‘แค่ฉันลั่นไกใส่ตรงนี้…เธอก็รอดแล้ว’
น้ำเสียงและรอยยิ้มน่ากลัวของมาร์คินพลอยทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย ก่อนหน้านี้เคยมองเขาว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงคนเก่งคนหนึ่ง แต่ทว่าหลังจากได้เห็นอีกตัวตนที่เขาไม่เคยเปิดเผยออกมาให้ได้สัมผัส มันกลับทำให้เธอไม่อยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้
เขาดูอันตราย…
“กลัวเหรอ?” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามคนตรงหน้า สีหน้าและแววตานาร์มินแสดงออกชัดเจนว่ากำลังหวาดกลัวกับการกระทำของตัวเอง
“ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
“ยังไม่ชินอีกเหรอ? อย่าลืมสิว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเอาปืนจ่อเธอ”
“มะ…หมายความว่ายังไง” เธอเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ งั้นแสดงว่าเขาเคยทำในลักษณะอย่างนี้กับเธอมาก่อนอย่างนั้นหรือ?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง…ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ
“จำฉันไม่ได้เหรอ?”
“….”
“ลองนึกดีๆ สิ ว่าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตมาบ้างรึเปล่า”
เธอคิดตามในสิ่งที่มาร์คินพูด การที่เขาพูดแบบนี้ขึ้นมาแสดงว่าเธอและเขาต้องเคยเจอกันมาก่อนแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดราวกับเคยเจอกันมาก่อน
‘ถ้าเธอเลือกตัวเลือกนี้ รับรองว่าฉันจะทำให้เธอทรมานน้อยกว่าการกระโดดลงจากสะพาน’
‘นะ…นายเป็นใครกันแน่’
‘ก็แค่ช่วยยื่นข้อเสนอให้’
‘ถอยออกไปห่างๆ ฉันนะ’
เธอดึงสายตากลับมามองมาร์คินอีกครั้งหลังจากเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วว่ารู้สึกคุ้นๆ กับเหตุการณ์แบบนี้จากที่ไหน ต้องใช่เขาแน่ๆ ที่อยู่ด้วยในคืนที่เธอจับได้ว่าถูกแฟนนอกใจในวันครบรอบสองปี
เขาคือคนเดียวกันกับที่เอาปืนขู่เธอในคืนนั้น…
“อย่าบอกนะว่าคุณคือผู้ชายที่เคยเอาปืนไม่มีลูกขู่ฉันในคืนนั้น”
“หึ จำได้แล้วเหรอ?”
เธอมองอย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาคือคนเดียวกับผู้ชายในคืนนั้น ถึงว่าทำไมรู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงของเขาพิกล ตอนแรกคิดว่านั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอผู้ชายคนนี้ แต่ไม่เลย…มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
“โลกกลมดีเหมือนกันนะว่าไหม?”
“ฉันต้องการเจอน้องชายของฉันตอนนี้” เธอพูดพร้อมมองหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว นาทีนี้ต้องทำใจดีสู้เสือกับผู้ชายคนนี้เท่านั้น ถ้าหากเธอมัวแต่แสดงท่าทางหวาดกลัวหรืออ่อนแอด้วย เขาคงได้ใจ
“ฉันจะให้เธอเจอมันหลังจากที่ฉันจัดการเธอแล้วเรียบร้อย”
“คุณจะจัดการฉันยังไง”
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
ปิ้ว! เสียงพลุจากข้างนอกดังขึ้น ทำให้ทั้งสองคนพลันสายตาไปมองตามสัญชาตญาณ แต่ทว่านาร์มินกลับไวตัวทัน หญิงสาวแย่งปืนที่มาเฟียหนุ่มกำลังจ่อขมับตัวเองอยู่มาแล้วเล็งไปยังหน้ามาร์คิน
พรึ่บ!
“พาฉันไปเจอน้องชายของฉันเดี๋ยวนี้!” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงเข้มหนักแน่น ภายนอกดูกล้าหาญ ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับคนตรงหน้า
“รู้ไหมว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันสิ้นคิดมากแค่ไหน”
“ทุกคนย่อมมีวิธีเอาตัวรอดด้วยกันทั้งนั้น”
“หึ แต่วิธีเอาตัวรอดของเธอ…มันสิ้นคิดเกินไป”
นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเย้ยหยัน ไม่ได้รู้สึกกลัวในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่ตอนนี้แต่อย่างใด
“ฉันไม่สนใจว่ามันจะสิ้นคิดยังไง สิ่งเดียวที่ฉันสนใจตอนนี้ก็คือ…น้องชายของฉันอยู่ที่ไหน”
“แล้วถ้าฉันไม่บอกล่ะ?”
“อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้ายิงคุณ”
“งั้นก็ยิงเลยสิ” เขาท้าทายคนตรงหน้า แววตาเธอช่างสวนทางกับการกระทำโดยสิ้นเชิง
กลัวแต่กำลังทำใจดีสู้เสือ…
“อย่ามาท้าฉัน”
“หึ ฉันคนจริงพอ”
มาร์คินจับกระบอกปืนที่นาร์มินจ่อหน้าแนบลงกลางหน้าผาก การกระทำของมาเฟียหนุ่มสร้างความตกใจให้แก่หญิงสาวไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายดันปืนจ่อตัวเองเสียเอง
“ยิงฉันเลยสิ…” รอยยิ้มน่ากลัวของมาร์คินทำให้หญิงสาวเริ่มกลัว แม้ในมือกำลังถือปืน หากแต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยจากผู้ชายคนนี้ “รออะไรอยู่ล่ะ โอกาสมาถึงแล้วนะ”
ต่อให้เธอลั่นไกใส่เขา เธอก็ไม่มีทางรอดไปได้อย่างแน่นอน เพราะข้างนอกมีลูกน้องมาร์คินเฝ้าอยู่ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา เชื่อว่าเธอจะไม่มีทางรอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน
“ฉันแค่ต้องการให้คุณพาฉันไปเจอน้องชาย แล้วคุณทำบ้าอะไรของคุณ!” เธอพยายามดึงมือตัวเองออกจากกระบอกปืน ซึ่งมีมือของมาร์คินจับเอาไว้แน่น รอยยิ้มของเขามันทำให้เธอกลัวและขนลุกซู่
“ไหนบอกว่านี่เป็นวิธีเอาตัวรอดของเธอไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงพูดเหมือนไม่อยากเอาตัวรอดไปจากฉันแล้วล่ะ?”
“….”
“มือสั่นขนาดนี้ แสดงว่าเริ่มกลัวฉันแล้วใช่ไหม?”
เธอพูดอะไรไม่ออก ใช่ ยอมรับว่าเธอเริ่มกลัวมาร์คิน ภายนอกที่ดูดีและแสนเพอร์เฟกต์ของเขา ใครจะรู้ล่ะว่าข้างในจะซ่อนอีกหนึ่งตัวตนที่ไม่มีใครเคยรู้เอาไว้
“อ่อนหัด”
“อ๊ะ!” เธออุทานเสียงหลงเมื่อมาร์คินแย่งปืนในมือออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถูกเขากระชากแขนให้เดินตามไปจากตรงนี้ “ปะ…ปล่อยฉันนะคะคุณมาร์คิน! คุณจะพาฉันไปไหน!”
มาเฟียหนุ่มไม่ตอบคำถามของหญิงสาว มาร์คินลากคนตัวเล็กมายังห้องนอนที่เชื่อมติดกับห้องวีไอพี จากนั้นทำการผลักร่างบางลงไปบนเตียงนอนเต็มแรงโดยไม่ปรานี
ตุ้บ!
“โอ๊ย!” เธอร้องออกมาเสียงหลงอีกครั้ง แรงกระแทกจากมาร์คินทำให้เธอรู้สึกจุกตรงท้องและปวดร้าวตามร่างกาย แววตาพลันไปมองเขาที่ยืนปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำออกทีละเม็ดด้วยความกลัว “คะ…คิดจะทำอะไร”
“ชัดเจนขนาดนี้ยังต้องถามอีกเหรอ?”
“คุณจะบ้าไปแล้วเหรอ! ฉะ…ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ”
นาร์มินรวบรวมแรงที่มีลุกขึ้นจากเตียงนอนหวังจะหนี แต่ทว่ามาร์คินกลับไวกว่า แขนแกร่งคว้าเอวบางเอาไว้แล้วรั้งเข้ามาหา
“ปล่อยฉันนะคุณมาร์คิน!” เธอพยายามดิ้นออกจากพันธนาการของเขา นอกจากจะไม่เป็นผลแล้วยังเหนื่อยฟรีอีกต่างหาก
“ฉันจะปล่อยเธอไปก็ได้ แต่ชีวิตน้องเธอ…ฉันไม่ขอรับประกันความปลอดภัย”
“คุณมันเลวมากเลยรู้ตัวไหม”
“ที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้มันแค่เศษเสี้ยวความเลวของฉัน”
“….” เธอกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนมาสัมผัสหน้าอก ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มเข้าหากันอัตโนมัติ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายถึงเนื้อถึงตัวมากขนาดนี้
“ฉันเลวมากกว่าเธอที่คิด…เผื่อไม่รู้” ประโยคหลังเขาโน้มใบหน้าลงไปกระซิบลงข้างใบหู พลางเหยียดยิ้มมุมปาก “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันจะไม่ทำ นั่นก็คือเอาเปรียบผู้หญิง”
มาร์คินพูดแล้วปล่อยนาร์มินเป็นอิสระจากตัวเอง หญิงสาวถอยออกห่างมาเฟียหนุ่มตามสัญชาตญาณความกลัว
“ฉันจะไม่เอาเปรียบเธอ แต่ฉันจะทำให้เธอ…สมยอมด้วยความสมัครใจเอง”
“….”
“ฉันให้เวลาเธอถึงพรุ่งนี้ก่อนสองทุ่มครึ่ง ถ้าเธอไม่มาให้คำตอบตามเวลานัด รอรับศพน้องชายสุดที่รักได้เลย”
มาร์คินแสยะยิ้มน่ากลัว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องนอน ทิ้งให้นาร์มินยืนเคว้งทำอะไรไม่ถูกคนเดียว ดวงตากลมโตที่ตอนแรกไม่มีอะไร บัดนี้เริ่มมีน้ำตาไหลรินลงมาราวกับอัดอั้นเอาไว้มานาน
หลายอาทิตย์ต่อมา นาร์วินเดินจับมือแฟนสาวเข้ามายังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยมีพนักงานเดินนำทางไปยังโซนสำหรับวีไอพีที่มีครอบครัวณิดาคอยอยู่ ลูกค้าผู้หญิงภายในร้านไม่วายจะแอบชายตามองนาร์วินจนณิดาเริ่มมีอาการหึงหวงเธอเลือกที่จะเก็บอาการ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวง เธอเปลี่ยนจากจับมือมาเป็นคล้องแขนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“คราวหน้าอย่าแต่งตัวดูดีแบบนี้มาอีกนะคะ รู้ไหมว่าผู้หญิงมอง!” เธอกัดฟันพูดกับนาร์วินด้วยความไม่พอใจ เมื่อได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ จึงชักสายตาใส่ “ขำอะไรคะ”“หึงเหรอ?”“ลองมีผู้ชายมามองดาดูบ้าง พี่นาร์วินจะหึงไหมล่ะคะ”“หึง แต่หึงแบบเปิดเผย ไม่เก็บอาการเหมือนคนแถวนี้” เขาพูดพลางอมยิ้มไปด้วย วันนี้มาทานอาหารค่ำกับครอบครัวณิดา แม้เคยเจอครอบครัวเธอมาแล้วหลายครั้ง หากแต่นั่นเป็นการเจอในฐานะ ‘น้องชายของลูกสะใภ้’ ทว่าวันนี้เขามาในฐานะ ‘แฟนณิดา’ มันเลยทำให้รู้สึกคนละอย่างกันทั้งสองคนมาถึงห้องอาหารสำหรับวีไอพี โดยมีพ่อ แม่ พี่ชายณิดา และพี่สาวของเขานั่งคอยอยู่“เราสองคนไม่มาช้าเกินไปใช่ไหมคะ” ณิดาเอ่ยถามเพราะเกรงว่าตัวเองและนาร์วินจะทำให้ทุกคนรอ“พวกเราเพิ่งมาถึงก่อนแค่ห้
ณิดาเดินออกมาจากห้องนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อนและเสื้อกล้ามสีขาว สายตามองหาแฟนหนุ่ม ตอนตื่นขึ้นมาไม่เห็นเขานอนอยู่ข้างกายเลยคิดว่าคงอยู่ในห้องทำงานแกร๊กเธอเปิดประตูห้องทำงานนาร์วินออก ซึ่งเขากำลังนั่งทำงานอยู่จริงๆ ด้วย เธอเดินทอดน่องอ้อมไปข้างหลังแล้วใช้สองแขนโอบกอดเขา ไม่วายจะหอมแก้มหนึ่งฟอดฟอดด“ทำไมตื่นแล้วไม่ปลุกดาล่ะคะ”ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับไปจากแฟนหนุ่ม นาร์วินยังคงเอาแต่นั่งมองงานตัวเองโดยไม่สนใจแฟนสาว“ยังโกรธอยู่เหรอคะ?” เธอถามเมื่อเห็นเขาทำเมินเฉยใส่ ปกตินาร์วินไม่เคยโกรธเธอเลยสักครั้ง เมื่อคืนเธอคงดื้อมากจริงๆ ถึงทำเขาโกรธได้ขนาดนี้“ลองมาเป็นพี่ดูไหมล่ะ” เขาตอบณิดากลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เมื่อคืนณิดามีความผิดหลายกระทง นอกจากจะแอบหนีเที่ยวไม่บอกแล้วยังดื่มจนเมา มีผู้ชายเข้าหา ไหนจะปิดประตูห้องนอนเพื่อไม่ให้เขาเข้าไปลงโทษได้“ดาขอโทษ~ ให้อภัยดาได้ไหมคะ” เธอกระชับกอดเขาให้แน่นขึ้นพร้อมเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด “ดาแค่เหงาและอยากออกไปปลดปล่อยบ้าง พี่นาร์วินไม่อยู่ตั้งสามวัน ใครจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุขล่ะคะ”“นั่นไม่ใช่เหตุผล”“นี่แหละค่ะ
‘วันนี้ดาทำตัวไม่น่ารัก ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ เพราะฉะนั้นถ้าคืนนี้พี่ลงโทษดาหนักไปหน่อย ก็คงเข้าใจพี่นะ’ปัง!ทันทีที่มาถึงคอนโดนาร์วิน หญิงสาวก็รีบวิ่งแจ้นไปห้องนอนแล้วทำการล็อกประตูเพื่อไม่ให้แฟนหนุ่มเข้ามาลงโทษตัวเองได้“เปิดประตูณิดา” เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วบอกณิดาเสียงเข้ม วันนี้แฟนของเขาทำตัวไม่น่ารักจริงๆ ทั้งแอบหนีเที่ยว ดื่มจนเมา มิหนำซ้ำยังปิดประตูเพื่อไม่ให้เขาทำโทษเธอได้แต่ณิดาคงลืมไปว่าเขามีกุญแจสำรอง…แค่อยากลองเชิงณิดาดู ว่าจะยอมเปิดประตูให้เขาหรือเปล่า ถ้าหากเธอไม่ยอมเปิดประตูให้เขาดีๆ คืนนี้คงได้คุยกันยาวจนถึงเช้า“ไม่เปิด คืนนี้พี่นาร์วินนอนข้างนอกไปเลย”“คิดดีแล้วใช่ไหมที่ดื้อกับพี่?”“ดาจะนอนแล้ว ฝันดีนะคะ”“ชอบท้าทายพี่นักใช่ไหม? ก็ได้”ณิดาไม่สนใจประโยคนั้นของนาร์วิน ตวัดเท้าเล็กทั้งสองตรงไปยังเตียงนอน ไม่ทันจะเดินถึงเตียง ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามา ทำให้คนตัวเล็กหมุนตัวกลับไปมองแกร๊ก“พะ…พี่นาร์วิน” เธอมองนาร์วินซึ่งกำลังเดินตรงมาหาด้วยท่าทางนิ่งๆ แววตาคมเข้มไร้อารมณ์ไม่สามารถทำให้เธอเดาความคิดในหัวเขาตอนนี้ได้ นาร์วินคงไม่พอใจมากที่เธอดื้อใส่“ไหนเมื่อกี
“แหมม ผัวไม่อยู่หนูร่าเริงทันทีเลยนะ”ยิหวามองเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังลุกขึ้นยืนโยกไปมาตามจังหวะเสียงเพลงโดยมีเครื่องดื่มในมือ ใบหน้าณิดาแดงก่ำเพราะพิษแอลกอฮอล์ แต่คงยังไม่เมาเท่าไร วันนี้ณิดาโทรชวนเพื่อนทุกคนออกมาดื่มเพราะนาร์วินบินไปมาเก๊าเมื่อวาน เมื่อคืนณิดาโทรมาแล้วร้องไห้ ยอมรับว่าเพิ่งเคยเห็นณิดาในโหมดนี้ ปกติจะเป็นตัวเองที่โทรไประบายและร้องไห้ ผิดกับตอนนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรทำให้ณิดากลายมาเป็นเหมือนตัวเองในวันนี้“พวกแกจะนั่งมองฉันทำไม ลุกมาเต้นด้วยกันเร็ว” ณิดาเข้าไปดึงแขนเพื่อนเพื่อให้ลุกขึ้นมาเต้นด้วยกัน“ทำไมวันนี้แกดีดจังณิดา ปกติจะนั่งเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ตรงที่แกยืนเต้นควรเป็นของพวกฉันไหม” นัตตี้ หนึ่งในเพื่อนในของกลุ่มของณิดาเอ่ยพูด“ฉันเต้นไม่ได้เหรอ?” เธอถามนัตตี้ พูดจบก็ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาดื่ม เริ่มเลื่อยร่างกายไปตามเพลงจังหวะEDMภายในไนต์คลับชื่อดัง พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกดีเหมือนกัน คืนแรกที่นาร์วินไม่อยู่ ยอมรับว่าเหงาและเศร้ามากปกติทุกคืนจะมีเขานอนอยู่ข้างกายตื่นเช้ามาก็เจอ พอเขาบินไปมาเก๊าทุกอย่างก็ดูเหมือนมีบางอย่างขาดหาย สามวันมันอาจจะเร็ว แต่สำหรับเธอ
หลายอาทิตย์ต่อมา หมับฟอดดณิดาเดินเข้าไปสวมกอดแฟนหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานจากข้างหลังแล้วหอมแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ ทำให้นาร์วินละสายตาจากงานแล้วเอียงใบหน้าไปหาคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม“ดาซื้อชาเย็นมาฝาก” เธอวางชาเย็นที่ซื้อมาให้นาร์วินลงโต๊ะทำงานของเขา “กินข้าวเที่ยงรึยังคะ?”“ยังไม่มีเวลาว่างทำอะไรเลย”“ทำไมทำงานหนักขนาดนี้คะ พักบ้างก็ได้” เธอพูดยิหวาเคยบอกว่าเตทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ จำได้ว่าตอนนั้นบอกให้ยิหวาเข้าใจเต แต่พอเจอกับตัวถึงเข้าใจความรู้สึกของยิหวา วันก่อนนาร์วินและเธอนัดไปทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่เขาดันมีนัดสำคัญกับนักธุรกิจจนต้องโทรมาบอกเธอว่าคงไม่ได้ไปทานข้าวเย็นด้วย ทั้งที่เธอแต่งตัวรอเขาแล้ว กลับต้องจำใจบอกว่า ไม่เป็นไร ทั้งที่ในใจแอบน้อยใจเขา เธอไม่อยากงี่เง่ากับนาร์วินจึงพยายามเข้าใจเขาให้มากๆกลัวใจตัวเองเหมือนกัน กลัวว่าสักวันจะเผลองี่เง่่กับเขา บางที…นี่อาจเป็นบททดสอบความรักระหว่างนาร์วินและเธอก็ได้“พี่ก็อยากพักนะ แต่ช่วงที่พี่เข้าโรงพยาบาลทำให้ต้องพักงานเอาไว้ พอหายดีแล้วก็ต้องกลับมาลุยงานที่พักเอาไว้ มีทั้งงานใหม่และงานเก่าที่เข้ามาพร้อมกัน”“มีอะไรให้ดาช่วยบอกได้นะคะ”
“ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะวิน” เสียงคนเป็นแม่เอ่ยกับลูกชายพลางลูบศีรษะนาร์วินด้วยความรักปนเป็นห่วงในเวลาเดียวกันวันแรกที่รู้ข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ช่วงเวลานั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว จำได้ว่าสวดมนตร์และขอพรให้นาร์วินรอดพ้นจากอันตรายทุกคืน พอได้ยินข่าวว่าลูกชายฟื้นแล้วก็รู้สึกโล่งใจ“แม่เป็นห่วงวินมากเลยรู้ไหม กินไม่ได้นอนไม่หลับมาตั้งแต่วันที่วินเกิดอุบัติเหตุ” คนเป็นพ่อพูดนาร์วินหันหน้าไปมองแม่ ก่อนจะยิ้มแล้วสวมกอด แม้ทั้งสองคนไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่พวกท่านทั้งสองก็รักและให้ความอบอุ่นกับตนไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ คนหนึ่ง แม้ครอบครัวที่แท้จริงจะจากไป แต่ยังโชคดีที่มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้รับมาดูแลและเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนโตถึงป่านนี้“รักแม่กับพ่อมากนะครับ”“วันนี้พบเด็กขี้อ้อนหนึ่งอัตรา” คนเป็นแม่เอ่ยแซว ก่อนจะหันไปยิ้มกับสามีและลูกสาวคนโต“รักแค่พ่อกับแม่ แต่ไม่รักพี่สาวตัวเองเหรอ?”นาร์วินหรี่ตามองพี่สาวซึ่งยืนกอดอกมองอยู่ตรงปลายเตียง“พี่คินเขาไม่รักเหรอถึงมาขอความรักจากน้องชายตัวเอง”“เอ๊ะ! ไอ้น้องบ้านี่! เดี๋ยวก็ตีให้แขนหักอีกข้างเลย” นาร์มินตั้งท่าเข้