ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอพี่ไมเนอร์อีกเลย แม้แต่ในคณะก็ไม่เคยเจอกัน อีกอย่างช่วงเทอมสองนี้เขาเองก็คงมีเรียนน้อยลงหรือแทบไม่มีเลยก็ว่าได้เพราะเคยได้ยินมาว่าพี่ไมเนอร์เก็บวิชาเรียนไปเกือบหมดแล้วช่วงที่เราคุยกันเหมือนเขาจะหายไปจากชีวิตแล้วโดยสมบูรณ์
เอาเข้าจริงๆ ฉันก็ไม่เคยลืมคนอย่างเขาได้เลย ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันแต่ก็ยังอยากเจออย่างรู้ว่าเขาเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว แค่อยากรู้ความเป็นไปก็เท่านั้น สิ่งที่ทำได้ก็แค่แอบส่องดูชีวิตเขาผ่านทางโซเชียลมีเดียเท่านั้น
“ไปดูเขาแข่งบอลกันไหม”
“ไม่ได้ไปด้วยนะ วันนี้ต้องทำงาน” ยัยน้ำค้างที่เพิ่งตื่นจากความง่วงงันเอ่ยเสียงแหบพร่า หลังจากที่พวกเราเลิกเรียนแล้วพามันมาแอบงีบอยู่ตรงสวนหย่อมใต้ต้นไม้ใหญ่หลังคณะ
ช่วงนี้มันเพิ่งเริ่มงานร้านเหล้าทำให้ต้องนอนดึกประจำ กลางวันก็เป็นอย่างที่เห็น มีเวลาว่างเมื่อไหร่คือต้องหาเวลางีบตลอด ใครไม่รู้คงคิดว่ามันขี้เกียจหรือเที่ยวดื่มจนดึก ทว่าเพื่อนฉันคนนี้มันกลับดื่มไม่เป็นเลยสักนิดเดียว
“ไปก็ได้ เบื่อๆ”
วันนี้หลังเลิกเรียนไม่มีกิจกรรมอะไร จะกลับบ้านไปก็คงเบื่อ ไปหาอะไรเจริญหูเจริญตาดูบ้างคงดี
“ไปดูผู้ชาย อิอิ” ยัยจินพูดจบก็หยิบเอาแป้งตลับของมันขึ้นมาแปะๆ หน้าอย่างมีจริต จนน้ำค้างส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
“ยอมไม่ได้” ฉันแกล้งหยิบลิปสติกสีพีชออกมาแตะๆ ริมฝีปากบ้าง
“พวกแกนี่นะ บ้าผู้ชาย”
“แกยังไม่ชินอีกเหรอ” ยัยจินถามน้ำค้าง
ปกติเราก็แกล้งพูดเล่นกันตลอด ไม่ได้จริงจังอะไร ฉันเองก็พูดเอาสนุกเพราะมันทำให้มีสีสันขึ้น เพราะที่จริงแล้วไม่คิดจะมีแฟนเลย รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม มันเหมือนมีอะไรค้างคาใจไม่สามารถหาคำตอบได้
“วันก่อนยังไปดื่มเพราะอกหัก อกหักแบบไหนแม้แต่เพื่อนก็ไม่เคยเห็นหน้าคนคุยของแก” ยัยน้ำค้างหันมาต่อว่าพร้อมกับจับผิด
ฉันขยับลูกตาดำหนีมาอีกทางเมื่อถูกเพื่อนสนิทจ้องมา
วันก่อนแค่อยากดื่มเพราะหัวใจมันว้าวุ่นโดยไม่มีสาเหตุ แถมตอนเมายังไปบอกพวกมันอีกว่าอกหักจากรุ่นพี่คนหนึ่ง โชคดีเท่าไหร่ที่ตอนเมาไม่พูดชื่อใครออกไป ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แน่
“วันก่อนก็คือวันก่อน ระดับเพื่อนเราไม่ควรรู้จักคำว่าอกหักด้วยซ้ำค่ะน้ำค้าง อย่าให้รู้นะว่าไอ้รุ่นพี่คนนั้นเป็นใคร ฉันจะด่าให้ว่า โง่!”
ฉันแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เพราะไม่มั่นใจว่าที่มันพูดนั้นชมกันจริงๆ หรือแค่อยากกวนประสาท เพราะหน้าตาเพื่อนสนิทไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเดียว
การแข่งขันฟุตบอลระหว่างมหาวิทยาลัยเริ่มขึ้นตอนเย็น จัดแข่งขันที่สนามกีฬากลางของมหาวิทยาลัยเราหรือที่ในภาษากีฬาเรียกกันว่าทีมเหย้า มีนักศึกษาและคนนอกเข้ามาชมกันเยอะมากพอสมควร
เวลานี้ก็ยังมีคนที่ยังวิ่งออกกำลังกายกันอยู่มากมาย กลางสนามก็เต็มไปด้วยนักฟุตบอลทั้งสองทีม แล้วสายตาของฉันก็เห็นใครบางคน เป็นจังหวะเดียวกับที่สมองเพิ่งจะดึงความจำหนึ่งขึ้นมาได้
เขาเป็นนักฟุตบอลมหาวิทยาลัย...
“ยัยระริน นั่นพี่คนนั้นหรือเปล่า พี่คณะเรา”
ฉันนั่งนิ่ง พอคำถามของยัยจินผ่านเข้ามาในโสตประสาทยิ่งคิดอะไรไม่ออก นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอเขา ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาเป็นยังไง ตอนนี้เห็นหน้าอีกครั้งถึงแม้จะไกลๆ หัวใจก็พานเต้นแรงเหมือนอย่างที่เคยเป็นเมื่อตอนเจอกันก่อนหน้านั้น
“แกเหม่ออะไร ดูผู้ชายสินะ!”
“เปล่า”
“นั่นน่ะ ใช่พี่คนที่หล่อๆ คณะเราหรือเปล่า โอ๊ย โคตรดี” ยัยจินทำหน้าตาปลื้มปริ่มมองไปยังกลางสนามที่มีนักกีฬากำลังยืนออกันอยู่
“น่าจะใช่แล้วมั้ง” ฉันตอบเหมือนไม่สนใจก่อนจะหยิบมือถือมาเล่นจนกระทั่งการแข่งฟุตบอลเริ่มต้นขึ้น
แต่ไม่รู้ทำไมสายตาของฉันมันถึงต้องมองตามคนคนนั้นอยู่ตลอด สนามฟุตบอลก็กว้างแต่เหมือนมันแคบนิดเดียว กลอกลูกตาดำไปทางไหนร่างสูงที่วิ่งไปมาอยู่กลางสนามก็เข้ามาอยู่ในจุดโฟกัสจนได้
“เอ้า!”
เสียงของคนรอบข้างอุทานออกมาพร้อมกัน แล้วเสียงวิจารณ์ก็ตามมาทั่วบริเวณ จังหวะที่ทุกคนตกใจหัวใจของฉันก็พลันหล่นวูบลงพื้นไปด้วย เพราะพี่ไมเนอร์ถูกอีกฝ่ายเตะเข้าที่หน้าแข่งจนล้มลงไปนั่งกับพื้น ถึงแม้จะอยู่ไกลแต่ก็ดูออกว่าเขาคงเจ็บน่าดู
ที่แปลกใจคือทำไมฉันถึงรู้สึกเป็นห่วงเขาจนหัวใจเต้นแรงอย่างนี้
“ฮือ ไหวไหมเนี่ย เตะแรงขนาดนั้นดูก็รู้ว่าตั้งใจ สมน้ำหน้าเจอใบแดงเลย!” ยัยจินพูดใส่อารมณ์ มันคงอินกับเกมการแข่งขันไม่ต่างจากคนอื่น บริเวณนี้เพราะมีแต่นักศึกษามหาวิทยาลัยเราทั้งนั้น
หลายคนลุ้นตามว่าพี่ไมเนอร์จะแข่งต่อได้หรือเปล่า จนสุดท้ายเขาก็สู้ต่อและเล่นจนจบเกมการแข่งขัน
มหาวิทยาลัยเราเอาชนะไปแบบขาดลอยเพราะผู้เล่นฝั่งนั้นก็เหลือเพียงแค่สิบคน หลังจากจบเกมทุกคนก็เริ่มทยอยกันกลับส่วนฉันกับยัยจินรอให้คนออกไปเกือบหมดถึงลุกออกจากที่นั่งเพราะไม่อยากเบียดคนอื่นตรงทางออกสนามกีฬาของฝั่งนี้ที่ค่อนข้างแคบ จะเดินไปอีกฝั่งก็ไกลเหลือเกิน
---------------------
พี่ไมเนอร์ที่มีชื่อรองว่าคุณบังเอิญ
โผล่มาแบบบังเอิญทั้งเรื่องแน่นอนค่ะ 5555
ตอนที่ 23พี่ไมเนอร์เดินมาส่งฉันจนถึงโต๊ะ ระหว่างทางเดินก็มีคนมองตลอดไม่รู้ว่ามองอะไรกัน บางคนที่รู้จักพี่ไมเนอร์ก็แซวเขาใหญ่เล่นเอาฉันเขินจนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ให้เขามาส่ง เพราะตอนนี้เหมือนจะตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งร้านเลย“โอ๊ย มาส่งถึงโต๊ะขนาดนี้ก็บอกเขาไปเถอะค่าว่าเป็นแฟนกัน!! “ยายจินแซวพร้อมกับเสียงเพื่อนคนอื่นจนฉันต้องตีแขนมันก่อนจะขยับไปนั่งข้างมัน ส่วนพี่ไมเนอร์ก็นั่งลงข้างฉันอีกฝั่ง“พี่ไมเนอร์จะดื่มอะไร”“เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว” เขาบอกแล้วส่งมา เหมือนพอใจกับอะไรบางอย่าง“มาส่งจริง ๆ”“มาเปิดตัวให้คนอื่นรู้ว่าเรามีเจ้าของแล้ว” เขาพูดประโยคแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยพูด ความรู้สึกของฉันตอนนี้ก็คงไม่ต่างกับเขา มันทั้งเขินทั้งรู้สึกดีในเวลาเดียวกัน“ขี้โกง”“ขี้โกงอะไร” พี่ไมเนอร์เลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม“ก็มีแต่รินที่เปิดตัวแต่พี่ไม่ได้เปิดตัวที่นุ่นไง แบบนี้พี่ก็ทำตัวโสดได้สบายใจสิ” ฉันแกล้งต่อว่าเขาจนเจ้าตคัวเราะชอบใจ“งั้นเราไปนั่งกับพี่ร้านนู้นไหม”เขาไม่ได้พูดเล่นแต่จริงจังมากในแววตาคู่นั้น จนฉันต้องส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะกลัวว่าพี่ไมเนอร์จะให้ไปจริง ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปแต่
ช่วงนี้พี่ไมเนอร์เอาใจจนฉันได้ใจแล้ว เวลาพูดว่าอยากได้อยากทำอะไรเขาก็จะตามใจตลอด ขนาดที่ว่ายายจินเอ่ยปากบอกว่าสงสารพี่ไมเนอร์ที่ต้องมาตามใจฉัน“แค่แกบอกว่าอยากกินเครปพี่เขาก็แวะ ฉันโคตรสงสาร แล้วร้านนั้นคือรอคิวเป็นชั่วโมง มิน่าล่ะถึงไม่มาสักที” ยายจินบ่นอุบเพราะฉันมันถึงไม่ได้กลับไปตอนสักที ก็พี่ไมเนอร์ยังไม่มาเพื่อนเลยเป็นคนดีที่อยากอยู่เป็นเพื่อน“ฉันแค่ถามว่าเขาผ่านหรือเปล่า ไม่ได้บอกให้แวะ” ฉันพูดไปแค่นั้นจริง ๆใช่ไหมนะ…“เขายอมแกขนาดนี้ ยังไม่รับรักอีกเหรอ” ยายจินกอดอกถาม สายตามันเหมือนหาเรื่องด่าฉันอยู่เลย“มันยังไม่ถึงเวลา”“ระวังเถอะ ถ้าเขาเจอดี ๆ กว่าแกแล้วไม่อยากเหนื่อยเอาใจ แกอย่ามาเสียใจให้เห็น”“ถ้าเขาไม่มั่นคงตั้งแต่ตอนจีบกันแบบนั้นฉันจะถือว่าโชคดีที่ไม่ยอมเป็นแฟน”“นินทาอะไรพี่อยู่เหรอ”เสียงเข้มคุ้นหูทำเอาฉันสะดุ้ง ก็เขาดันโผล่มาจากด้านหลังแบบนี้ตอนที่กำลังพูดถึงใครจะไม่ตกใจ แล้วเมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งพูดว่าเขาไปแถมยังเป็นเรื่องที่คิดกันไปเองกับยายจินอีกต่างหากอันที่จริงฉันไม่ได้เก่งอย่างที่ว่านั่นหรอกแต่ตอนนี้ฉันเริ่มเชื่อใจเขาแล้วต่างหากถึงกล้าปากดีและมั่นใจว่าพี่ไมเน
ตอนที่ 22Minor talkก่อนหน้านี้ผมไม่เคยจริงจังกับการรักษาโรคที่ตัวเองเป็นอยู่เลย และใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการปลดปล่อยความอึดอัดที่เกิดขึ้น ทั้งนอนกับผู้หญิงที่คุยด้วยหรือจะช่วยตัวเอง หลังจากนั้นมันก็จะเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี และมันเป็นอย่างนั้นประจำจนกระทั่งต้องตัดสินใจรักษาช่วงแรกที่เริ่มเป็นโรคนี้มันเกิดขึ้นตอนที่ผมเรียนอยู่เพียงมอต้นเท่านั้น ตอนนั้นผมเลือกที่จะช่วยตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ในหนึ่งวันมันสามารถเกิดขึ้นเกิดสิบครั้งเลยหากใช้ชีวิตเงียบ ๆ คนเดียว มันเป็นโรคที่ดูเหมือนปกติแต่ความจริงแล้วไม่เลย มันทรมานจนต้องหาวิธีจัดการ หลังจากทำเรื่องแบบนั้นจิตใจของเราก็จะรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดปกติและน่ารังเกียจทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แต่สาเหตุมันเกิดมาจากครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นของผมตั้งแต่ในวัยเด็ก ผมจำเหตุการณ์พวกนั้นได้เลือนรางแต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเป็นโรคบ้า ๆ นี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก พ่อของผมชอบทำร้ายและตบตีแม่และพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาในบ้านจนแม่เสียใจและหนีจากเราไป ตอนนั้นผมอยากไปอยู่กับแม่ใจจะขาดแต่คำสั่งของพ่อทำใ
วันนี้ตอนเย็นฉันนัดกับพี่ไมเนอร์เอาไว้เพราะเขาบอกจะพาไปทานอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งซึ่งกำลังเปิดใหม่และมีโพรโมชัน ‘มาสามจ่ายหนึ่ง’ แต่เรามากันแค่สองคน นั่นหมายความว่าโพรโฒชันที่ว่ามานั้นไม่ได้มีผลอะไรเลยตลกตรงที่เขาพูดถึงโพรโมชันนี้แต่พอฉันบอกว่าควรหาเพื่อนไปด้วยอีกคนพี่ไมเนอร์ก็บอกว่าไม่ยอมเพราะอยากไปด้วยกันสองคน“ถ้าพาเพื่อนมาอีกคนก็หารสาม คุ้มกว่านี้ไหมคะ” ฉันดูราคาที่พนักงานเพิ่งส่งมาให้ดูแล้วบอกกับคนเสนอตัวจ่ายเต็มราคานั้นอย่างภูมิใจที่ได้เลี้ยงฉัน“พ่อเราบอกว่าให้พี่อยู่กับสิ่งที่ชอบ”“…”“พี่ก็เลยอยากอยู่กับเราแค่สองคน”“ไร้สาระค่ะ”จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้แกล้งถามเรื่องของยายพี่เมย์อะไรนั่นเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี กลัวเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนชอบหาเรื่องทะเลาะ หรือไม่ก็คิดว่าฉันเอาใจเขามากมายเดี๋ยวได้ใจเอา“อิ่มไหม หรืออยากไปทานอะไรต่อ”“พี่เพิ่งพารินทานบุฟเฟต์นะคะ ไม่ใช่น้ำเปล่า ถามมาได้รินกินเยอะขนาดนั้น ถ้าน้ำหนักขึ้นรินจะโทษพี่ไมเนอร์” ฉันบิดปากคว่ำมองเขาอย่างเอาเรื่อง ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาวันนี้คงกินเยอะจนลืมเรื่องน้ำหนัก“ถึงเราจะตัวกลมเท่าหมูพี่ก็รัก น่ารักแน่ ๆ”“ข
