เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก
"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ"
"ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"
เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง
"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"
จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่าบาท ซึ่งเงินก้อนนั้นเธอฝากธนาคารไว้เป็นค่าเล่าเรียนของพราวนภา
"แต่จะว่าไป ต่อให้ของมีราคาแพงแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่มันจะเสียบ้าง เราจึงมีศูนย์บริการสำหรับซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ที่นี่ด้วย ไม่ต้องส่งไปซ่อมถึงเมืองนอก แต่ถ้าเปลี่ยนอะไหล่ยังไงก็ต้องรอของจากทางเมืองนอกส่งมาอยู่ดี"
จากนั้นชายหนุ่มก็พาจันทร์เจ้าเดินดูนาฬิการุ่นต่าง ๆ พร้อมกับอธิบายกลไกการทำงานของแต่ละรุ่นให้ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงให้เธอสัมผัสและหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ ได้ โดยก่อนที่จะแตะต้องนาฬิกาเหล่านั้นหญิงสาวต้องสวมถุงมือสีขาวของทางร้านก่อน
กว่าจะเสร็จจากการดูการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของโชว์รูมรวมไปถึงการทำความรู้จักกับนาฬิกาแต่ละรุ่น เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงครึ่ง ชินดนัยจึงถือโอกาสชวนจันทร์เจ้ากินมื้อกลางวันด้วยกันที่นี่
"กินอะไรกันดีหนูจันทร์ เที่ยงกว่าแล้วคนกำลังเยอะเลยละ แต่พี่หิวมากเลยเนี่ยเมื่อเช้าดื่มกาแฟมาแค่แก้วเดียวเอง"
เขาพูดพลางลูบท้องไปด้วย แต่จันทร์เจ้าเบือนหน้ามองไปทางอื่นเพราะทั้งคำพูดและเหตุการณ์ตอนนี้คล้ายคลึงกับอดีตที่ผ่านมาราวกับเดจาวู
"พี่ว่าเราเดินไปดูร้านอาหารข้างในกันดีกว่าไหม ตรงนี้คนเยอะเกิน ขี้เกียจรอ" เขาหันไปถามความเห็น
"ค่ะ" หญิงสาวตอบเขาสั้น ๆ แล้วเดินเยื้องไปทางด้านหลังเขาเล็กน้อย แต่ชินดนัยกลับชะลอฝีเท้าให้เดินช้าลงเพื่อจะได้เดินไปพร้อมกับเธอ จนในที่สุดทั้งคู่ก็เดินอยู่ในระดับเดียวกัน
ทว่าการเดินไปด้วยกันของทั้งสองคนนั้นได้ตกอยู่ในสายตาของใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ
"นั่นมันยายจันทร์นี่นา เดินอยู่กับใครน่ะ" คนพูดเพ่งมองชายหนุ่มที่เดินอยู่กับจันทร์เจ้าเพื่อนสนิท ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นชัดเต็มสองตาว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร
"พี่ชิน! ทำไมยายจันทร์มาอยู่กับพี่ชินได้"
สรุปแล้ววันนี้จันทร์เจ้าได้ไปเยี่ยมชมโชว์รูมนาฬิกาที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนเพียงแห่งเดียว ไม่ได้ไปที่ศูนย์บริการสำหรับซ่อมนาฬิกา เพราะชินดนัยอ้างว่ามีเอกสารบางฉบับต้องรีบกลับไปจัดการให้เสร็จ ตลอดช่วงบ่ายหญิงสาวจึงได้มาติดตามงานที่คั่งค้าง และเพราะตนปิดเสียงโทรศัพท์มือถือไว้ จึงไม่ได้ยินเสียงข้อความจากเพื่อนที่กระหน่ำส่งเข้ามาทางไลน์ กว่าจะได้อ่านข้อความเหล่านั้นก็เกือบถึงเวลาเลิกงานแล้ว
'แกกลับไปคบกับพี่ชินหรือ ทำไมแกไม่เล่าให้ฉันฟัง'
'ไหนแกบอกว่าจะไม่ยุ่งกับเขาแล้วไง'
'คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว และทำไมแกต้องปิดบังฉัน'
'คืนนี้ฉันจะโทร. ไปคุยด้วย ทำสายให้ว่างด้วยนะ'
ทั้งหมดเป็นข้อความจากวรัชยาหรือวีวี่ เพื่อนอีกคนของจันทร์เจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่งข้อความไปถามไปรมาว่าได้เล่าเรื่องนี้ให้วรัชยาฟังหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาทันทีว่าไม่ได้คุยกับวรัชยามานานมากแล้ว เธอจึงคิดว่าวีวี่น่าจะบังเอิญเห็นเธอเดินอยู่กับชินดนัยกระมัง
