ในพิภพผู้ฝึกปราณ ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ดินแดน ได้แก่ ดินแดนเบื้องล่าง ดินแดนเบื้องบน และดินแดนเทพอันเป็นดินแดนในตำนานที่เหล่าผู้ฝึกปราณอยากไปเยือนให้ได้สักครั้ง
กล่าวถึงดินแดนเบื้องล่าง ถูกเรียกว่าทวีปนภาคราม แบ่งพื้นที่ปกครองเป็น 8 แคว้นย่อยด้วยระบบราชวงศ์ ได้แก่ แคว้นโจว แคว้นฉี แคว้นฮั่น แคว้นเป่ย แคว้นเซี่ย แคว้นหนาน แคว้นปิง และแคว้นสือ
โดยมีป่าบรรพกาลตั้งอยู่ระหว่างกลาง ล้อมรอบด้วยแคว้นทั้งแปด สิ่งที่กั้นอาณาเขตการแบ่งแคว้น หากไม่เป็นทางน้ำก็เป็นหุบเขา
นอกจากนี้ยังมี 4 สำนักใหญ่ที่เปิดสอนการฝึกปราณเป็นหลัก ได้แก่ สำนักพยัคฆ์ทมิฬ สำนักหงส์เพลิง สำนักมังกรดำ และสำนักหมื่นบุปผา
ทั้งนี้ยังมีหอเทพโอสถที่มีอำนาจเหนือราชวงศ์ ขึ้นตรงต่อดินแดนเบื้องบนเป็นหลัก เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางถ่วงดุลอำนาจของทวีปนภาคราม คอยสอดส่องดูแลปกครองอยู่เบื้องหลังราชวงศ์อีกที
ปัจจุบันพิภพผู้ฝึกปราณมีอายุมากกว่าพันปีแล้ว เดิมทีเป็นพิภพที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ทว่าราว 500 ปีก่อน ได้เกิดสงครามเทพ-มารขึ้น ทำให้ทั้งสามดินแดนได้รับผลกระทบ เส้นปราณวิญญาณอ่อนแอลง ทำให้ยากต่อการดูดซับเป็นอุปสรรคในการเลื่อนขั้นปราณ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยโอสถที่ช่วยในการเลื่อนขั้น รวมถึง สมุนไพรและหินปราณ ซึ่งยากที่จะประเมินมูลค่า
ทว่าปัญหาหลักจริง ๆ ที่จวบจนวันนี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้คือไอมาร ตั้งแต่สงครามเทพ-มารจบลงได้ไม่นาน ไอมารก็เริ่มระบาด จากที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็เข้าสู่ความแห้งแล้ง เพาะปลูกไม่ได้ พืชพรรณธัญญาหารหาได้ยาก ที่หาได้ล้วนมีราคาแพง มนุษย์เอาตัวรอดด้วยการหาของป่าประทังชีวิต
หลังถูกมนุษย์เหยียบย่ำรุกรานนานวันเข้า ป่าหรือภูเขาแต่ละแห่งก็ค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงไป สัตว์ป่ารวมทั้งสัตว์อสูรระดับต่ำที่เคยอยู่บริเวณรอบนอกทยอยพากันกลับเข้าไปอยู่ส่วนลึกใจกลางป่าเพื่อเอาชีวิตรอด มนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ได้ยากขึ้น
หากไม่ใช่ผู้ฝึกปราณระดับสูง ๆ ก็ยากที่จะหาอะไรดี ๆ ติดไม้ติดมือออกมาได้ ทั่งว่าผู้ฝึกปราณระดับสูงบางคนยังไม่คิดเอาชีวิตไปเสี่ยงที่ใจกลางป่ากลางดงอสูรเลยก็มี ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจึงแทบไม่มีหวัง ได้แต่หากินอยู่รอบนอกของชายป่า ทำได้แค่ขุดดินกินรากไม้ประทังชีวิตไปวัน ๆ
กล่าวว่าหากไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์หรือคนมีอำนาจจริง ๆ น้อยนักที่จะมีคนเข้าไปในป่าชั้นใน เพราะเข้าไปแล้วไม่รู้จะมีชีวิตรอดกลับออกมาอีกหรือไม่นั่นเอง
ในบรรดาแคว้นทั้งแปด แคว้นโจวนับได้ว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งโชคดีที่ตระกูลเว่ยตั้งตระกูลอยู่ที่แคว้นนี้นับตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลแม่ทัพที่มีประวัติยาวนานมานับร้อย ๆ ปี ทายาททุกคนของตระกูลเว่ยล้วนรับราชการทหารตามบรรพบุรุษทั้งสิ้น มีบ้างที่ประกอบอาชีพอื่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ นั่นคือการปกป้องแว่นแคว้นและประชาชนจากข้าศึกที่หวังมารุกรานแคว้นโจว รวมถึงศัตรูจากหมู่มารด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันเว่ยซือหลิวอดีตแม่ทัพใหญ่อายุ 50 ปี ดำรงตำแหน่งประมุขของตระกูลเว่ยหรือนายท่านใหญ่ โดยมีภรรยาคู่ใจเพียงหนึ่งเดียวนามหลินซือเหยาวัย 45 ปีปกครองเรือนหลัง เรียกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย
ทั้งคู่มีบุตรชายเป็นพยานรักที่ภาคภูมิใจอยู่หนึ่งคนนามเว่ยซือซาน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นโจวมีอายุได้ 28 ปีแล้ว
เว่ยซือซานมีภรรยารักอยู่หนึ่งคนนามว่าหลิวลี่หง อายุ 26 ปี ทั้งคู่มีบุตรชายสองคนเป็นพยานรักนาม เว่ยซือหลาง อายุ 10 ปี และเว่ยซือเหลียง อายุ 7 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังมีพยานรักอีกหนึ่งคนกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา
เสียงร้องเจ็บท้องคลอดของฮูหยินน้อยตระกูลเว่ย ทำคนในตระกูลแตกตื่นวุ่นวายไปหมด ทั่งเว่ยซือซานที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ยังว้าวุ่นควบคุมตนเองแทบไม่ได้ด้วยเป็นห่วงภรรยารัก ทั้ง ๆ ที่นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่ภรรยาคลอดแต่แม่ทัพหนุ่มยังไม่ชินเสียที
ในขณะที่จวนตระกูลเว่ยกำลังอยู่ในความวุ่นวาย ด้านนอกเองก็อยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริดด้วยเช่นกัน ด้วยวันนี้เป็นวันเทศกาลหยวนเซียว ราตรีกาลที่ควรมืดมิดกลับมีแสงสีทองของจันทราทอประกายสว่างไสว สองข้างทางริมถนนถูกประดับประดาด้วยโคมไฟกระดาษ ผู้คนคลาคล่ำเดินขวักไขว่เที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียวที่หนึ่งปีจะมีสักครั้ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความชื่นมื่น
ทว่ายิ่งนานยิ่งสว่างไสว
ดวงจันทรากลมเด่นเป็นสง่าลอยเคลื่อนตั้งตระหง่านกลางท้องนภา สาดแสงสีทองสว่างไสวนับเป็นนิมิตหมายอันดี ผู้คนที่ออกมาเดินชมเทศกาลหยวนเซียวต่างมองปรากฏการณ์นี้ด้วยความแปลกใจ เพราะปีที่ผ่าน ๆ มาไม่เคยมีปีไหนที่ดวงจันทร์จะกลมโตและทอแสงสว่างเพียงนี้
ก่อนเปลี่ยนสายตาแปลกใจเป็นตื่นตะลึง เมื่อเวลาผ่านมาถึงค่อนคืน ดวงจันทรายังคงสาดแสงสีทองอยู่กลางฟากฟ้า สว่างไสวราวกับรุ่งอุษาสาด ตามมาด้วยกลีบบุปผาที่โปรยลงมาจากเบื้องบน เหล่าสรรพสัตว์ต่างร่ำร้องแซ่ซ้องยินดี หันหน้ามาทางที่ตั้งทิศของเมืองหลวงแคว้นโจวแล้วหมอบกราบราวกับพบเจอผู้ยิ่งใหญ่
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไปทั่วแคว้น สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้คนหมู่มาก บ้างถึงกับคำนับหมอบกราบเพราะคิดว่านี่เป็นคำอวยพรจากสวรรค์ เหล่าโหรหลวงคู่แคว้นเร่งทำนายดวงชะตาเมือง เพื่อถวายคำตอบแด่องค์เหนือหัวเป็นการใหญ่
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“