ตอนที่ 21หลังจากส่งพี่ไมเนอร์ลงจากรถเสร็จฉันก็กลับมาห้องของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วปกติถ้าไม่มีภารกิจอะไรหรือมีเรื่องให้คิดมากจนนอนไม่หลับฉันต้องเข้านอนและหลับปุ๋ยไปแล้ว ทว่าวันนี้มันต่างออกไปตรงที่มีคนขอให้รอเขาโทร.มาเพื่อที่จะบอกฝันดีก่อนนอน“อาบน้ำเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”ทันทีที่กดรับสายจากพี่ไมเนอร์ฉันก็ถามด้วยความประหลาดใจ แต่ดูเวลาบนหน้าจอตอนนี้มันก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่เราแยกจากกัน(“ถึงห้องก็อาบเลย กลัวเราจะง่วง”)“ง่วงแล้วค่ะ พรุ่งนี้รินมีเรียนเช้าด้วย จะนอนแล้วนะ”(“โอเคพี่ก็จะนอนแล้ว”) เขาพูดจบก็ได้ยินเสียงคล้ายกำลังกระโดดลงที่นอน แล้วเสียงพูดของเขาก็อู้อี้อยู่กับหมอนแน่ ๆ (“ฝันดีนะครับ”)“ฝันดีค่ะ”(“ชอบจริงนะ”)ฉันเผลอยิ้มอยู่คนเดียวกลางที่นอนเหมือนเป็นคนบ้า ทั้งที่ช่วงนี้ได้ยินพี่ไมเนอร์บอกว่าชอบออกจะบ่อยกว่าคำอื่นเลยด้วยซ้ำ เกลียดเขาที่ทำให้ฉันใจอ่อนยวบแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือฉันเองที่มันใจง่าย“ถ้าพูดจริงรินก็จะรับไว้นะ”(“พูดจริงครับ”)“วางแล้วนะ”(“พรุ่งนี้เจอกัน”)“ค่ะ”หลังจากกดวางสายปากของฉันมันก็ยังไม่ยอมหุบยิ้มจนต้องยกฝ่ามือขึ้นมา ใช้นิ้ว
อีกสิบนาทีออกมาเจอกันหน้าร้านหลังจากผ่านไปสิบนาทีอย่างที่ว่านั้นฉันก็มาถึงร้านเหล้าร้านหนึ่งพอดี เห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินออกมาจากประตูร้านฉันจึงเดินลงจากรถแล้วตรงดิ่งไปหาเขา ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันจะไม่มองได้ไงล่ะ ก็ฉันใส่ชุดนอนมาร้านเหล้าความกล้าหาญที่พกมาเต็มร้อยตอนนี้เหลืออยู่แค่ยี่สิบส่วนร้อยเท่านั้น ยิ่งตอนที่พี่ไมเนอร์กอดอกมองมาฉันยิ่งขาดความมั่นใจ ตอนนี้จะเรียกว่าสติมันกลับคืนมาหาตัวแล้วก็ว่าได้“ใส่มาทำไมแบบนี้” คำแรกที่เขาเอ่ยทักทายกันพร้อมกับทำคิ้วขมวดใส่แถมด้วยสายตาดุ ๆ“ก็จะมาคุยแค่แป๊บเดียว” ฉันตอบแล้วหยุดยืนอยู่ตรงริมฟุตพาท ยกแขนสองข้างขึ้นมากอด“อย่างกับคนมาตามผัวกลับบ้าน” แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมาเพราะคำพูดของตัวเอง“แล้วสรุปจะเอายังไงคะ พูดดิบดีว่าจะไม่ดื่มเหล้า เหอะ!” ฉันถามแล้วหัวเราะเยาะเบา ๆ“แล้วคุยอะไรกับมัน ทำไมต้องจับมือถือแขน”“เขามาขอคุยค่ะ แล้วรินก็ไม่ได้ขอให้เขาจับถ้าเห็นแค่นั้นแล้วพี่ไมเนอร์จะเข้าใจผิดไม่มีเหตุผลก็แล้วแต่เลย”เขามองมาแล้วเงียบ ดวงตาคู่คมนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันนึกไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะดีขึ้นกว