ความจริงแล้วจันทร์เจ้าจะคุยเรื่องสำคัญหรือปรึกษาปัญหาส่วนตัวกับไปรมามากกว่า ส่วนวรัชยานั้นแม้จะคบหากันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยสนิทใจกับอีกฝ่ายเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะว่าวรัชยามักมา ๆ หาย ๆ บางครั้งก็หายหน้าไปไม่ติดต่อเธอกับไปรมาหลายเดือนหรือเกือบปี จะได้คุยกันเล็กน้อยผ่านทางเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอไม่รู้สึกสนิทใจกับวรัชยานั่นก็เพราะอีกฝ่ายมักพยายามแข่งกับเธอแทบทุกเรื่องอย่างที่ไปรมาพูดไว้
โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าที่เธอมี วรัชยามักจะมีเหมือนกับเธอ จะแตกต่างกันก็แค่สีเท่านั้น หรือบางครั้งเจ้าตัวจะมีรุ่นใหม่กว่าแล้วนำมาเกทับเธออย่างผู้ชนะ ซึ่งเธอก็ไม่ได้เก็บเรื่องหยุมหยิมแบบนั้นมาเป็นอารมณ์ แต่มีสองอย่างที่วรัชยาไม่สามารถมีเหมือนเธอได้ นั่นก็คือนาฬิกาข้อมือและผู้ชาย เพราะนาฬิกาที่เธอใส่ตอนนั้นราคาหลายแสนบาท ส่วนผู้ชาย หรือคนรักนั้นวรัชยาตามตื๊อชินดนัยไม่สำเร็จ อีกฝ่ายจึงไม่เคยเปิดปากพูดถึงเรื่องนี้เลยเพราะสู้เธอไม่ได้
ทว่าหลังจากที่บ้านของเธอล้มละลาย วรัชยาก็ไม่ได้สนใจจะมาประชันขันแข่งอะไรกับเธออีก แต่เปลี่ยนเป็นมาอวดข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง หรืออวดการไปเที่ยวต่างประเทศด้วยการถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ดูทางไลน์
"คุณจันทร์ ผมเชิญที่ห้องหน่อยครับ"
เสียงจากอินเตอร์คอมดังขึ้น จันทร์เจ้าจึงวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิมแล้วกรอกเสียงตอบรับไปสั้น ๆ "ค่ะ"
หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปเคาะห้องทำงานของประธานบริษัทก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เห็นชายหนุ่มกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จึงเดินไปยืนหน้าโต๊ะทำงานของเขาเพื่อรอรับคำสั่ง
ชินดนัยหันหน้าจอโน้ตบุ๊กมาทางเธอ ซึ่งเว็บไซต์ที่เขาเปิดทิ้งไว้เป็นเว็บบอร์ดชื่อดังที่คนไทยนิยมอ่านกันมากที่สุดเว็บหนึ่ง หญิงสาวก้มหน้าอ่านหัวข้อกระทู้และเนื้อหาในนั้นแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะมีคนมาตั้งกระทู้บอกว่าซื้อนาฬิกาจากโชว์รูมที่สยามพารากอนแล้วมีปัญหา ส่งซ่อมไปร่วมครึ่งปีแต่ได้ของกลับมาแล้วยังมีปัญหาเดิมอยู่
"ท่านประธานจะให้ฉันตามเรื่องนี้ใช่ไหมคะ"
"ใช่ เพราะเขาบอกว่าซื้อไปไม่ถึงเดือนแต่เครื่องมีปัญหา แจ้งศูนย์ส่งซ่อมไปแต่รอถึงครึ่งปีกว่าจะซ่อมเสร็จ พี่คิดว่าระยะเวลามันนานเกินไป พี่อยากรู้ว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน ช่างคนไหนเป็นคนรับผิดชอบเคสนี้ และตกลงแล้วมันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ และถ้าเป็นไปได้ หลังจากที่เคลียร์ปัญหาตรงนี้เสร็จแล้ว จันทร์ลองไปคุยกับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ดูหน่อยว่าเราจะชี้แจงปัญหานี้ลงไปในกระทู้ได้ยังไงบ้าง พี่ไม่ต้องการให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหาย"
"ได้ค่ะ" หญิงสาวรับคำสั่งแล้วก้มหน้ามองหัวข้อกระทู้นั้นอีกครั้งเพื่อที่จะได้ไปเปิดที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง
"เมื่อกี้พี่ส่งลิงก์ให้ทางอีเมลแล้ว" ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจสั่งงานให้เธอทำอีกหนึ่งงาน
"แล้วก็พี่รบกวนอีกอย่างนะจันทร์ ถ้าว่างจากงานอื่นแล้วจันทร์ลองเข้าเว็บบอร์ดนั้นหน่อย เสิร์ชหากระทู้ที่เกี่ยวกับนาฬิกาของเราทั้งสองแบรนด์ดูว่ามีลูกค้ามาโพสต์ว่าเจอปัญหาอะไรอีกรึเปล่า"
"ค่ะ ถ้าเจอฉันจะส่งลิงก์ให้ทางอีเมลนะคะ"
"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มยิ้มจนตาเป็นสระอิ จากนั้นก็พับหน้าจอโน้ตบุ๊กปิดไว้แล้วลุกขึ้นยืน
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร