ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดี
และถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตามความจริงอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้ต้องสงสัยได้
อะไรก็ไม่น่าสลดใจเท่ากับว่าเสียงที่เธอได้ยินนั้น ไม่ใช่เสียงของคนกำลังประกอบกามกิจกัน แต่น่าจะเป็นเสียงดิ้นรนขอความช่วยเหลือจนเฮือกสุดท้ายมากกว่า นั่นก็แปลว่าตอนที่เธอได้ยินเสียงครั้งแรก ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตาย ซึ่งหากเธอรู้สักนิดว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะช่วยเหลือผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นได้ทันเวลา
ประตูห้องส่วนตัวของท่านประธานเปิดพรวดออกมาจนช่อมาลีสะดุ้งเฮือก เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วก็อยากถามเหลือเกินว่าเรื่องเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากสถานะตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถซักถามอะไรเขาได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบ เหลือบมองคนที่เดินงุ่นง่านไปมาด้วยความร้อนรนจนกระทั่งเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า
“คุณช่อมาลี เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกคงไม่เข้ามาแล้วล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรคุณโทร. หาคุณมุกได้นะ ผมจะแจ้งเขาไว้ว่าผมรับคุณเข้าทำงานแล้ว”
เขาพูดจบก็พรวดพราดเดินออกจากห้องไป ทิ้งเลขาฯ คนใหม่ไว้ในห้องเพียงลำพัง โดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และความอยากรู้เต็มเปี่ยมของเธอมองตามหลัง
“ไม่ได้การแล้ว ต้องโทร. ไปเล่าให้คริสฟัง”
หญิงสาวกดโทรศัพท์หาเพื่อนในวง เล่าเรื่องที่ตนบังเอิญได้งานใหม่เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของพชร นำมาซึ่งความแปลกใจในทฤษฎีโลกกลมอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งมาถึงเรื่องเมื่อครู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้มีคนพบศพแล้วถึงได้มีคนโทร. ตามให้พชรไปที่คลับโดยด่วน
ร่างสูงโปร่งของพชรก้าวลงจากรถด้วยความร้อนรน เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในอาคารทันที ไฟตรงทางเดินถูกเปิดไว้สว่างไสว รวมกับไฟจากสปอร์ตไลต์อันใหญ่ที่ภีมพลสั่งให้คนมาวางตั้งไว้เพื่ออำนวยความสะดวกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาเก็บหลักฐาน งานนี้โชคดีที่ตำรวจในท้องที่ที่เข้ามาจัดการทำคดีเป็นญาติสนิทกับภีมพล เขาจึงสามารถปิดข่าวไม่ให้ล่วงรู้ถึงหูนักข่าวทั้งหลายได้
“สวัสดีครับพี่พล” พชรยกมือไหว้นายตำรวจที่ยืนอยู่ข้างภีมพล ก่อนจะหันไปหาเพื่อนรัก
“ตกลงเป็นน้องออยจริง ๆ หรือวะ”
ชายหนุ่มพูดกับภีมพล อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้แทนคำตอบ ภีมพลชวนพชรกับจุมพลให้ขึ้นไปคุยกันบนออฟฟิศ ทั้งสามคนจึงพากันเดินขึ้นบันไดไป และปิดประตูห้องคุยกันอยู่ในนั้น
“เห็นไอ้ภีมมันบอกว่าเมื่อคืนแกอยู่กับน้องคนที่ตายเมื่อคืนนี้ใช่ไหม”
ร้อยตำรวจเอกจุมพลเปิดปากสอบถามเพื่อนสนิทของลูกพี่ลูกน้องทันที เขาไม่ได้สงสัยพชร เพียงแต่เขาต้องรู้เรื่องทุกอย่างว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม
“ครับ! ผมสนุกกับเธอประมาณสองชั่วโมงได้...ที่ห้องนี้นี่แหละ เสร็จแล้วเธอก็แต่งตัวเดินออกจากห้องไปเอง ส่วนผมก็ขับรถกลับบ้านเพราะน้องเขาบอกว่าจะอยู่สนุกกับเพื่อนจนถึงเวลาผับปิด” พชรตอบไปตามความจริง
“มีใครรู้เรื่องที่เธอขึ้นมาเล่นจ้ำจี้กับแกบนนี้รึเปล่า” สารวัตรหนุ่มยังคงถามต่อ
“ก็น่าจะมีเพื่อน ๆ ของเธอที่โต๊ะนั่นแหละครับ แล้วก็คุณแมท ผู้จัดการของที่นี่ เพราะไอ้ภีมมันเป็นคนให้คุณแมทพาสาว ๆ ขึ้นมาหาพวกผมข้างบน”
“อืม...ดูจากสภาพศพแล้วเหมือนคนร้ายกับผู้ตายมีเรื่องแค้นเคืองอะไรกันอยู่แน่ ๆ เพราะนอกจากปาดคอแล้วเนี่ย ยังแทงพรุนไปทั้งร่างอีกด้วย เหมือนเป็นเรื่องหึงหวง ไม่ใช่ว่าคนตายมีสามีอยู่แล้วเรอะ พอจับได้ว่าแอบมามีกิ๊กที่นี่เลยบันดาลโทสะ”
สารวัตรหนุ่มตั้งข้อสันนิษฐาน ภีมพลเองก็ส่ายหน้าไปมาเหมือนคนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“อันนี้ผมก็ไม่รู้นะพี่ แต่สาว ๆ กลุ่มนี้มากันทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์เลยนะ ถ้าให้พูดกันตามตรงก็เหมือนกับว่า...พวกเธอค่อนข้างฟรีเซ็กซ์กันเลยมากกว่า ประมาณว่าถูกใจใคร หรือคุยถูกคอกับใครก็สามารถหิ้วขึ้นเตียงได้ทันที กลุ่มนั้นมีกันสี่คน ทั้งสี่คนนั้นผมก็ลองมาหมดแล้ว ผมเลยเลือกเอาจานที่แซ่บที่สุดส่งให้ไอ้โอมมันลองบ้าง แล้วก็มาเกิดเรื่องนี่แหละ”
ภีมพลยืนเอาสะโพกพิงกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บอกเล่าเรื่องที่ตนรู้ให้พี่ชายฟังอย่างหมดเปลือก
“คืนนี้พี่อยากให้แกเรียกพวกนักดนตรีมาหน่อยได้รึเปล่า พี่อยากสอบปากคำพวกเขาหน่อย พวกนั้นมีเล่นให้ที่อื่นอีกไหม เพราะเมื่อครู่พี่คุยกับเจ้าภีม เห็นมันบอกว่าพนักงานกลุ่มสุดท้ายที่เดินออกจากอาคารน่าจะเป็นพวกนักดนตรี ซึ่งมันตรงกันกับรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุเมื่อสักครู่ว่าพบรอยรองเท้าบูตของผู้หญิงอยู่ใกล้กับบริเวณที่พบศพ”
สารวัตรจุมพลรู้มาว่านักร้องนำของวงดนตรีวงใหม่เป็นผู้หญิง จึงคาดเดาได้ว่าคนพบศพคนแรกไม่น่าจะเป็นแม่บ้านทำความสะอาด แต่น่าจะเป็นนักร้องนำสาวคนนั้น
“พี่พลหมายความว่าม็อทน่าสงสัยหรือครับ” พชรอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นสารวัตรหนุ่มพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่พี่อยากรู้มากกว่าว่าถ้าเธอเป็นคนพบศพคนแรก แล้วทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ เขารออะไร ซึ่งถ้าเป็นคนปกติทั่วไป ถ้าเจอศพปุ๊บก็ต้องแจ้งตำรวจทันที แต่นี่นอกจากทิ้งรอยเท้าเอาไว้แล้ว ยังปิดเงียบอีกต่างหาก” จุมพลตั้งข้อสงสัย
“ผมว่าบางทีเขาอาจจะไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้ก็ได้นะครับ เพราะมันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่น่ะ ไหนจะต้องโดนสอบปากคำ ไหนจะต้องเป็นจุดสนใจของคนอื่น เขาก็เลยทำเฉยไว้”
พชรพูดอย่างที่ใจคิด แต่ภีมพลกลับหันมองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นเพื่อนรักออกโรงปกป้อง และแก้ตัวแทนนักร้องนำสาวสวย
เสียงจากวิทยุสื่อสารของสารวัตรหนุ่มดังขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปจดจ่อกับเสียงนั้น
“สารวัตรครับ รบกวนลงมาข้างล่างหน่อยครับ พวกผมเจออะไรบางอย่าง”
เสียงผู้ใต้บังคับบัญชาพูดผ่านลำโพงออกมา ทำให้ทั้งสามคนหันมองหน้ากัน สารวัตรหนุ่มจึงพยักหน้าให้ชายหนุ่มอีกสองคนเพื่อชักชวนกันลงไปข้างล่าง เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานเจอนั้นคืออะไร
“มีอะไร” สารวัตรจุมพลถามผู้ใต้บังคับบัญชา นายตำรวจคนนั้นจึงเดินนำไปที่ศพของหญิงสาวที่นอนราบอยู่กับเปลหาม พชรแทบไม่กล้ามองร่างเหยียดยาวตรงหน้า ไม่อยากเชื่อว่าร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นเพิ่งจะสร้างความสุขสุดยอดให้กับเขาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
มือที่สวมถุงมือยางของเจ้าหน้าที่เลิกผ้าขาวที่คลุมศพไว้ออกจากร่างนั้น เผยให้เห็นชุดเกาะอกสีแดงเพลิงของเจ้าตัวที่ขาดวิ่นเป็นทางราวกับถูกมีดกรีดลงไปซ้ำแล้วซ้ำแล้ว จนพชรกับภีมพลต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
เจ้าหน้าที่คนเดิมจับร่างนั้นพลิกให้นอนคว่ำลง แล้วแหวกชุดที่ขาดให้แยกออก เผยให้เห็นข้อความจากปากกาเคมีสีน้ำเงินที่เขียนไว้กลางหลังของศพคำเดียวสั้น ๆ
“ร่าน”
“ตอนนี้ที่คลับลูกค้าเยอะมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะระบบรักษาความปลอดภัย และการคัดกรองพนักงานที่เข้มงวดมากขึ้น ผู้จัดการคลับก็มีสองคน คนหนึ่งดูแล และแก้ปัญหาเกี่ยวกับลูกค้า อีกคนหนึ่งดูแลพนักงานทั้งหมด ฝ่ายบัญชี และจัดซื้อก็ยังใช้พนักงานชุดเก่า มีวงดนตรีที่มาเล่นประจำให้ที่คลับสามวงต่อสัปดาห์ ซึ่งวงบัตเตอร์ฟลายจะเล่นศุกร์เสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม แต่เล่นแค่รอบเดียวคือรอบปิดท้าย ส่วนอีกรอบเราจะใช้นักดนตรีจากอีกวงหนึ่งมาเล่นให้ เท่ากับว่าในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์จะมีวงดนตรีมาเล่นให้วันละสองวง”“ผมคิดว่าเราน่าจะเพิ่มบาร์ค็อกเทลนะพี่ จัดสักมุมหนึ่งของฮอลล์ มีบาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อสาวสวยเป็นคนผสมเครื่องดื่มให้ตามแต่ที่ลูกค้าต้องการเหมือนตามโรงแรมน่ะ”รชตเสนอความเห็นให้พี่ชาย เขาเคยไปที่คลับหลายครั้งแล้ว และเขาคิดว่าที่คลับควรจะต้องมีบาร์ค็อกเทลเหมือนเมืองนอก หรือตามโรงแรมใหญ่ ๆ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้า“อืม...ก็น่าสนใจนะ พี่ก็เคยคุยเรื่องการขยายพื้นที่ของซุสกับภีมมันเหมือนกัน เพราะได้ข่าวมาว่าผับที่อยู่ถัดไปจากซุสกำชังจะหมดสัญญาเช่าที่ พี่กับเจ้าภีมเลยคิดว่าจะไปเทก
สองปีต่อมาพชรนั่งคิ้วขมวดเป็นปมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมกับนิ้วมือที่กำลังคีย์ข้อความลงไปอย่างรัวเร็ว สลับกับการรื้อกองเอกสารที่ไร้ระเบียบตรงหน้าอย่างวุ่นวาย เขาจำไม่ได้แล้วว่านั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว รู้แต่ว่าเขาต้องจัดการเอกสารกองนี้ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วสรุปทุกอย่างใส่ลงในเอ็กเซล เพื่อที่จะได้เอากลับไปทำต่อที่บ้านเขาไม่อยากแบกเอกสารหนาหนักพวกนี้กลับไปด้วย เพราะนอกจากเสี่ยงที่จะสูญหายแล้ว ช่อมาลีก็อาจทนไม่ได้จนต้องลงมือเข้ามาช่วยเขาจัดการกับพวกมันทั้งหมด ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เธอเพิ่งคลอดบุตรชายคนแรกให้เขาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาอยากให้หญิงสาวพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย มากกว่าที่จะต้องมาทำงานให้เขาทั้งคู่เข้าพิธีแต่งงานด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว และเลิกคุมกำเนิดด้วยการกินยาแต่หันมาใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมชาติแทน ตอนที่คุยกัน ช่อมาลียังไม่พร้อมจะตั้งครรภ์ เพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กันสองคนแบบนี้ไปก่อน ซึ่งเขาเองก็เห็นด้วย ทั้งที่ตอนแรกเขาอยากมีลูกเร็ว ๆ ให้พ่อกับแม่ได้อุ้มหลานทว่าไม่นานนักความต้องการของเขาก็สัมฤทธิ์
“ต้องยังงี้สิ ไปกันเถอะ” พชรโอบไหล่พาช่อมาลีเข้าไปในงาน ซึ่งการจัดงานนั้นเป็นแบบเปิดโล่งริมชายหาด รถสปอร์ต และยนตรกรรมสุดหรูจอดเรียงรายกันบนหาดทราย โดยมีพริตตี้สาวสวยในชุดบิกินีคาดช่วงล่างด้วยผ้าบาติกมัดย้อมคลุมจนถึงเข่าโดยมัดปมไว้ที่สะโพกอีกข้างหนึ่งเพื่ออวดเรียวขาวับแวมยืนให้คำอธิบายเกี่ยวกับสมรรถนะต่าง ๆ อยู่ข้างรถตลอดทั้งวันจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติแห่กันเข้ามาดูรถหรูไม่ขาดสาย บ้างก็มาเพื่อถ่ายรูปสาวสวยที่ยืนข้างตัวรถ บ้างก็มาเพื่อขอทดลองนั่งด้านใน และก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจบงานในวันสุดท้าย หรือวันที่สามของการจัดงาน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ท่านประธานยิ้มไม่หุบเลยนั่นก็คือยอดจองรถที่ทะลุเป้าหมายจากที่วางเอาไว้ถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก“ผมขอดื่มให้กับทุกคนสำหรับงานมินิมอเตอร์โชว์ในครั้งนี้ และขอขอบคุณพวกคุณทุก ๆ คนที่ทำให้งานในครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แทบจะเรียกว่าดีมากจนเกินเป้าหมายที่ผมวางไว้ด้วยซ้ำ ขอบคุณมากครับ”พชรลุกขึ้นยืนตอนที่พูด คนอื่น ๆ จึงลุกขึ้นตามไปด้วยพร้อมกับยกแก้
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย แปลว่าที่พูดไปเมื่อกี้นี่ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหมคุณ”ช่อมาลีวางช้อนและส้อมลงทันที สองตาตวัดมองไปยังคนหน้าไม่อายตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แต่คนถูกมองหาได้เกรงกลัวไม่ เขากลับหัวเราะคิกคักพลางจ้องคนสวยหน้าบึ้งด้วยแววตาเป็นประกายราวกับถูกอกถูกใจนักหนา“โอเค...ไม่ลุกใช่ไหม...