ฉันนั่งอยู่บนเตียงในห้องพักที่เงียบสงบ สายตาของฉันจับจ้องไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งในมือ มันคือกฎระเบียบของโรงเรียนเซนต์เอมิลี่ ซึ่งฉันได้รับมาเมื่อตอนเข้ามาใหม่ ฉันควรจะอ่านมันตั้งแต่วันแรก แต่ด้วยเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ฉันกลับลืมไปเสียสนิท กระดาษแผ่นนี้เหมือนเป็นเตือนความจำของสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ
ฉันค่อยๆ พลิกกระดาษไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าสุดท้าย สายตาของฉันก็สะดุดกับกฎข้อที่ 10 ที่ถูกเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือสีเข้มกว่าปกติ ฉันรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นทันทีเมื่ออ่านมัน
กฎข้อที่ 10: ห้ามมิให้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เกินขอบเขตของความเป็นครูและนักเรียน หากพบว่ามีการกระทำเช่นนี้ จะมีการสอบสวนและลงโทษอย่างเคร่งครัดทั้งครูและนักเรียนที่เกี่ยวข้อง
ฉันอ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ใจของฉันเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับครูพีท ความสัมพันธ์ของเรานั้นข้ามเส้นที่ถูกเขียนไว้ในกฎระเบียบนี้อย่างชัดเจน และฉันก็รู้ดีว่าถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ ผลที่ตามมาอาจจะไม่ดีเลย
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นซาร่า เพื่อนร่วมห้องของฉันเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง เธอเพิ่งกลับจากห้องสมุด ดูมีความสุขกับหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งยืมมา ซาร่าเป็นคนที่ร่าเริงเสมอ และฉันรู้สึกดีที่มีเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนร่วมห้อง
“เธอกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?” ซาร่าถามพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะข้างเตียงของเธอ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสนใจและความอบอุ่นตามแบบฉบับของเธอ
“ฉันกำลังอ่านกฎระเบียบของโรงเรียนอยู่”
“กฎระเบียบ? โอ้ พระเจ้า น่าเบื่อแย่เลย!” ซาร่าหัวเราะออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฉันที่ดูไม่ค่อยดีนัก เธอก็หยุดหัวเราะและถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเคร่งเครียดจัง?”
“กฎข้อ 10 เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน...”
“อ้อ เรื่องนั้น” ซาร่าพูดเสียงเบาลงทันที
“โรงเรียนนี้เข้มงวดมากเรื่องพวกนี้ พวกเขากลัวว่าถ้าครูและนักเรียนมีความสัมพันธ์ที่เกินขอบเขต มันจะทำให้สภาพแวดล้อมการเรียนเสียหายได้ง่าย”
“ซาร่า... เคยมีเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับกฎข้อนี้มาก่อนไหม?” ฉันอยากรู้
ซาร่าทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “จริงๆ แล้วก็มีนะ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณสองปีก่อน เหมือนว่าเคยมีนักเรียนคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนที่นี่ แล้วเธอก็มีความสัมพันธ์กับครูของเธอ”
หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
ซาร่าถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “นักเรียนคนนั้นชื่อเอมิลี่ เธอเป็นนักเรียนที่เก่งมาก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไปตกหลุมรักครูคนหนึ่งที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ทั้งสองคนเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีคนในโรงเรียนเริ่มสงสัย”
“พวกเขาถูกจับได้เหรอ?” ฉันถามด้วยความกังวล รู้สึกว่าหัวใจของฉันหนักอึ้ง
“ใช่” ซาร่าพยักหน้า
“มีคนเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันนอกเวลาเรียน แล้วเรื่องก็มาถึงหูผู้บริหารโรงเรียน พวกเขาถูกเรียกไปสอบสวน ครูคนนั้นถูกไล่ออกทันที ส่วนเอมิลี่ก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเหมือนกัน เธอต้องย้ายไปเรียนที่อื่น เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่มีใครลืมได้เลย”
“อย่ากังวลมากไปเลยนะลิลลี่ แค่ทำตามกฎระเบียบทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหาอะไร” ซาร่ายิ้มให้ฉันอย่างอบอุ่น
‘ขอโทษ ฉันฝ่าฝืนระเบียบไปแล้วล่ะ’ ฉันได้แต่คิดในใจ
ซาร่าเห็นฉันเงียบไปนานก็เริ่มหันเหความสนใจไปที่หนังสือเล่มใหม่ของเธอ ซึ่งเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอเพิ่งยืมมาจากห้องสมุด เธอเริ่มเล่าเรื่องราวในหนังสือให้ฉันฟังด้วยความตื่นเต้น
ฉันพยายามฟังเธอ แต่หัวใจของฉันกลับล่องลอยไปกับความคิดเกี่ยวกับครูพีทและความสัมพันธ์ที่เสี่ยงจะถูกเปิดเผย ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นเล็กๆ ที่พร้อมจะขาดลงได้ทุกเมื่อ ความสัมพันธ์ของเรามันเป็นเหมือนเปลวไฟที่สวยงามและร้อนแรง แต่ก็พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
“ลิลลี่ เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า? ทำไมดูเหม่อลอยจัง?” ซาร่าถามขึ้นหลังจากเห็นฉันไม่ได้ตอบสนองต่อเรื่องราวที่เธอเล่า
“ไม่มีอะไรหรอก ซาร่า” ฉันตอบพลางยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่น “ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“ถ้าเธอมีอะไรก็บอกฉันนะ” ซาร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นห่วง
“อื้ม” ฉันพยักหน้า แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถบอกความจริงกับเธอได้ ความลับของฉันและครูพีท
เสียงกระดิ่งบอกเวลาเริ่มคาบเรียนดังขึ้น ทุกคนในห้องเรียนต่างรีบเปิดหนังสือและเตรียมอุปกรณ์เพื่อเริ่มเรียน ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ใจของฉันเต้นแรงเมื่อเห็นครูพีทเดินเข้ามาในห้อง เขาดูสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง แต่ฉันรู้ดีว่าเบื้องหลังท่าทีที่นิ่งสงบนี้มีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่
ครูพีทเริ่มสอนบทเรียนด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง เขาอธิบายเนื้อหาด้วยความชัดเจนและน่าสนใจ ทุกคนในห้องต่างตั้งใจฟัง แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนว่าเสียงของเขากำลังดังก้องอยู่ในใจฉันมากกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะที่เขาสอน ฉันพยายามจดบันทึกและทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่เขาพูด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองถูกสายตาของเขาจับจ้องอยู่เป็นระยะ ๆ
ทุกครั้งที่เขามองมาทางฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าในห้องเรียนนี้มีเพียงเราสองคนเท่านั้น
“ลิลลี่” เสียงของครูพีทเรียกชื่อฉัน ขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของฉัน
“ค่ะ ครู?” หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาเข้ามาใกล้จนฉันสามารถรับรู้ถึงความอบอุ่นจากตัวเขาได้
“เธอเข้าใจเนื้อหาที่ฉันอธิบายหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้มงวด ดวงตาคมกริบจ้องมองฉันราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์จ้องมองเหยื่อ
“เอ่อ...ค่ะ...แต่บางส่วนหนูก็...ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ”
ฉันตอบออกไปอย่างสั่นไหว รู้สึกว่าตัวเองเริ่มพูดติดขัดเพราะความใกล้ชิดของเขา
“ดูเหมือนเธอไม่เข้าใจนะ” ครูพีทยิ้มเล็กน้อย เมื่อก้มลงมองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะของฉัน
“ฉันจะอธิบายอีกครั้งนะ”
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น ร่างกายของเขาเกือบจะแนบชิดกับฉัน ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่อยู่ใกล้ข้างแก้มของฉัน ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งห้องเรียนกำลังหมุนไปรอบ ๆ เราสองคน
ขณะที่เขาอธิบายเนื้อหาอย่างละเอียด มือของเขาก็เคลื่อนมาใกล้กับมือของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะ ฉันรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ไม่สามารถต้านทานได้ ความคิดที่จะขยับตัวหนีหายไปทันทีเมื่อสัมผัสของเขาแตะเข้ากับมือของฉันอย่างแผ่วเบา
“เนื้อหานี้ค่อนข้างซับซ้อน เธอควรตั้งใจให้มากนะ” เขาพูดเบา ๆ ขณะที่ยังคงโน้มตัวอยู่ใกล้ ๆ
“ค่ะ... หนูจะพยายาม” ฉันตอบกลับด้วยเสียงที่แทบจะกระซิบ หัวใจของฉันเต้นแรงจนรู้สึกว่ามันจะหลุดออกมาจากอก ความตึงเครียดและความตื่นเต้นที่ปะปนกันอยู่ในใจทำให้ฉันรู้สึกสับสน
ครูพีทยังคงอธิบายเนื้อหาให้ฉันฟัง แต่ในขณะเดียวกัน การสัมผัสของเขาที่แตะกับมือของฉันก็ยังคงอยู่ ความอบอุ่นจากมือของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันกำลังถูกล้อมรอบด้วยความปรารถนา ตอนนี้ในหัวสมองฉันไม่มีเนื้อหาที่เขาสอนเลยสักนิด
“ลิลลี่”
“คะ!” ฉันสะดุ้ง
“ดูเหมือนเธอมีปัญหากับการเรียนวันนี้นะ” ครูพีทถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่าย แต่แววตาที่เขามองฉันกลับเป็นประกายและเต็มไปด้วยความปรารถนา
“หลังเลิกเรียนมาที่ห้องพักครูด้วย” ครูพีทยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสอนนักเรียนคนอื่นต่อ
หัวใจฉันเต้นแรง ฉันรู้ความหมายของคำพูดนั้นดี ครูพีทมักสอนบทเรียนหลังเลิกเรียนให้ฉันแทบทุกวัน ร่างกายของฉันถูกครูพีทสัมผัสแทบทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก พวงแก้ม ซอกคอ เนินอก หน้าท้อง ต้นขา ขาอ่อน หรือแม้แต่...
ฉันเผลอยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย เพียงแค่คิดใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวไปหมด
หลังจากเสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนคนอื่นๆ ทยอยกันออกจากห้องเรียนไปทีละคน ขณะที่ฉันยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ รวบรวมความกล้าที่กำลังสั่นไหวในใจ ฉันรู้ว่าการไปหาครูพีทที่ห้องพักครูหลังเลิกเรียนอย่างไร แต่ก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกตื่นเต้นได้
“ลิลลี่ วันนี้ไปร้านคาเฟ่กัน ได้ข่าวว่ามีร้านเปิดใหม่ล่ะ” ซาร่าชวนฉันขณะที่กำลังเก็บของลงกระเป๋า
“ขอโทษนะ...ฉันมีเรียนเสริมน่ะ..” ฉันตอบพร้อมกับค่อยๆ เก็บของ
“ห๊ะ? ครูพีทเหรอ?”
“อื้อ”
“ทำไมครูเข้มงวดกับเธอจัง” ซาร่าเอียงคอมองด้วยความสงสัย
“ฉันเรียนแล้วไม่ค่อยเข้าใจน่ะ” ฉันยิ้มแหย
ซาร่าทำหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อ “ใช่เหรอ? ฉันว่าเธอเก่งนะ อ๋อ ฉันรู้แล้ว”
“สงสัยครูอยากได้เธอไปร่วมแข่งขันการประกวดเขียนบทวรรณกรรมระหว่างโรงเรียนของปีนี้แน่เลย” ซาร่ายิ้มร่า
“แข่งขัน?” ฉันเลิกคิ้วงุนงง เพราะเพิ่งเคยได้ยิน
“ช่ายย ถ้างั้นสู้ๆ นะ ส่วนร้านคาเฟ่ วันหยุดเราค่อยไปกัน” ซาร่ายิ้มให้ฉัน
“อะ...อื้อ” ฉันพยักหน้ารับ
“เจอกันที่ห้องนะ” ซาร่าโบกมือให้ฉันแล้วเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างร่าเริง
เมื่อห้องเรียนว่างเปล่า ฉันจึงลุกขึ้นและเดินไปยังห้องพักครู ความรู้สึกทั้งหลายปะปนกันจนทำให้ฉันรู้สึกหนักอึ้งในอก ทั้งตื่นเต้น กังวล และคาดหวัง ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความมั่นใจขณะเดินไปถึงหน้าประตูห้องพักครู
ฉันเคาะประตูเบาๆ และทันทีที่ได้ยินเสียงจากภายใน ฉันเปิดประตูเข้าไปเห็นครูพีทนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขามองขึ้นมาเจอฉัน และฉันรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่เหมือนมีบางสิ่งเชื่อมโยงเราไว้
“เข้ามาสิ ลิลลี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ฉันปิดประตูและเดินเข้าไปหาเขา หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบจะได้ยิน
“หนูมาแล้วค่ะครู” ฉันพูดเสียงเบา ยิ้มบางๆ แม้จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นน้อยๆ จากความตื่นเต้น
ครูพีทยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปที่กองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ
“นี่คือเอกสารเกี่ยวกับบทเรียนวรรณคดีที่ฉันอยากให้เธอช่วยจัดเรียงและจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับชั่วโมงเรียนวันพรุ่งนี้”
ฉันพยักหน้าและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะ ทำงานตามที่เขาบอก ขณะที่มือของฉันจัดเรียงเอกสาร ความคิดของฉันกลับล่องลอยไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ความใกล้ชิด ความลับที่เราต่างเก็บซ่อน และความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจ
หลังจากทำงานไปได้สักพัก ฉันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของครูพีท เขาลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้ฉัน ฉันหยุดมือและเงยหน้าขึ้นมองเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าฉัน สายตาของเขามองฉันด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งและยากจะตีความ
“ลิลลี่...” เสียงของเขาเบาและลึกซึ้ง ราวกับว่าเขากำลังจะบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญ
“เธอรู้ไหมว่าการศึกษาบทกวีและวรรณคดีนั้น ไม่ใช่แค่การเข้าใจคำพูด แต่เป็นการเข้าใจความรู้สึกด้วย”
ฉันมองเขาอย่างสงสัย แต่ก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจในคำพูดของเขา “ค่ะ... หนูเข้าใจว่าบทกวีมันสะท้อนความรู้สึกที่ลึกซึ้ง”
ครูพีทยิ้มเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวลงใกล้ฉัน ความใกล้ชิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่ง ลมหายใจของฉันติดขัดและหัวใจเต้นรัว เขายื่นมือมาสัมผัสที่แก้มของฉันเบาๆ ทำให้ฉันรู้สึกถึงร้อนวูบวาบที่เกิดขึ้นในร่างกาย
“บางครั้ง ความรู้สึกที่ลึกซึ้งนั้นต้องการการสื่อสารด้วยวิธีอื่น” เขากระซิบเบาๆ ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะเข้ามาใกล้จนฉันสามารถรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่แตะผิวของฉัน
ฉันรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หยุดนิ่ง ริมฝีปากของครูพีทแตะที่ริมฝีปากของฉันอย่างนุ่มนวล ก่อนจะตวัดปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากของฉัน และลิ้มรสความหวานจนฉันเริ่มหายใจไม่ทัน
“ครูคะ...”
“บทเรียนวันนี้....อาจจะทรมานหน่อยนะ”
ครูพีทกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของฉัน
“อื๊อ..ครูคะ..”
เขาจูบฉันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง พร้อมกับดึงเนคไทออกจากคอเสื้อของเขา และใช้มันผูกรวบข้อมือของฉันทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ และดันตัวของฉันให้พิงกับพนักเก้าอี้
เขาจรดริมฝีปากไล่ไปตามลำคอ พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อของฉันออกจนมองเห็นบราเซียร์ลูกไม้สีชมพู เนินอกขาวกำลังยั่วให้เขาสัมผัส ลมหายใจอุ่นของเขาที่รดตามผิวกายของฉันทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน ความปรารถนาบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกปลุกเร้าขึ้นภายในตัวของฉัน
“ฉันยังไม่...หรอกนะ”
ครูพีทกระซิบเสียงกระเส่า มือของเขาสอดนิ้วเข้ามาใต้บรา และคลำจุดอ่อนไหวของฉัน
“อ๊ะ...” ฉันกัดริมฝีปากแน่นพยายามไม่ให้เสียงครางหลุดรอดออกมา
ครูพีทไม่ได้ถอดบราเซียร์ของฉันออก เพียงแต่รั้งดึงลง เพื่อหลีกทางให้ยอดอกทั้งสองเผยสู่สายตา เขาใช้ริมฝีปากเจ้าเล่ห์พรมจูบเรื่อยไปจนถึงตำแหน่งที่ตั้งชันสะดุดสายตา เขาพ่นลมหายใจรินรดยอดรวมเส้นประสาทคล้ายกับต้องการกลั่นแกล้ง ก่อนจะตวัดเรียวลิ้นร้ายกาจปลุกเร้าทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียม
“อี๊อ...” ฉันรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก ทั้งเสียวและทรมานในเวลาเดียวกัน ครูพีทช้อนสายตาขึ้นมองปฏิกิริยาบนใบหน้าของฉัน เขายกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ
“ไหวมั้ย...”
“ครูคะ...หนู..อ๊า..”
ครูพีทกระซิบพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนต่ำไต่ลงไปตามต้นขาและล้วงเข้าไประหว่างเรียวขาที่แยกออกจากกันอัตโนมัติ เขาจู่โจมจุดอ่อนไหวสุดที่เบื้องล่าง ฉันกัดริมฝีปากแน่นความปรารถนาล้นปรี่
“อ๊า..ครู..” ฉันสะดุ้งเมื่อเขาแตะโดนตำแหน่งสำคัญ พร้อมกับแอ่นร่างกายแนบชิดกับเขาโดยที่มือของฉันยังโดนพันธนาการอยู่
“ว่าไง..ลิลลี่” ครูพีทยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทะ..ทรมานค่ะ...” ฉันอยากหนีจากตรงนี้ แต่ร่างกายของฉันกลับทำตรงกันข้าม ทั้งแอ่นอกให้เขาลิ้มรสอย่างเต็มที่ หรือจะเป็นปลายนิ้วของเขาขยี้จุดกระสันจนฉันแทบทนไม่ไหว ฉันไม่คิดเลยว่า แค่นิ้วของเขาก็สามารถทำให้ฉันเป็นได้ถึงขนาดนี้
“พร้อมรึยัง?” ครูเจ้าเสน่ห์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักมือขยี้จุดอ่อนไหวของฉันให้มากขึ้น
“อ๊า...”
ฉันครางออกมา ท้องน้อยของฉันรู้สึกเกร็งวูบ ยิ่งเขาเพิ่มน้ำหนักตามเสียงครางของฉัน ความเสียวซ่านก็เพิ่มขึ้นจนสมองขาวโพลนไปหมด มือทั้งสองข้างที่โดนพันธนาการกำแน่น แต่ฉันไม่ร้องขอให้เขาหยุด แถมยังเคลื่อนเอวเข้าหาเขาด้วยซ้ำ เสียงหอบหายใจปะปนเสียงครางของฉัน จนกระทั่งในที่สุดฉันเกร็งไปทั้งตัว กล้ามเนื้อขาด้านในกระตุกสั่นระริก ช่างเป็นความทรมานที่ยาวนานที่สุดที่ฉันเคยเจอ
“หึหึ เด็กดีของฉัน น่ารักเสียจริง” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากปากของครูเจ้าเสน่ห์ ก่อนภาพจะตัดไป
ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูใจกลางลอนดอนเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการ บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันอบอุ่นของผู้คนที่แต่งกายอย่างสง่างาม ผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบหรูตัดกับแสงไฟระยิบระยับ พ่อเฮนรี่และพ่อของครูพีทยืนอยู่ด้านหน้าเวที ทั้งสองทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงออร์เคสตราที่มุมห้อง เพิ่มความหรูหราให้กับบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกที่มาร่วมงานล้วนแต่งกายงดงามในชุดทางการ ผู้หญิงในชุดราตรียาวสวยหรู ส่วนผู้ชายในสูทตัดเย็บอย่างประณีตฉันยืนอยู่ด้านหลังม่านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่า สวมชุดราตรีสีขาวงาช้างที่ออกแบบมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ ผ้าซาตินเนื้อดีจับเดรปอย่างประณีต โอบรับช่วงเอวให้ดูคอด ก่อนชายกระโปรงจะบานออกเล็กน้อยอย่างอ่อนช้อย ผมยาวของฉันถูกเกล้าเป็นมวยต่ำ ประดับด้วยไข่มุกเล็กๆ ที่จัดวางอย่างละเมียดละไม ต่างหูเพชรระยิบระยับที่แม่เลือกให้อย่างพิถีพิถัน ยิ่งช่วยขับความงดงามของลุคนี้ให้สมบูรณ์แบบฉันสูดลมหายใจลึก พยายามสงบจิตใจขณะเสียงพูดคุยจากห้องจัดเลี้ยงดังแว่วเข้ามาเสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบาๆ ของแขก
“พี่พีท!!”เสียงอุทานของลิลลี่ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าทั้งงุนงงและไม่เชื่อสายตาของเธอ“ว่าไงครับ?คู่หมั้นของผม” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางส่งยิ้มให้เธอ“ทะ...ทำไม?” ลิลลี่ยังคงอึ้งจนแทบพูดไม่ออก คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยปรากฏชัดในสายตาของเธอ“ยังจะปฏิเสธผมอีกมั้ย?” ผมถามยั่วเย้า รอยยิ้มของผมยิ่งกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านของเธอผมยื่นมือขึ้น ลูบแก้มเธอเบาๆ ราวกับต้องการย้ำเตือนให้เธอรู้ว่านี่คือความจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของเธอ ความคิดถึงที่เก็บสะสมมานานพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผมแทบระงับไว้ไม่อยู่“คิดถึงจะแย่แล้ว เธอล่ะ คิดถึงฉันมั้ย?”“คือ...หนู...งงไปหมดแล้ว...” ลิลลี่ยังคงมึนงง เธอพึมพำเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น“หนูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ?” ดวงตาคู่สวยจ้องมองผมด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวเล็กเอื้อมมาสัมผัสที่ตัวผมเบาๆ ราวกับต้องการพิสูจน์ผมยิ้มอ่อนให้เธอ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ กดจูบลงบนริมฝีปากบางของเธอด้วยความอ่อนโยน ความคิดถึงทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านจูบนั้นริมฝีปากของเราส
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกบังคับให้พบกับว่าที่คู่หมั้น และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขัดจังหวะความคิดในหัว ก่อนที่แม่บ้านจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมสาวใช้ประจำตัวของฉันที่เดินตามหลัง“คุณหนูคะ คุณหญิงสั่งให้เราเตรียมตัวให้คุณดูดีที่สุดค่ะ” แม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความนอบน้อม“ดูดีที่สุด?” ฉันทวนคำในใจอย่างขมขื่น ราวกับคำสั่งนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน“วันนี้คุณหญิงบอกว่ามีแขกคนสำคัญจะมาเยี่ยมค่ะ”สาวใช้พูดเสริม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และหยิบชุดเดรสผ้าซาตินสีขาวออกมาชุดที่พวกเธอเลือกเป็นเดรสที่ดูเรียบหรู ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีเงินที่เข้ากัน ทุกอย่างดูงดงามและเหมาะสมเกินกว่าจะปฏิเสธพวกเธอช่วยฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เส้นผมยาวสลวยถูกจัดเป็นลอนคลายอย่างอ่อนหวาน และเกล้าครึ่งศีรษะอย่างประณีต ใบหน้าของฉันได้รับการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ชีวิตฉันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในฝันที่ทั้งสวยงามและวุ่นวายไปพร้อมกัน หลังจากได้รับรางวัลนักเขียนบทวรรณคดีดีเด่น งานเขียนและโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฉันพยายามจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองและแสดงให้แม่เห็นว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือการติดต่อกับครูพีท เรายังคงแลกเปลี่ยนข้อความและวิดีโอคอลกันเสมอ ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าหรือรู้สึกท้อแท้ คำพูดที่แสนอบอุ่นของเขาก็เหมือนแรงผลักดันที่ช่วยให้ฉันยืนหยัดต่อไปแต่แล้ววันที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็มาถึง...เย็นวันศุกร์ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฉันเพิ่งกลับมาจากงานสัมมนาวรรณกรรม ใบหน้าฉันยังคงประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จากคำชื่นชมที่ได้รับในวันนี้ แต่เมื่อฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไป ฉันต้องชะงัก“แม่?” ฉันเรียกด้วยความประหลาดใจ“แม่มาได้ไงคะ?”“ลิลลี่ ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” แม่พูดเสียงนิ่ง แต่หนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากห้องพักไป ทิ้งฉันไว้กับความงุนงง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไปไม่นานนัก แม่ก็พาฉันมาถึงบ้านของพ่อเฮนรี่ บ้านหล
ทันทีที่ฉันเปิดประตู ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของฉัน“พี่พีท!!”เสียงของฉันแทบจะหลุดเป็นเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจและดีใจสุดขีด ราวกับว่าเวลาในตอนนั้นหยุดนิ่ง มีเพียงสายตาของเราที่สบกัน และหัวใจของฉันที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาครูพีทโน้มตัวลงมาจูบฉันอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากร้อนทาบลงอย่างแนบแน่น มือใหญ่ประคองใบหน้าฉันไว้มั่น ก่อนจะดันตัวฉันเข้ามาในห้องพร้อมปิดและล็อคประตูเขาดันฉันไปชิดกับผนัง ริมฝีปากกดจูบอย่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความปรารถนา ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ไล่ต้อนและดูดดุนลิ้นของฉันอย่างลึกซึ้ง จนหัวใจฉันเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะมือของเขาสอดเข้ามาใต้เสื้อของฉัน ปลดตะขอบราออกด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือเลื่อนขึ้นมาสัมผัสอกอวบอิ่ม คลึงเบา ๆ จนยอดถันชูชันตอบรับต่อสัมผัสอันร้อนแรง“อื้ม..”ฉันครางเบา ๆ ในลำคอ ความเสียวซ่านพุ่งผ่านทุกอณูเมื่อปลายนิ้วของเขาบีบคลึงยอดถันกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านฉันดึงเสื้อของเขาออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว มือบางลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามของเขา เราสบตากันชั่วครู่ก่อนริมฝีปากจะประกบกันอีกครั้ง จูบกันอย่างดูดดื่ม ราวกับไม่มีสิ่งใดในโ
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางลอนดอน ผู้คนในชุดทางการต่างลุกขึ้นยืนปรบมือแสดงความยินดี ฉันยืนอยู่บนเวทีด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งถือรางวัล “นักเขียนบทวรรณคดีดีเด่นแห่งปี” ส่วนอีกข้างยกขึ้นโบกมือให้กับผู้คนที่มาร่วมงานฉันไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตในวัยเพียง 19 ปี จะพาฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้อ่านและนักวิจารณ์ นิตยสารชื่อดังต่างพูดถึงฉันในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในเจเนอเรชันเดียวกันหลังจากการมอบรางวัลสิ้นสุดลง ฉันเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้ม ทีมงานของผู้จัดงานพาฉันไปยังห้องรับรองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างเดิน ฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติและเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในใจของฉันกลับรู้สึกสงบนิ่ง พร้อมที่จะเล่าถึงเส้นทางที่พาฉันมาถึงจุดนี้“คุณลิลลี่ อลิสา วัฒนชัย” มิเชล ผู้สัมภาษณ์คนแรกจาก The London Chronicle สำนักข่าววรรณกรรมชื่อดังแห่งลอนดอนกล่าวขึ้น ขณะนั่งลงตรงข้ามฉันในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหรา“คุณกลายเป็นบุคค