“ท่านเทพบอกว่ามิติโลกที่ฉันกำลังจะไปเกี่ยวกับพลังปราณพลังธาตุ เช่นนั้นฉันคงมีพลังไม่อ่อนด้อยใช่ไหมคะ”
“แน่นอน ในเมื่อเราส่งเจ้าไปเกิดจะมีพลังธรรมดาสามัญได้อย่างไร ที่สำคัญเราจะให้พรเจ้าไปด้วย” ท่านเทพพูดอย่างใจดี
“แล้วที่บอกว่าความชั่วร้ายกำลังกัดกินผืนแผ่นดิน กัดกินมิติคืออะไรคะ ใช่มารหรือปีศาจที่ฉันเคยอ่านเจอในนิยายหรือเปล่า”
ท่านเทพชะงักไปซึ่งหญิงสาวที่มองอยู่ตลอดจับสังเกตได้พอดี ดวงตากลมโตมองกดดันให้คนที่เป็นเทพตอบคำถาม
“เว่ยซือหงแม้เราจะส่งเจ้าไปเกิดก็ใช่ว่าจะบอกทุกอย่างแก่เจ้าได้”
“แค่ตอบมาว่าสิ่งเหนือธรรมชาติที่ฉันต้องไปรับมือด้วยเป็นอะไร มันไม่ได้ยากเลยไม่ใช่เหรอคะ หากท่านไม่บอกฉันก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร ไม่เคยได้ยินเหรอคะ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
เฮ้อ! ท่านเทพถอนหายใจพลางคิด นางช่างคิดอ่านรอบคอบโดยแท้ เอาเถอะ เช่นไร บอกไปก็มิได้มีอันใดเปลี่ยนแปลง คิดได้ดังนั้นท่านเทพจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“พวกมาร เจ้าจงระวังตัวให้ดี หากยังไม่แข็งแกร่งมากพออย่าได้สืบหาและต่อกรกับพวกมันเด็ดขาด เพราะครานี้ต่อให้เจ้าตายข้าก็ไม่อาจดึงดวงจิตของเจ้ากลับมาได้อีก พวกมารหากมันฆ่าใช่ฆ่าเพียงร่างกาย เเต่พวกมันจะดูดดึงจิตวิญญาณของเหยื่อแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานของพวกมันทันที แม้จะเป็นวิธีที่น่ารังเกียจแต่ก็ทำให้แกร่งขึ้นโดยไว ฉะนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
“ขอบคุณที่เตือนค่ะ” หญิงสาวตอบรับความห่วงใยของท่านเทพด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ ไปเกิดใหม่ยุคที่มีพลังเหนือธรรมชาติไม่พอ ยังต้องไปรับมือกับพวกมารอีก เฮ้อ เป็นเว่ยซือหงไม่ง่ายจริง ๆ
“จวนได้เวลาแล้ว เจ้าอยากได้อะไรรีบขอมา ข้าจะมอบพรให้เจ้า 3 ข้อ” ท่านเทพพูดขึ้นเพราะใกล้เวลาเกิดใหม่ของนางอีกครั้งแล้วจริง ๆ
หญิงสาวเร่งความคิดถึงพรที่ตนเองจะขอ ทุกข้อจะต้องจำเป็นและสำคัญ ขอเล่น ๆ ไม่ได้ เพราะมันหมายถึงชีวิตเล็ก ๆ ของเธอ
“ข้อแรกขอให้ฉันเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไปค่ะ ข้อสองขอให้ร่างกายต้านพิษได้ทุกชนิด ข้อสามขอให้ฉันโชคดีค่ะ”
เว่ยซือหงพูดออกไปหลังใช้วิจารณญาณในการเลือกดีแล้ว ข้อแรกที่เธอขอให้เรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป เพราะเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เธอจะทำไม่ได้หากได้เรียนรู้ และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความรู้นั่นเอง
ข้อสองขอให้ร่างกายต้านพิษ เพราะไม่รู้ว่าเธอต้องไปเกิดกับใคร สถานที่แบบไหน หลังบ้านเป็นอย่างไร ใครจะรู้เธออาจจะถูกวางยาเพราะความอิจฉาของสตรีในเรือนหลังเหมือนในนิยายและซีรีส์ที่เธออ่านและดูมาก็ได้! ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ ร่างกายต้านพิษนี่แหละจำเป็นสุด ๆ!
ส่วนข้อสุดท้าย อะไรมันจะดีไปกว่าขอให้ตนเองโชคดี คิดดูนะหากอยู่ในสถานการณ์คับขันและอันตราย ด้วยพรโชคดีอย่างไรเธอก็รอด เป็นไงเล่า สำคัญมากใช่หรือไม่
อาจสงสัยทำไมเธอไม่ขอพลังเทพ ๆ หรือขอให้พลังไม่มีวันหมด ยอมรับว่าลังเลอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เมื่อตรองคำพูดของท่านเทพที่บอกว่าเธอไม่มีพลังธรรมดาแน่นอนแล้ว เธอจึงตัดพรเรื่องของพลังไป เพราะถ้าเกิดขอมันจะซ้ำซ้อนกับสิ่งที่ท่านเทพจะมอบให้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าเธอขอพรนี้จะถือว่าขอพรได้ไร้ประโยชน์ยิ่ง ดังนั้นคนสวยและฉลาดอย่างเธอจึงตัดเรื่องพลังออกเป็นอันดับแรกทันที
ท่านเทพยังคงยิ้มอ่อนโยนเช่นเคยหลังฟังคำขอของหญิงสาวที่ตนเลือกให้ไปช่วยเหลือมิติที่ถึงคราวใกล้ล่มสลาย
“ตกลง พรที่เจ้าขอมาข้าจะประทานให้สัมฤทธิผล รวมถึงข้าจะมอบมิติพฤกษาสวรรค์ให้เจ้าด้วยเช่นกัน หากอยากเข้ามาก็ให้ตั้งจิตว่าเข้า จะออกก็ให้ตั้งจิตว่าออก มิตินี้เจ้าสามารถเข้ามาได้ทั้งกายหยาบและดวงจิต จงใช้ให้ดี”
ยังไม่ทันทำความเข้าใจว่ามิติพฤกษาสวรรค์คือสิ่งใดท่านเทพก็พูดต่อทันที
“อ้อ! ข้าจะมอบองค์ความรู้ขนาดใหญ่ให้กับเจ้าด้วยเช่นกัน ซึ่งมันจะอยู่ในมิติแห่งนี้ ไว้เจ้าค่อยมาสำรวจเอง สุดท้ายถือเป็นของขวัญสำคัญจากข้า ข้าขอมอบดวงเนตรสวรรค์ให้แก่เจ้า นับจากนี้ไปขอให้เจ้าใช้ชีวิตให้ดีตามแต่ใจเจ้าปรารถนาเถิดเว่ยซือหง”
จบคำท่านเทพลำแสงสีทองก็ลอยเข้ามาโอบล้อมดวงจิตของเว่ยซือหงไว้ ก่อนดวงจิตของเธอจะดูดกลืนลำแสงนั้นเข้ามาในตัวเองจนหมด หญิงสาวมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึง ก่อนที่ดวงจิตของเธอจะจางหายไปช้า ๆ
ท่านเทพยืนมองดวงจิตเว่ยซือหงจางหายไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนสะดุ้งเมื่อเสียงเรียกขานของเทพชะตาดังขึ้น
“นางไปแล้วหรือท่านมหาเทพ”
“นางไปแล้วท่านเทพชะตา ว่าแต่ชะตาของนางหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรท่านบอกเราได้หรือไม่”
“ตามที่ข้าเคยบอกไว้ครั้งก่อน จุติใหม่ครั้งนี้ข้าทำนายดวงชะตาของนางไม่ได้แล้ว ชะตาชีวิตของนางขึ้นอยู่ที่นางลิขิต”
“ท่านหมายถึงนางกลายเป็นสตรีเหนือชะตาเช่นนั้นหรือ”
“ใช่ ข้าหมายความตามนั้น ท่านมหาเทพมีอันใดหรือ”
ท่านเทพที่เว่ยซือหงเรียกหรือมหาเทพส่ายหน้าช้า ๆ พลางตอบ “ไม่มีอันใด ข้าแค่ไม่อยากนึกว่านางจะป่วนขนาดไหน เดิมทีชะตาลิขิตนางก็ป่วนอยู่แล้ว ครานี้อยู่เหนือชะตา เฮ้อ คงครึกครื้นน่าดู”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ท่านก็ชอบที่นางสดใสไม่ใช่หรือ”
“ชอบสิ นางเป็นธิดาของข้านี่ ไม่รู้ว่าจุติใหม่เพื่อหวนคืนครั้งนี้ ข้ามอบภาระหนักให้นางเกินไปหรือไม่” มหาเทพพูดออกมาอย่างกลัดกลุ้ม
เทพชะตายิ้มบางพลางกล่าว “อย่าห่วงเลย ท่านก็รู้ว่าชะตาของนางผูกติดอยู่กับท่านผู้นั้น นางไม่ได้รับอันตรายหรอก”
“เหอะ มหาเทพบรรพกาลจอมเย็นชานั่นน่ะหรือจะช่วยอันใดลูกข้าได้กัน”
“เพ้ย! ท่านอย่าพูดถึงท่านผู้นั้นเช่นนั้นสิ ประเดี๋ยวสวรรค์ก็พิโรธหรอก ทำใจเถอะน่า นางและเขาเป็นด้ายแดงของกันและกัน แม้ครั้งเป็นเทพไม่ได้เคียงคู่ สุดท้ายก็ต้องจุติเพื่อหวนคืนครองคู่กันชั่วนิรันดร์อยู่ดี ท่านปั้นปึ่งไปก็ขวางพวกเขาไม่ได้หรอก แม้ข้าจะบอกว่านางเป็นสตรีเหนือชะตา แต่นางหนีด้ายแดงตนเองไม่พ้นหรอกนะ หรือต่อให้นางอยากหนีท่านผู้นั้นก็ไม่ยอมอยู่ดี คิดดูเถิด จุติรอนางเป็นร้อย ๆ ปี รักมั่นปานนี้ ท่านยังจะทำใจคอคับแคบขัดขวางเขาอีกหรือ” เทพชะตาว่าให้พลางมองมหาเทพอย่างต่อว่า
ด้วยถูกขัดใจและได้ยินคำพูดไม่เข้าหู มหาเทพจึงหาเรื่องปลีกตัวทันที “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว ข้ากลับวังข้าดีกว่า ขอตัว”
“เพ้ย! อายุปานนี้ยังจะขี้น้อยใจอยู่อีก” เทพชะตาบ่นพึมพำก่อนส่องดูดวงจิตเว่ยซือหงที่ตอนนี้นอนสงบนิ่งรอถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ของสตรีผู้หนึ่ง รอยยิ้มยินดีและอ่อนโยนพลันปรากฏขึ้น
“แข็งแกร่งให้ไวและหวนคืนกลับมาเที่ยวเล่นกับพวกเราโดยเร็วนะ เทพธิดาน้อย ข้าขออวยพรให้ท่านโชคดี และเจอกับท่านผู้นั้นโดยเร็ว ท่านเทพธิดา”
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“