ได้”ช่อมาลีคลี่ยิ้มเยือกเย็นส่งให้พร้อมกับทำท่าจะคว้าเอาแก้วน้ำส้มที่วางอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าไม่ไวพอเท่าชายหนุ่มที่เอื้อมมาคว้าไปได้ก่อนพร้อมกับดื่มน้ำส้มแก้วนั้นเสียเองจนหมดแก้วไปต่อหน้าต่อตาช่อมาลีลุกพรวดขึ้นทันที ตั้งใจไว้ว่าจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมให้มาลากเขาออกไป พอดีกับที่พชรรีบเดินเร็ว ๆ กลับมาที่โต๊ะด้วยท่าทางเอาเรื่องเพราะเห็นแฟนสาวกำลังถูกคุกคาม“มีอะไรรึเปล่าม็อท” พชรถามหญิงสาวแต่สายตาจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่มาก้อร่อก้อติกแฟนสาว จนเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ และได้มองหน้าของผู้ชายคนนั้นชัด ๆ จากสายตากรุ่นโกรธก็เปลี่ยนเป็นเบิกกว้างขึ้นทันที“อ้าวเฮ้ย! เจ้าอาร์ต นี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”พชรพูดเสียงไม่เบานักเพราะความประหลาดใจที่เห็นน
ช่อมาลีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาทีละนิด แล้วก็ปิดตาลงไปเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏเป็นแผงอกหนั่นแน่นของใครบางคน เธอตั้งสติแล้วลืมตาขึ้นมามองใหม่อย่างไม่ค่อยแน่ใจในสายตาของตนเองเท่าไรนัก ตาคู่สวยเบิกกว้าง ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ เมื่อความทรงจำแสนวาบหวามเมื่อคืนย้อนกลับเข้ามาสู่ความทรงจำอีกครั้งช่อมาลีค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองคนตัวโตที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ วางท่อนแขนหนัก ๆ พาดไว้ที่เอวของเธอพร้อมกับเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้าของเขาให้เต็มสองตา เพราะในเวลาปกติ เธอไม่อาจมองเขานาน ๆ ได้ตั้งแต่รู้ตัวว่าคิดกับเขาไม่เหมือนเดิมใบหน้ายามหลับของพชรแลดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัย เครื่องหน้าลงตัว อย่างผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดี เขาไม่ใช่คนหล่อชนิดที่ว่าเห็นครั้งแรกแล้วต้องตะลึงมองเหมือนคริส เพื่อนในวงดนตรี แต่เขาก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยาก โดยเฉพาะนัยน์ตาเจ้าเล่ห์คู่นี้ที่ตวัดมองมาแต่ละครั้งก็สามารถทำให้ใจแทบละลายได้ แล้วไหนจะรอยยิ้มมุมปากแสนกระชากใจนั่นอีกเล่าที่สะกดสาว ๆ มานักต่อนักแล้ว ไม่เว้นแม้กระท
ชายหนุ่มรัดร่างหญิงสาวไว้จากด้านหลัง แล้วดันให้เธอเดินหน้าไปยังเตียงนอนหลังใหญ่ที่อยู่กลางห้อง แต่เจ้าหล่อนกลับพยศรั้งตัวเองไว้ไม่ยอมเดินไปตามเขา พชรจึงตัดสินใจช้อนตัวขึ้นอุ้มเสียเลย“คุณโอมขา ม็อทขอโทษที่โกหก ก็ม็อทอยากว่ายน้ำนี่นา”หญิงสาวกระถดตัวหนีเมื่อพชรวางเธอลงบนเตียง จนเสื้อคลุมหลุดลุ่ยอวดผิวขาวนวลเนียนตัดกับสีแดงของบิกินี่ตัวจิ๋ว“อยากว่ายก็ว่ายไปสิครับ ผมไม่ได้หวงสักหน่อยนี่นา สระว่ายน้ำที่นี่จะคุณหรือผมใช้ได้ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อมองเห็นหยดน้ำจากเส้นผมที่เปียกลู่ของเธอกำลังไหลผ่านซอกแคบระหว่างภูเขาย่อม ๆ สองลูกให้ตายเถอะ! เขาอยากใช้ปากและลิ้นเช็ดตัวเธอให้แห้งจริง ๆ“ถ้าม็อทว่ายตอนคุณโอมอยู่ อย่างกับว่าม็อทจะได้ว่ายสบาย ๆ งั้นแหละ ก็คุณน่ะชอบมาหาเศษหาเลยกับม็อทเรื่อยเลย”ช่อมาลีบ่นงอดแงดพลางเอาหมอนมากอดไว้เพื่อบังร่างเกือบเปลือยของตนเองเมื่อเห็นสายตาราวกับจะกลืนกินของเขาพชรหลุดขำหัวเราะร่า ก่อนจะอาศัยจังหวะที่เธอเผลอกระโดดเข้าตะครุบตัวหญิงสาวแล้วกอดเอาไว้แน่น ช่อมาลีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอ