มัลลิกาย้ายบ้านมาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ได้เดือนเศษแล้ว และเคยเจอกับสมาชิกเกือบทุกคนในบ้านของพราวนภา แม้กระทั่งภาคินบุตรชายคนเล็กของภคินีที่ปกติจะพักอยู่คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย เธอก็ยังเคยคุยกับเขาหลายครั้ง มีเพียงภาวินเท่านั้นที่เธอได้แต่มองเขาจากบ้านของตัวเองแต่ไม่เคยคุยด้วยเพราะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันจัง ๆ ทว่าพอได้เจอกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็ช่างน่าอายเหลือเกิน
"มีหนูพราว คุณพ่อ คุณปู่แล้วก็คุณย่าค่ะ วันนี้อาคินไม่มา" พราวนภาตอบเสียงใส ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบพูดอย่างตื่นเต้น
"พี่มะลิขา เราเข้าไปเล่นในห้องทำงานคุณพ่อกันดีไหมคะ"
มัลลิกาส่ายหน้าหวือทันที "ไม่ดีค่ะ พี่ว่าห้องทำงานเป็นที่ที่เราไม่ควรเข้าไปเล่นมากที่สุด เพราะในนั้นจะมีงานและเอกสารเยอะแยะ ถ้าเราทำหายหรือทำเลอะขึ้นมา คุณพ่อจะดุเอาได้นะคะ"
"เมื่อคืนหนูพราวเห็นคุณพ่อเอาลิปกับที่ทาตาทาแก้มมาวางบนโต๊ะเยอะแยะเลยค่ะ หนูพราวก็เลยอยากชวนพี่มะลิไปเล่นแต่งหน้ากัน"
พราวนภาเงยหน้ามองเพื่อนต่างวัยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่มัลลิกายังคงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปแล้วพูดอย่างใจเย็น
"พี่มะลิสัญญาว่าจะเล่นแต่งหน้าเป็นเพื่อนหนูพราวแน่นอน แต่ต้องมีข้อแม้ว่าหนูพราวต้องขออนุญาตคุณพ่อก่อน เพราะลิปสติกกับเครื่องสำอางพวกนั้นคุณพ่ออาจจะเอามาทำงานก็ได้" พูดจบก็ยื่นนิ้วก้อยออกไป เด็กน้อยจึงเอานิ้วก้อยของตัวเองมาเกี่ยวเอาไว้แล้วยิ้ม
"ก็ได้ค่ะ"
มัลลิกายิ้มกว้างพลางลูบศีรษะของเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู พราวนภาเป็นเด็กที่น่ารักและว่านอนสอนง่าย ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้ที่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนมา
เธอเคยเห็นมารดาของพราวนภาแล้วตอนที่อีกฝ่ายมารับบุตรสาวกลับบ้าน ผู้หญิงคนนั้นมักจะมาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งเสมอ ที่น่าแปลกคือผู้ชายคนนั้นดูสนิทสนมคุ้นเคยกับคนในบ้านหลังนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่หากมองตามหลักความเป็นจริงแล้วเขาคือพ่อเลี้ยงของพราวนภา และคนบ้านนี้ไม่น่าจะให้ความสนิทสนมและเป็นกันเองราวกับญาติสนิทคนหนึ่งแบบนั้นได้ ถึงแม้ว่าภาวินกับภรรยาเก่าจะจบกันไปด้วยดีก็ตาม
ดูอย่างพ่อเลี้ยงของเธอเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่บิดาบังเกิดเกล้าของเธอเสียชีวิตไปแล้วมารดาแต่งงานใหม่ ครอบครัวทางฝั่งบิดาของเธอก็ไม่เคยญาติดีกับพ่อเลี้ยงเลยสักครั้ง บางทีเวลาได้เจอหน้ากัน ญาติทางฝั่งบิดาแท้ ๆ ของเธอยังมีท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์พ่อเลี้ยง รวมไปถึงการพูดแขวะให้เธอได้ยินอยู่บ่อย ๆ และเพราะเหตุนี้เองพ่อเลี้ยงกับมารดาของเธอจึงแทบไม่โผล่หน้าไปที่บ้านคุณย่าของเธอเลยถ้าไม่จำเป็น
เสียงโทรศัพท์มือถือของมัลลิกาดังขึ้นขัดความคิดที่ติดอยู่ในหัว หญิงสาวหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อดูชื่อคนที่โทร. เข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นใครหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะก้มลงบอกกับพราวนภา
"หนูพราวเข้าไปหยิบของเล่นในบ้านก่อนก็ได้นะคะ พี่มะลิจะรอที่ศาลา"
พราวนภาพยักหน้ารับแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน เธอจึงกดรับสายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ว่าไงแพต"
"มะลิ แกได้ที่ฝึกงานรึยัง" เสียงหวานจากปลายสายทำให้มัลลิกาได้แต่ลอบถอนหายใจแผ่ว
"ได้แล้ว ไปทำที่บริษัทของคนรู้จักน่ะ" เธอตอบไปตามตรงเพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องรู้กันทุกคนอยู่แล้ว
"อ้าว แกไม่ได้ไปทำที่กงสุลกับพ่อแกหรือ แล้วบริษัทที่แกจะไปทำเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร"
"เป็นบริษัทเครื่องสำอาง เผอิญว่าบริษัทที่ฉันจะไปทำน่ะ เจ้าของบริษัทเขาอยู่ข้างบ้านฉันนี่เอง คุยกันไปมาเขาก็เลยบอกให้ลองไปทำที่บริษัทของเขาดู"
หญิงสาวบอกยี่ห้อเครื่องสำอางให้เพื่อนรับทราบ ขณะที่อธิบาย มัลลิกาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายโทรศัพท์มาทำไม และสิ่งที่เธอคาดเดาไว้ก็ไม่ผิดไปจากที่คิดนัก
"ดีจัง ฉันยังหาไม่ได้เลย ฉันขอไปทำกับแกด้วยได้ไหม แกช่วยคุยกับคนข้างบ้านแกให้หน่อยสิ นะมะลินะ"
น้ำเสียงตื่นเต้นของคนปลายสายไม่ได้ทำให้มัลลิการู้สึกดีหรือตื่นเต้นไปด้วยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม หญิงสาวได้แต่กลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กระนั้นก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้
"คุยน่ะคุยได้ แต่เขาจะโอเคไหม ตรงนี้ฉันไม่รับปากนะแพต มันต้องแล้วแต่เขาน่ะ"
"ฉันรู้น่า เฮ้อ สบายใจสักที ขอบใจเธอมากนะมะลิ ฉันไม่รบกวนแล้วละ พรุ่งนี้เจอกันที่มหา'ลัยนะ"
"อืม พรุ่งนี้เจอกัน"
มัลลิกากดวางสายแล้วโทร. ออกไปหาเพื่อนอีกคนทันที สัญญาณดังไม่ทันครบหนึ่งครั้งปลายสายก็กดรับด้วยความรวดเร็ว
"เฮลโหลว...ว่าที่มิสทิฟฟานีพูดสายค่ะ"
น้ำเสียงที่จงใจดัดให้แหลมเล็กอย่างมีจริตจะก้านนั้น เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของมัลลิกาได้ทันที
"คุณอรุณวตีคะ ไม่ทราบว่าได้ที่ฝึกงานรึยัง"
เธอเรียกชื่อใหม่ของเพื่อนที่เพิ่งได้รับอนุญาตจากมารดาให้เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือสายัณห์เมื่อตอนปิดเทอมที่ผ่านมา พลางนึกหน้าผู้เป็นเจ้าของชื่อไปด้วย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังยิ้มร่าจนหน้าบานเป็นแน่
"ฉันยังไม่ได้หาเลยแก ช่วงนี้กำลังยุ่งวุ่นวายเรื่องร้านเสื้อของพี่มดน่ะ แกหาได้แล้วหรือ"
"ได้แล้ว เป็นบริษัทเครื่องสำอางยี่ห้อเอเอ็นเอสไง เจ้าของบริษัทเขาอยู่ข้างบ้านฉัน แกมาสมัครกับฉันไหมล่ะ เมื่อกี้ยายแพตก็เพิ่งโทร. มา นางจะไปสมัครที่เดียวกับฉันเหมือนกัน นี่ฉันว่าจะโทร. ไปถามยายเพลงด้วยว่าหาได้รึยัง เผื่อพวกเราสี่คนจะได้ทำงานด้วยกันไง เนอะ"
"ว้าย! ฉันเป็นสาวกยี่ห้อนี้ อุ๊ยตายแล้ว ตื่นเต้น ฉันทำด้วย"
ปลายสายยังคงกรี๊ดกร๊าดไม่หยุดจนมัลลิกาต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อยก่อนส่ายหน้าช้า ๆ อย่างจนใจ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนชายแต่ใจเป็นหญิงคนนี้ชื่นชอบของสวย ๆ งาม ๆ เป็นที่สุดโดยเฉพาะเครื่องสำอาง
"โอเค ถ้าอย่างนั้นแกก็เตรียมเอกสารไว้นะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่มหา'ลัย"
มัลลิกาคุยกับอรุณวตีอีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย จากนั้นหญิงสาวก็กดโทร. ออกไปหาเพลงพิณ เพื่อนอีกคนในกลุ่มทันที แต่โทร. ไม่ติดเธอจึงเลือกส่งข้อความไปทางไลน์แทน
มัลลิกาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องชวนเพื่อนในกลุ่มไปฝึกงานที่บริษัทของภาวินด้วยกัน ถ้าไม่เพราะปรีชญาเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาขอร้อง ซึ่งหญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าภาวินจะต้องอนุญาตให้เพื่อนของเธอไปฝึกงานด้วยกันแน่นอน ฉะนั้นเธอจึงถือโอกาสชวนเพื่อนคนอื่นไปทำด้วยกันเสียเลย
หากเป็นเพื่อนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอรุณวตีหรือเพลงพิณ มัลลิกาย่อมไม่มีปัญหาถ้าต้องทำงานร่วมกับอีกฝ่าย แต่เพราะเป็นปรีชญา ผู้ที่คำพูดและการแสดงออกสวนทางกับความคิดในใจอย่างสิ้นเชิง มัลลิกาจึงไม่ค่อยสะดวกใจนักถ้าต้องเสแสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรตลอดเวลา ทั้งที่ภายในใจของอีกฝ่ายนั้นทั้งดูถูกและต่อว่าตนอย่างไม่มีชิ้นดี
"พี่มะลิขา คุณย่าชวนมากินน้ำแข็งใสค่ะ พี่มะลิเอาน้ำหวานสีอะไรคะ"
เสียงเรียกของพราวนภาทำให้มัลลิกาต้องเปลี่ยนทิศทางการเดินจากศาลากลางสวนเป็นหน้าบ้านทันที
"พี่เอาน้ำแดงค่ะ ราดนมข้นหวานด้วยนะ เยอะ ๆ เลย" เธอตะโกนตอบกลับไปพลางค่อย ๆ เดินไปทางหน้าบ้านอย่างไม่รีบร้อน
ขณะเดียวกัน ในห้องทำงานของนฤเบศร์ หนุ่มใหญ่เจ้าของห้องกำลังนั่งเผชิญหน้ากับหนุ่มรุ่นน้องที่มีรั้วบ้านติดกัน แม้บรรยากาศไม่ดูเคร่งเครียดจนเกินไปนัก แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าเป็นกันเองอยู่ไม่น้อย
"คุณอาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมรับรองว่าจะดูแลหนูมะลิอย่างดี เรื่องการเดินทางก็ไม่ต้องกังวล เพราะอย่างที่ผมบอกไปนั่นแหละว่าให้น้องเขากลับกับผม แต่ถ้าวันไหนที่ผมติดธุระ หรือต้องไปต่างประเทศ ผมจะบอกมะลิเขาล่วงหน้า แล้วให้มะลิเขากลับกับคุณพ่อคุณแม่ผม เพราะถ้าผมไม่อยู่ที่บริษัท พวกท่านคนใดคนหนึ่งก็จะเข้าบริษัทแทนครับ"
นฤเบศร์พยักหน้ารับรู้ช้า ๆ ก่อนถอนหายใจแผ่ว
"ผมอาจจะเรื่องเยอะไปหน่อย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วย แต่ผมก็ไม่กล้าปล่อยให้ยายหนูนั่งรถกลับบ้านเองอยู่ดี"
"ผมเข้าใจคุณอาครับเพราะผมเองก็มีลูกสาว ถ้าหนูพราวเจอเหตุการณ์แบบนั้นผมก็คงจำฝังใจเหมือนกัน" ภาวินยิ้มอ่อน เริ่มเข้าใจพฤติกรรมแปลก ๆ หลายอย่างของคนตรงหน้ามากขึ้น
หากคนคิดอกุศล คงคิดว่าพ่อเลี้ยงคนนี้คิดไม่ซื่อกับลูกเลี้ยง แต่พอเขาได้มาพูดคุยเปิดอกกับอีกฝ่าย เขาก็สัมผัสได้ว่านฤเบศร์รักและเป็นห่วงมัลลิกาจากใจจริงไม่ต่างจากพ่อแท้ ๆ คนหนึ่ง
"แต่ดีที่ยายหนูเป็นคนมองโลกในแง่ดีและปรับตัวเก่ง แกจำเรื่องคราวนั้นไว้เป็นบทเรียนแต่ก็ไม่หวาดกลัวจนฝังใจ จะว่าไปแล้วความคิดความอ่านของยายหนูยังเด็กมาก ผมกลัวว่าตอนไปฝึกงานแกจะถูกคนอื่นมาหลอกเอาได้ เพราะฉะนั้นผมเลยอยากรบกวนให้คุณวินช่วยดูแกหน่อย ถ้ามีหนุ่ม ๆ มาวอแวคุณก็ช่วยตักเตือนแทนผมได้ไหม คิดเสียว่ายายหนูเป็นลูกหลานของคุณคนหนึ่งก็ได้" นฤเบศร์ยิ้มบาง ๆ พลางมองหน้าคนฟัง ซึ่งขณะนี้รอยยิ้มแข็งค้างไปแล้ว
"ได้ครับ ไม่มีปัญหา" ภาวินแทบจะกัดฟันพูดเพราะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีว่า การที่พูดมาแบบนี้ ไม่ใช่หมายถึงต้องการตักเตือนเขาทางอ้อมว่าอย่าได้คิดเกินเลยในเชิงชู้สาวกับมัลลิกาหรอกหรือ
"ขอบคุณคุณวินมากครับที่เข้าใจ อย่างว่าแหละครับ ต่อให้ลูกโตแค่ไหนแต่ในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังเห็นลูกเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่วันยังค่ำ และผมก็เชื่อว่าในวันที่หนูพราวโตขึ้นทุกวัน ๆ คุณวินจะเข้าใจเรื่องนี้ดีเลยละ"
สายตาของนฤเบศร์อ่อนโยนลงจนคนมองอดคิดตามไปด้วยไม่ได้ หากวันหนึ่งพราวนภาโตเป็นสาวแล้วมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาตามเทียวไล้เทียวขื่อ ถึงเวลานั้นเขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
แน่นอนว่าคงปวดใจและใจหายไม่น้อยเลย
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก