว่าภาพตรงหน้าทำเอาทั้งสามชีวิตที่พึ่งมาใหม่ตกตะลึง
เมื่อเห็นลูกสาวและลูกชายซัดกันนัว คนน้องก็ดึงกระจุกผมของพี่ ส่วนคนเป็นพี่ก็หยิกแก้มของน้องไม่ปล่อยช่างเป็นภาพที่ชุลมุนมะรุมมะตุ้มกันไปหมด กว่าจะแยกทั้งคู่ออกจากกันได้ เรียกได้ว่าทำเอาคนเป็นพ่อแม่ถึงกับเหนื่อยหอบ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เขม่นไม่ชอบขี้หน้ากันจนกว่าครอบครัวของหัสดินทร์จะกลับไปยังเชียงใหม่
“ตกลงเราจำน้องน้ำผึ้งได้หรือยัง”
ประโยคเอ่ยถามของแม่เลี้ยงสรณ์สิริฉุดให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ แล้วจ้องมองใบหน้าของมารดาด้วยสายตานิ่งๆ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยตอบ
“จำได้ครับ จำได้แม่นเลย ว่าแต่ครูคนใหม่ของแม่เค้าจบอะไรมาถึงอยากมาเป็นครูสอนศิลปะที่ปางช้างเรา”
“น้องจบศิลปกรรมศาสตร์ ทำงานเป็นศิลปินวาดภาพประกอบที่สตูดิโอชื่อดังอย่าง Artis One ไงพอจะมาทำงานที่ปางช้างของเราได้ไหม”
คนเป็นมารดาเอ่ยยิ้มๆ พลางตบบ่าหนาของลูกชายเบาๆ ทำเอาหัสดินทร์ถึงกับอึ้งกิมกี่ ใครจะไปคิดว่ายายเด็กตัวกะเปี๊ยกจอมแสบในตอนนั้น จะมีความสามารถครบเครื่องขนาดนี้
แต่จะให้เขาไว้ใจเลยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะงานที่ปางช้างก็ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก อุปสรรคมีมาให้ทดสอบอยู่เสมอ โดยเฉพาะอุปสรรคตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มแบบเขา
“ผมก็หวังว่าครูคนใหม่ของแม่จะเจ๋งเหมือนที่ปากว่านะครับ”
หัสดินทร์แอบแขวะคนที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า หากแต่คนเป็นมารดารู้ว่าเจ้าลูกตัวโตยังฝังใจเรื่องในวันวาน แล้วรีบเอ่ยดักทางไว้แต่เนิ่นๆ
“น้องเจ๋งแน่นอนจ๊ะ ถ้าไม่มีใครมาคอยแกล้งคิดจะเล่นพิเรนท์กับน้อง เราก็ด้วยเลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นเด็กๆไปได้แล้วนะตาช้าง ป่านนี้น้องเค้าจำไม่ได้แล้วมั้ง อีกอย่างนะน้องมาอยู่กับเราครั้งนี้มาเพื่อพักใจ โปรดให้ความสงบแก่น้องน้ำผึ้งด้วย เข้าใจไหมพ่อตัวดี”
“ผมจะไปทำอะไรเขาได้ แม่เล่นออกตัวปกป้องล้อฟรีขนาดนี้”
“จ๊ะ ให้มันจริง” แม่เลี้ยงสรณ์สิริค้อนขวับให้กับลูกชายทันที ก่อนจะเอ่ยเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้อีกเรื่อง
“เมื่อกี้แม่เจอไอ้ชงนมก็ลืมบอกมัน พรุ่งนี้ว่าจะวานให้เจ้าชงนมมันไปรับหนูน้ำผึ้งที่ท่ารถในเมืองซักหน่อย ยังไงฝากช้างไปบอกมันหน่อยล่ะกันนะลูก”
พลันความคิดจอมเจ้าเล่ห์ของหัสดินทร์ก็ผุดขึ้นมา เมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาเอ่ย เขาแทบจะหลุดยิ้มขำให้กับความคิดของตัวเอง แต่ก็ยังพยายามเก็กหน้านิ่งเอาไว้เหมือนเดิม
“ไว้ผมเจอมันเย็นนี้แล้วจะบอกให้นะครับ”
คนเป็นมารดากำลังจะปล่อยลูกชายให้ขึ้นไปอาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคล ก็ดันนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องดูท่าช่วงนี้นางต้องกินเม็ดเก๋ากี้สักหน่อยแล้ว
“อ้อ เกือบลืม! รับน้องเสร็จแล้วให้มาพักกับเราที่บ้านใหญ่นะลูก แม่ให้เด็กจัดห้องไว้ให้แล้วอยู่ปีกด้านขวา พรุ่งนี้แม่กับพ่อจะไปธุระที่ลำปางสองวัน ฝากช้างดูแลน้องแทนทีนะ”
“โอเคครับ ผมจะดูแลอย่างดี”
“ขอบใจจ๊ะลูกรัก”
แม่เลี้ยงคนงามเอื้อมมือขึ้นไปตบแก้มครึ้มไรหนวดของลูกชายเบาๆ ด้วยความเย้าแหย่ พลางคลี่ยิ้มกว้างอย่างถูกอกถูกใจ แล้วเดินจากไปยังห้องหนังสือ
ขณะเดียวกันดวงตาสีนิลคมกริบก็ฉายแววเจ้าเล่ห์มองตามแผ่นหลังของมารดา พลางพึมพำหมายหัวแม่สาวน้อยที่กำลังจะมาเป็นว่าที่คุณครูสอนศิลปะคนใหม่
“เห็นทีคราวนี้เราคงต้องสนุกกันหน่อยแล้ว โทษฐานที่เธอทำให้ฉันหลอนจนเสียวหู ยายตัวแสบ!”
*****
ภายในห้องนอนหลังเล็กพรนลัทกำลังนั่งพับเสื้อผ้าและเก็บของใช้จำเป็นสำหรับเดินทางลงกระเป๋าใบใหญ่เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปพักอาศัยและพักใจที่ปางช้างของคุณป้าผู้มีพระคุณช่วงเช้ามืดพรุ่งนี้ เธอแอบรู้สึกรู้สึกโหวงๆอยู่ภายในใจอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากเธอไม่เคยไปไหนไกล แถมยังไปอยู่ห่างจากคนเป็นมารดานานๆเลยสักครั้ง อดที่จะห่วงทิพย์อาภาไม่ได้ แม้ว่าจะมีป้าแหววและน้องจี๊ดคอยดูแลก็ตาม
ร่างท้วมในชุดคอกระเช้ากับผ้าถุงก้าวเข้ามาทรุดนั่งอยู่ตรงปลายเตียงมองลูกสาวกำลังเก็บของเงียบๆ ก่อนนางทิพย์อาภาจะช่วยเก็บของชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงกระเป๋า พลางเอ่ยชวนคุย
“ป้าสรจัดให้คนมารับน้ำผึ้งแล้วนะลูก ไปอยู่นั่นก็อย่าดื้ออย่าซนเหมือนอยู่กับแม่ล่ะ”
“แม่นั่นแหละ อย่าดื้อแอบไปทำงานในสวนตอนน้ำผึ้งไม่อยู่รู้ไหม คอยดูนะน้ำผึ้งจะโทรมาถามน้องจี๊ดกับป้าแหววทุกชั่วโมงเลย”
“เกินไปจ๊ะ”
นางทิพย์อาภาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กของลูกสาวด้วยความเอ็นดู พลางแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นหัวใจ นางรู้ดีว่าลูกสาวทั้งรักและเป็นห่วงขนาดไหน
“แป๊บๆ ก็หมดเดือนๆหนึ่งแล้ว น้ำผึ้งก็จะได้กลับมาหาแม่แล้ว”
“หมดเดือนเร็วนะใช่ แต่เค้าจะรับกลับเข้าทำงานอีกไหมนี่ก็อีกเรื่อง”
“โห่ แม่แอบช็อตฟีล ลูกสาวของแม่ออกจะเก่งยังไงก็ได้กลับไปทำงานแน่นอน”
พรนลัทหลุดยิ้มให้กับประโยคเย้าแหย่ของมารดา พลางลุกขึ้นนำกระเป๋าสองใบไปวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้อง แล้วมานั่งกอดมารดาอยู่บนเตียงนอนอย่างออดอ้อน
“อยู่โน้นก็ต้องกินข้าวให้ครบทุกมื้อนะลูก คิดถึงแม่ก็โทรมาเข้าใจไหม”
“ค่า ใครจะลืมคุณนายทิพย์ได้ลงคอ”
รับคำจบก็มาพร้อมกับปลายจมูกโด่งรั้นฝังลงบนพวงแก้มอวบของผู้เป็นแม่อย่างเต็มรัก แล้วซุกใบหน้าสวยใสไว้กับซอกคอนุ่ม
“รีบนอนได้แล้วเรา พรุ่งนี้เจ้าเจย์มารับแต่เช้า”
เนื่องจากพรุ่งนี้พรนลัทต้องเดินทางออกจากบ้านสวนตั้งแต่เช้ามืด เธอจึงนัดแนะรุ่นน้องคนสนิทให้มารับและพาไปส่งที่สนามบิน
“รับทราบค่ะ”
ลูกสาวคนสวยคลี่ยิ้มหวานแล้วผละออกจากอ้อมกอดมารดา หญิงสาวเดินไปส่งแม่ตรงหน้าประตูห้อง และไม่ลืมที่จะหอมแก้มอีกครั้งเป็นการส่งเข้านอน ขณะเดียวกันนางทิพย์อาภาก็ทำได้เพียงอมยิ้ม พลางโคลงศีรษะให้กับลูกอ้อนของลูกสาว
พรนลัทพาตัวเองมายังเตียงนอนนุ่ม แล้วหยิบตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่มานอนกอด ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดโคมไฟสีเหลืองอ่อนบริเวณหัวเตียง หลังจากไฟดับลงห้องทั้งห้องก็มืดมิดมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่างสะท้อนจากหน้าต่างเข้ามายังในห้องนอน
ในหัวของเธอตอนนี้คิดไม่ตกว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร การเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีหรือเปล่า ความคิดสะระตะเข้ามาในหัวตีกันจนฟุ้งซ่าน
ทว่าการตัดสินใจไปครั้งนี้ก็เพื่อฟื้นฟูจิตใจของเธอที่ทำงานหนักมาทั้งปี แต่โดนคนมือดีขโมยผลงานไป ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร เธอก็พร้อมจะเผชิญและเรียนรู้ เมื่อคิดได้ดังนั้นสาวน้อยก็ค่อยๆหลับตาลง เพียงไม่ถึงนาทีเธอก็หลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด