มัลลิกานั่งกินน้ำแข็งใสคนละถ้วยกับพราวนภาในห้องนั่งเล่นพลางดูภาพยนตร์แอนิเมชันทางเคเบิลทีวีไปด้วย ส่วนภคินีกำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างบนโซฟาอีกตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ระหว่างนั้นภาวินเดินเข้ามาในห้องที่ทุกคนนั่งอยู่พอดี สายตาของมัลลิกากับพราวนภาจึงเบนไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่โดยพร้อมกัน และเด็กน้อยก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักบิดาก่อน
"คุณพ่อกินน้ำแข็งใสไหมคะ คุณย่าทำให้ ของหนูพราวมีขนมปังกับวุ้นสี ๆ ด้วยละ"
"หนูหม่ำเลยลูก พ่อเพิ่งดื่มกาแฟมาค่ะ"
ชายหนุ่มเดินมานั่งบนโซฟาตัวที่ใกล้กับมัลลิกาเพราะเหลือว่างเพียงตัวเดียว เขามองมารดาที่เงยหน้ามาดูเขาแว่บหนึ่งก่อนจะรวบเอกสารทั้งหมดมาไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืน
"มาพอดีเลยตาวิน เข้าไปคุยกับแม่ในห้องทำงานหน่อยสิ คุณพ่อก็รออยู่ในนั้นแหละ" ภคินีพูดกับบุตรชายจบก็หันมาบอกมัลลิกา
"หนูมะลินั่งเล่นกับน้องก่อนนะลูก ขอป้าไปคุยเรื่องงานกับพี่เขาหน่อย"
"ได้ค่ะคุณป้า" หญิงสาวรับคำพลางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืน เขาหันมองเธอเช่นกันพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นมารดาไป
มัลลิกาถอนหายใจแผ่ว เริ่มหนักใจเรื่องการชวนเพื่อนไปฝึกงานที่บริษัทของเขา คิดแล้วก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่คิดน้อย ไม่คิดให้ถ้วนถี่ เพราะคงไม่มีใครจะใจดีอนุญาตให้คนนอกอย่างเธอยกโขยงเพื่อนฝูงไปวุ่นวายที่บริษัทเป็นแน่
ภาวินเดินไปทางโต๊ะประชุมขนาดไม่ใหญ่นักที่ตั้งอยู่กลางห้องทำงาน บนโต๊ะมีลิปสติกรุ่นใหม่ที่บริษัทวางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าวางอยู่หนึ่งเซต ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเอ่ยปากถามมารดาทันทีที่หย่อนตัวนั่งเรียบร้อยแล้ว
"มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ ดูท่าทางเคร่งเครียดกันจัง"
"วันนี้เจวาร์เปิดตัวลิปสติกรุ่นใหม่ ชื่อรุ่นอาร์ยูเรดดี้ และนี่คือแพ็กเกจของเขา" ภคินีหันหน้าจอไอแพดไปทางบุตรชาย ครั้นพอภาวินเห็นสินค้าตัวใหม่ของบริษัทคู่แข่ง สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
"นี่มัน...เหมือนของเราเป๊ะเลยนี่ครับ ทั้งชื่อรุ่นทั้งแพ็กเกจ แต่ของเราจะเปิดตัวอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า แล้วจู่ ๆ โซคิวท์ชิงเปิดตัวตัดหน้าไปก่อนแบบนี้หมายความว่ายังไง ไหนจะแพ็กเกจนั่นอีก"
ชายหนุ่มหยิบลิปสติกที่วางอยู่ตรงหน้ามาถือไว้ในมือพลางเลื่อนดูภาพสินค้าที่บริษัทคู่แข่งเปิดตัวสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาอย่างไม่สบอารมณ์
"เหมือนเราทุกอย่างเลย ทั้งชื่อทั้งแพ็กเกจ แบบนี้มันขโมยไอเดียกันชัด ๆ ปัญหาคือมันดันออกก่อนเรา พอถึงคราวเราออกบ้าง คนก็จะหาว่าเราเลียนแบบมัน" พิทยาเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
"เกลือเป็นหนอนแน่นอนครับคุณพ่อคุณแม่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราโดนขโมยไอเดียไปแบบนี้ และถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ คนก็จะไม่ซื้อยี่ห้อเราใช้เพราะเขาจะตราหน้าว่ายี่ห้อเราเป็นหัวขโมย"
"ใช่ เราต้องหาตัวคนที่ขายข้อมูลของเราไปให้คู่แข่งให้ได้" ภคินีมองไปทางบุตรชาย อีกฝ่ายจึงเสนอตัวขึ้นมาอย่างรู้หน้าที่
"เรื่องนี้ผมจัดการเองครับ ส่วนอาร์ยูเรดดี้ก็คงต้องเร่งเปิดตัวให้เร็วกว่านี้ ยิ่งช้าก็จะยิ่งดูเหมือนเราเลียนแบบเขา" เขาพูดพร้อมกับหยิบลิปสติกทั้งสิบสีมาวางตรงหน้า ความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในหัว
"ผมว่านะ ในเมื่อเจวาร์เปิดตัววันนี้ แล้วทำไมเราจะเปิดตัววันนี้บ้างไม่ได้ล่ะ" ภาวินยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร. หาใครบางคน เสียงสัญญาณดังสามครั้งปลายสายก็กดรับ ชายหนุ่มจึงโพล่งความต้องการของตนออกไปทันทีโดยไม่มีการกล่าวทักทายคนปลายสาย
"ไอ้ปก มึงอยู่ไหน วันนี้มึงพาเด็กมึงมาบ้านกูหน่อยสิ กูต้องการนางแบบอย่างด่วนเลยเพื่อน"
ภาวินจำได้ว่าอลินดา ผู้หญิงที่ปกเกล้าเคยพาไปที่คลับตอนกินเลี้ยงวันเกิดของชินดนัยนั้นเป็นหญิงสาวที่สวยและมีเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบมากคนหนึ่ง โดยเฉพาะริมฝีปากรูปกระจับแสนเย้ายวน ปกเกล้าบอกเขาว่ามารดาของอลินดาเป็นเจ้าของสปาและสถานเสริมความงามชื่อดัง และอลินดาก็ถูกมารดาจับเป็นนางแบบให้กับร้านอยู่หลายครั้ง เขาจึงคิดว่าหากได้หญิงสาวมาเป็นนางแบบลิปสติกให้กับแบรนด์ของเขาชั่วคราวก็คงจะดีไม่น้อย
ทว่าคำตอบของปกเกล้าก็ดับฝันของเขาอย่างสิ้นเชิง
"กูอยู่บุรีรัมย์ ลินดาก็อยู่กับกูเนี่ยแหละ"
"อ้าว โธ่เอ๊ย! กูก็นึกว่ามึงอยู่กรุงเทพฯ"
ภาวินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความผิดหวัง เขาคุยกับเพื่อนรักอีกแค่ไม่กี่ประโยคก็กดวางสาย ก่อนจะมองหน้าบิดามารดาแล้วไหวไหล่อย่างจนปัญญา
"แฟนเจ้าปกสวยมากเลยหรือ" ภคินีถามอย่างสนใจ
"สวยครับ รูปหน้าน้องเขาสมบูรณ์แบบมาก ตอนแรกผมคิดจะให้น้องเขามาเป็นนางแบบให้เราชั่วคราว แค่ทาลิปสติกของเราแล้วถ่ายรูปอัปขึ้นเฟซบุ๊ก แค่นี้ก็เป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่แล้ว"
ภคินีพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ อย่างเห็นด้วย ทันใดนั้นก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
"ทำไมเรามัวแต่คิดถึงคนอื่นล่ะ ในเมื่อเรามีนางแบบที่ปากสวยอยู่ทั้งคน"
ภาวินหันไปสบตากับบิดาก่อนจะหันกลับมามองคนพูดแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
"ใครครับคุณแม่"
"หนูมะลิไง"
ชายหนุ่มเบิกตากว้างพลางพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
"มะลิน่ะหรือ เอ่อ...จะดีหรือครับคุณแม่"
"ทำไมจะไม่ดีล่ะ หนูมะลิก็หน้าตาน่ารักจะตายไป ถ้าถอดแว่นแล้วจับแต่งหน้าสักหน่อย แม่ว่าต้องสวยจนหนุ่ม ๆ มองเหลียวหลังแน่นอน เราน่ะมันคุ้นแต่พวกสาว ๆ ที่แต่งหน้าแต่งตัวจัดละสิถึงได้คิดว่าหนูมะลิไม่สวย"
ภคินีค้อนให้บุตรชาย ส่วนผู้เป็นบิดาอย่างพิทยาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แต่ภาวินกลับส่ายหน้าหวือ
"ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่ามะลิไม่สวย ที่ผมพูดว่าจะดีหรือคือหมายความว่าพ่อเขาหวงออกขนาดนั้น เขาจะยอมให้ลูกสาวมาเป็นแบบให้เราหรือครับ"
"นั่นน่ะสิแม่ คุณเบศร์เขาจะยอมให้หนูมะลิมาถ่ายแบบให้เราหรือ"
พิทยาเห็นด้วยกับบุตรชาย เพราะตนก็รู้มาเช่นกันว่านฤเบศร์กับมัญชุดานั้นเลี้ยงดูมัลลิการาวกับไข่ในหิน
"เรื่องแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ ก่อนอื่นแม่ว่าเราน่าจะลองคุยกับหนูมะลิดูก่อน ถ้าเจ้าตัวเขาตอบตกลง คุณพ่อจอมหวงเขาจะห้ามอะไรได้ล่ะ แต่ถ้าหนูมะลิไม่เอาก็ลองกล่อมหนูจันทร์แทนละกัน"
ภคินีเสนอตัวเลือกขึ้นมาอีกหนึ่งคน ซึ่งก็คือจันทร์เจ้าคนรักของชินดนัย ทว่าพอภาวินได้ยินชื่อนี้ก็ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยอีกเช่นเดิม
"รายนี้เลิกคิดไปได้เลยครับ ด้วยนิสัยของคุณจันทร์แล้วเนี่ยไม่มีทางทำอะไรที่จะให้ตัวเองเป็นที่รู้จักของคนอื่นแน่ อีกอย่างไอ้ชินมันก็หวงแฟนอย่างกับอะไรดี เพราะฉะนั้นตัดไปได้เลย"
"ถ้าหนูมะลิเขาไม่อยากเป็นก็ไม่ต้องบังคับเขา เราก็ถ่ายแต่ตัวสินค้าก็ได้ เอาขึ้นเปิดตัวในเพจก่อนแล้วค่อยให้ฝ่ายการตลาดเขาทำภาพสินค้าอย่างเป็นทางการมาอีกที" พิทยาสรุปทางออกสุดท้ายให้ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
"แม่จะไปคุยกับหนูมะลิสักหน่อย" พูดจบภคินีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ภาวินเห็นมารดาออกไปแล้วจึงเดินออกจากห้องทำงานบ้าง แต่ชายหนุ่มไม่ได้เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาเลือกยืนหลบอยู่ข้างผนังแล้วแอบฟังว่ามารดาจะพูดกับมัลลิกาอย่างไร
"หนูมะลิ ป้ามีเรื่องอยากจะขอร้องหนูสักหน่อยน่ะ หนูช่วยป้าได้ไหมลูก"
เขาเห็นมารดานั่งลงบนโซฟาตัวที่เขานั่งก่อนจะเดินเข้าไปประชุมในห้องทำงาน จากนั้นก็ท่านก็ยื่นมือไปวางบนแขนของหญิงสาวแล้วสาธยายถึงสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องมาขอร้องให้เธอเป็นนางแบบจำเป็นให้
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก