ตอนที่2
สองอาทิตย์ต่อมา … ซ่าส์… เสียงสายน้ำจากฝักบัวที่ไหลลงมาชโลมกาย ความเย็นของสายน้ำช่วยทำให้ร่างกายของเด็กสาวรู้สึกสดชื่นหลังจากตื่นนอนได้เป็นอย่างดี ลูกหว้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจะออกไปหาสมัครงาน เธอกับเพื่อนตั้งใจว่าจะเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย “เสร็จรึยังกฐิน?” ลูกหว้าเอ่ยถามเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอขึ้น “เสร็จแล้วจ้า งั้นเรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะสายซะก่อน” กฐินตอบพร้อมกับสะพายกระเป๋าใบเล็กและตั้งท่าจะเดินออกไปด้านนอก แต่ในระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของลูกหว้าก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเอาซะก่อน ครืดดด ครืดดด ~~ “ใครโทรไลน์มา ไม่คุ้นเลย” ลูกหว้าบ่นอุบอิบขึ้นมาเบาๆ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเป็นปมด้วยความงุนงง “ใครโทรมาเหรอหว้า” กฐินถามขึ้น “ไม่รู้เหมือนกัน ภาพโปรไฟล์ก็ไม่มี” ลูกหว้าตอบเพื่อนสนิทไปพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด ก่อนนิ้วเรียวสวยจะกดรับคนปลายสาย ลูกหว้า : (ฮัลโหลสวัสดีค่ะ) เจได : (สวัสดีครับน้องลูกหว้า ไม่ทราบว่าจำผมได้ไหมครับ) ลูกหว้า : (จำไม่ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าใครเหรอคะ?) ลูกหว้าถามไปพร้อมทำหน้างงๆรอฟังคำตอบจากคนปลายสาย เจได : (ผมคือคนที่พาคุณกับเพื่อนของคุณไปอาคารรับสมัครเรียนวันนั้นไงครับ พอจะจำได้ไหม?) เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ลูกหว้า : (อ่อ จำได้แล้วค่ะ คุณคนนั้นนี่เอง ว่าแต่คุณโทรมาหาหนูไม่ทราบว่ามีอะไรรึเปล่าคะ พอดีหนูกับเพื่อนกำลังจะออกไปหาสมัครงานค่ะเดี๋ยวจะสายเอาซะก่อน) เจได : (ไปสมัครงานที่ไหนครับ มีที่ที่สนใจและดูๆไว้รึยัง?) ลูกหว้า : (เอ่อ ยะ ยังไม่มีเลยค่ะ คงจะค่อยๆดูไปเผื่อมีที่ไหนน่าสนใจค่อยเข้าไปสอบถามค่ะ) เจได : (งั้นเอางี้ไหม เธอกับเพื่อนไม่ต้องไปหาสมัครงานที่ไหนให้เหนื่อยหรอก มาทำที่บริษัทผมก็ได้ตอนนี้กำลังต้องการพนักงานเพิ่มพอดีเลย มีตำแหน่งว่างหลายตำแหน่ง เธอกับเพื่อนน่าจะทำงานนี้ได้) ลูกหว้า : (เอ่อ คือว่า…ไม่ดีกว่าค่ะ คือหนูเกรงใจ ความรู้พวกเราก็แค่จบม.ปลายเอง อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันด้วย เผื่อพวกหนูทำงานออกมาได้ไม่ดี กลัวจะทำให้คุณเดือดร้อนและขายหน้าเปล่าๆค่ะ) เจได : (ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ใครๆก็สามารถเรียนรู้กันได้) ลูกหว้า : (ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มีน้ำใจกับหนูและเพื่อน ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันนะคะพอดีหนูต้องไปแล้วค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะสวัสดีค่ะ) ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ดด ~~~~ ลูกหว้ารีบกดวางสายทันที มือเรียวสวยยกขึ้นมาทาบอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างรู้สึกโล่งๆ “เฮ้อออ..” “เป็นอะไรของแกเนี่ย ว่าแต่…ใครโทรมาเหรอ แล้วเมื่อกี้เขาว่าอะไรยังไงบ้าง ชวนไปทำงานอะไรที่ไหน ยังไงบอกมา !!” กฐินซึ่งนั่งฟังเพื่อนคุยโทรศัพท์และพยายามจับใจความเรื่องที่เพื่อนคุยกับคนปลายสายเมื่อสักครู่ ได้พูดจี้ถามเอาคำตอบจากลูกหว้าเพื่อนสาวคนสนิท “ก็พี่คนที่เราเจอที่มหาลัยวันที่เราจะไปสมัครเรียนวันนั้นไง เขาโทรมาและชวนพวกเราไปทำงานที่บริษัทของเขา” “ห๊ะ!!! ว่าไงนะ เขาชวนเราไปทำงานที่บริษัทองเขา” น้ำเสียงตกใจเอ่ยขึ้น “อืม” ลูกหว้าตอบเพียงสั้นๆ “แล้วแกตกลงรึเปล่าล่ะ” กฐินถามเพื่อนอีกครั้งพลางลุ้นเอาคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “เปล่า ใครจะกล้าไปตกลงละแก เราไม่ได้รู้จักอะไรเขาเลยนะ” “โอ้ยยย น่าเสียอายอ่ะแก ทำไมไม่ตอบตกลงไปเลยล่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาเดินเร่หางานเอง มีคนหางานให้ดีจะตายไป” กฐินพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ “เอาน่า เราเดินหาเองก็ได้ไหมงานออกจะเยอะแยะ แป้บเดียวก็คงได้งานที่เราถูกใจและถนัดเองแหละ” “กว่าจะได้คงเดินหาจนเมาแดดตายกันพอดี แกดูแดดบ้านเราสิอย่างกับเดินอยู่ในนรก” กฐินพูดไปบ่นไป ก่อนสองสาวจะพากันมุ่งหน้าไปหาสมัครงาน… ~~ทานด้านของเจได~~ “ท่าทางนายน้อยจะสนใจเด็กคนนี้เป็นพิเศษนะครับ” พยัคฆ์ลูกน้องคนสนิทของเจไดพูดขึ้นหลังจากเจ้านายหนุ่มสุดหล่อของเขาคุยโทรศัพท์จบ “อืม เธอดูน่าสนใจดี ยิ่งเธอทำเป็นไม่สนใจกูมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้กูสนใจในตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น” “นายน้อยจะให้ผมจัดการเธอยังไงต่อดีครับ?” ลูกน้องคนสนิทเอ่ยถามผู้เป็นเจ้านายขึ้นมาอีกครั้ง “สะกดรอยตามเธอว่าเธอไปไหน ทำอะไร และสมัครงานที่ไหนบ้าง เธอพักอยู่หอพักอารีข้างห้างสรรพสินค้าXX แล้วก็อย่าให้เธอรู้ตัวล่ะ” “ครับนายน้อย” พยัคฆ์รับคำสั่งของเจ้านายและรีบไปดำเนินการตามที่นายสั่งทันที พยัคฆ์ถือว่าเป็นลูกน้องมือขวาคนสนิทของเจไดที่สามารถตายแทนเจ้านายได้ เขารับใช้เจไดมานานและคอยดูแลทุกอย่างแทนเจได เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายของเจไดเลยก็ว่าได้ เสี่ยงตายแทนผู้เป็นเจ้านายมาหลายครั้งต่อหลายครั้ง เพราะธุรกิจของเจไดนอกจากจะมีธุรกิจสีขาวแล้วเขายังมีธุรกิจสีเทาอีกมากมายที่ต้องดูแลและรับผิดชอบแทนพ่อของเขา เพราะฉะนั้นชีวิตของเจไดก็อยู่บนความเสี่ยงจากศัตรูตลอดเวลาเช่นกัน ครืด ครืด ครืด~~~ เสียงโทรศัพท์มือถือของเจไดดังขึ้น เจได : (เออ ว่าไง?) คีย์ : (อะไรวะ กลับไทยมาสองอาทิตย์ละมึงแม่งไม่คิดจะโทรหาเพื่อนหรือนัดเจอเพื่อนบ้างเลยรึไง) เจได : (ก็กำลังจะโทรแต่มึงดันเสือกโทรมาก่อนทำไมละ) คีย์ : (อ้าวไอ้เวรนี่ ปากหมาไม่เคยเปลี่ยนเลยนะมึง ว่าแต่…ออกมาเจอกันหน่อยไหมคืนนี้กูโทรชวนไอ้อาชาล้ะมันบอกให้กูโทรมาชวนมึงอีกที) เจได : (ก็เอาดิ เบื่อๆอยู่เหมือนกันช่วงนี้) คีย์ : (งั้นก็ตามนี้ที่เก่าเวลาเดิม กูจัดเตรียมเด็กๆสาวๆสวยๆสะบึ้มๆไว้รอมึงสามสี่คนล่ะ เด็ดๆทั้งนั้น) เจได : (หึ รู้ใจกูอีก แล้วนี่กูต้องขอบใจมึงไหม) คีย์ : (ถ้าเห็นสาวๆพวกนั้นรับรองมึงต้องขอบใจกูแน่ๆไอ้เกลอ) เจได : (เออ!! ไว้เจอกัน) ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด… พูดจบเจไดก็กดวางสายทันทีในขณะที่คนโทรมายังพูดไม่จบ “ไอ้เวรนี่กูยังพูดไม่จบเลยกดตัดสายกูซะงั้น” คีตภัทรบ่นพึมพำเบาๆคนเดียว ลูกหว้าและกฐินได้ตระเวนเดินหาสมัครงาน จนมาจบที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยและหอพักมากนัก ลูกหว้าและกฐินมาสมัครเป็นพนักงานที่ร้านคาเฟ่แห่งนี้ สองสาวต่างตื่นเต้นดีใจที่ได้งานทำและสามารถเริ่มทำงานได้ในวันพรุ่งนี้ “ดีใจจังกฐินเราได้งานทำกันแล้ว เห็นไหมล่ะว่าเราเดินหางานกันเองแป๊บเดียวก็อาจจะได้งานที่เราถูกใจก็ได้” ลูกหว้าเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นก่อนจะฉีกร้อยยิ้มหวานออกมาด้วยความดีใจ “แหม…แต่ถึงยังไงฉันก็ยังอยากจะเป็นสาวออฟฟิศอยู่นะลูกหว้า นั่งทำงานในห้องแอร์ แต่งตัวสวยๆมาทำงานทุกวันเผลอๆมีหนุ่มหล่อๆในออฟฟิศมาสนใจในความสวยของฉัน อร๊ายยย แค่คิดก็ฟินแล้วแก” กฐินทำท่าทางชวนฝันไปไกลถึงหนุ่มหล่อๆ แค่ได้มโนเธอก็มีความสุขแล้ว “พอๆๆ ไปกันกันใหญ่แล้วแก” ลูกหว้าพูดตัดบทขึ้นก่อนเพื่อนสาวจะมโนไปไกลแสนไกลถึงดาวอังคาร “น้องลูกหว้าครับ”!! ผู้จัดการหนุ่มรูปหล่อผู้เป็นเจ้าของร้านคาเฟ่แห่งนี้ได้เอ่ยเรียกชื่อเธอขึ้น “คะ ผู้จัดการมีอะไรรึเปล่าคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยตอบรับด้วยความงุนงง แววตาใสซื่อจ้องมองผู้จัดการร้านเพื่อรอฟังคำตอบ “ไม่ต้องเรียกผู้จัดการซะเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ เรียกว่าพี่บิ๊กเฉยๆก็ได้นะ” “มันจะดีเหรอคะ พี่ๆคนอื่นก็เรียกว่าผู้จัดการกันหมด” ลูกหว้าพูดขึ้นพลางยิ้มแหยๆส่งให้ “แหม…ผู้จัดการ ทำไมพี่ๆคนอื่นถึงเรียกผู้จัดการว่าผู้จัดการ แต่กับเพื่อนของกฐินทำไมถึงต้องให้เรียกว่าพี่บิ๊กล่ะคะ” กฐินพูดแทรกขึ้นมาอย่างยียวน “ก็ให้เรียกพี่บิ๊กกันหมดทุกคนนั่นแหละ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับลูกหว้าคนเดียวหรอก แหม” ผู้จัดการหนุ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอายเมื่อมีคนรู้ทันความคิดของเขา “ว่าแต่ผู้จัดการ เอ่อ...พี่บิ๊ก เมื่อกี้มีอะไรจะพูดกับหว้าเหรอคะ??” ลูกหว้าเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “อ่อ พอดีพี่กับน้องๆในร้านคุยกันแล้วว่าจะพาพนักงานใหม่ของที่นี่ไปเลี้ยงฉลองต้อนรับพนักงานใหม่กันคืนนี้” “ห๊ะ!! อะไรนะคะ เลี้ยงฉลองหรอคะ แบบนี้ก็ดีเลยสิคะเพราะกฐินพร้อมมาก!!” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเอ่ยขึ้นอย่างออกหน้าออกตาที่ค่ำคืนนี้เธอจะได้มีโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาท่ามกลางแสงสีเสียงในเมืองที่เขาว่ากันว่าไม่เคยหลับใหล “ดีใจน้อยๆหน่อยก็ได้กฐิน” ลูกหว้าเอ่ยกระซิบกระซาบเบาๆพลางสะกิดแขนเพื่อน “นานๆทีจะมีโอกาสแบบนี้นะแก ฉันก็ต้องตื่นเต้นดีใจเป็นธรรมดาไหม ลาบปากแล้วโว้ยคืนนี้” กฐินพูดขึ้นอีกครั้งจนทุกคนต่างหัวเราะให้กับท่าทางดีใจเกินเบอร์ของเธอ “เอาล่ะๆๆ งั้นทุกคนไปเก็บของแล้วก็เตรียมตัวไปฉลองต้อนรับน้องใหม่ประจำคาเฟ่ของเรากันได้เลย…” “เย้ เย้ๆๆๆ”ตอนที่50 สามเดือนต่อมา… งานแต่งงานได้ถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมฐานะของตระกูล งานแต่งครั้งนี้จัดขึ้นที่โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่สามารถรองรับแขกที่มาร่วมงานได้จำนวนมาก งานแต่งในครั้งนี้ต่างมีแขกมาร่วมงานทั้งแวดวงธุรกิจสีขาวและธุรกิจสีเทาที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม รวมทั้งเพื่อนสนิทที่จะพลาดงานสำคัญแบบนี้ไม่ได้ก็คืออาชา คีตภัทร กฐินและเพื่อนร่วมงานร้านคาเฟ่ นอกจากนั้นยังมีบิ๊กเอ็มผู้จัดการหนุ่มรูปหล่อหน้าตี๋ที่มาร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ด้วย ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยกินเส้นกับเจ้าบ่าวป้ายแดงสักเท่าไหร่ก็ตาม กว่างานในช่วงเย็นจะเสร็จก็ทำเอาเจ้าบ่าวเจ้าสาวป้ายแดงเหนื่อยหอบกันเลยทีเดียว เนื่องจากคอยต้อนรับแขกเหรื่อในงานตั้งแต่เช้า และกว่าจะเสร็จพิธีแต่ละขั้นตอนจนถึงช่วงส่งตัวเข้าหอก็ทำเอาเจ้าบ่าวเจ้าสาวแทบจะหมดเรี่ยวแรง หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จสรรพแล้ว เจไดจ้องมองภรรยาสาวที่กำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกใบโตด้วยสายตาอ่อนโยน เขามีความสุขและมันยิ่งกว่าคำว่าความสุขด้วยซ้ำที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าสำคัญสำหรับเขามากเพียงใด แต่เขารู้เพี
ตอนที่ 49 ~1 เดือนผ่านไป~ ตอนนี้ลูกหว้ามีอายุครรภ์เข้าเดือนที่แปดแล้ว ทุกคนในครอบครัวต่างนับวันรอที่จะได้เจอหน้าทายาทคนแรกของตระกูลกันอย่างตื่นเต้น “ในที่สุดวันนี้เราก็ได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในขณะที่เจไดกับลูกหว้าถือทะเบียนสมรสเดินออกมาจากสำนักงานเขตใกล้ๆบ้านด้วยใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มสดใสอย่างมีความสุข โดยมีแม่ของลูกหว้ามาเซ็นยินยอมให้เพราะเธอยังอายุไม่ครบ20ปีบริบูรณ์ นอกจากนั้นยังมีอาชาและคีตภัทรเพื่อนสนิทมาเป็นพยานให้เช่นกัน “นาง นริศรา ศิริพงษ์ไพบูลย์ หนูเหมือนคนแก่จังเลยค่ะ” ลูกหว้าอ่านชื่อและนามสกุลของตัวเองที่ปรากฏอยู่ในทะเบียนสมรสขึ้นมาอย่างไม่คุ้นชินกับคำนำหน้าชื่อสักเท่าไหร่ “สักวันก็ต้องแก่เหมือนแม่อยู่แล้วลูก” แม่ของลูกหว้าพูดขึ้นพลางเอามือลูบศีรษะลูกสาวเบาๆด้วยความรักและเอ็นดู “ไม่เห็นแก่ตรงไหนเลยครับ มีลูกมีผัวแล้วก็ต้องใช้คำนำหน้าว่านางแหละถูกต้องแล้ว จะให้ใช้นางสาวเหมือนเดิมได้ยังไงครับ ที่สำคัญจะแก่หรือไม่แก่พี่ก็รักเธอคนเดียวเหมือนเดิม และมีจะแต่รักเพิ่มมากขึ้นทุกวันทุกวัน” เสียงทุ้มเอ่ยคำหวานออกมาด้วยค
ตอนที่48 หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้วทั้งสองจึงขึ้นไปนอนบนห้อง ลูกหว้ายอมให้พ่อของลูกย้ายขึ้นมานอนบนห้องของเธอได้ เพราะถึงยังไงเขาก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการกอด “เดี๋ยวคุณไปอาบน้ำก่อนเลยนะคะ หนูว่าจะพับเสื้อผ้าจัดเข้าตู้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปอาบค่ะ” “มาครับเดี๋ยวพี่ช่วยจะได้เสร็จเร็วๆ แล้วเราค่อยไปอาบน้ำด้วยกัน” เขาพูดพลางยกยิ้มมุมปากเบาๆ แน่นอนว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างเขาคงไม่ใช่แค่จะอาบน้ำกับเธออย่างเดียวแน่ๆ อีกทั้งสรรพนามที่เขาเปลี่ยนมาพูดแทนตัวเองว่าพี่เหมือนเดิมนั่นอีก มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเธอและเขาไม่ได้ดูห่างเหินเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว “หนูรู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรไม่ดีกับหนู” เธอพูดขึ้นอย่างรู้ทันในความเจ้าเล่ห์ของเขา เพราะคนอย่างเขาหื่นแค่ไหนเธอเคยเจอมาหมดแล้ว “สำหรับเธอพี่คิดแต่เรื่องดีๆทั้งนั้นแหละ” เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างยียวนประกอบกับสายตากรุ้มกริ่มแพรวพราวที่ส่งมาหาเธออย่างยั่วยวน ก่อนจะหันมาช่วยคนตัวเล็กพับเสื้อผ้าจนเสร็จ ซ่าส์…. เสียงสายน้ำจากฝักบัวรินรดลงมาไม่ขาดสายชโลมสองร่างเปลือยเปล่าที่โอบกอดเคล้าเคลียกันอย่างชุ่ม
ตอนที่47 “เธอจะเกลียดฉันมากแค่ไหนก็ได้นะลูกหว้า แต่ฉันขออย่างเดียว…อย่าไล่ให้ฉันไปไหนเลยนะ ขอแค่ให้ฉันได้อยู่ข้างๆเธอ ได้ดูแลเธอกับลูกของเรา เธออย่าผลักไสฉันให้ออกไปจากชีวิตเธอเลย เพราะฉันเองคงไปไหนไม่ได้ถ้าที่ที่ฉันจะไปมันไม่มีเธอไปกับฉันด้วย..” “……” “เธอจะให้ฉันก้มลงกราบเธอก็ได้ถ้ามันจะทำให้เธอให้อภัยและให้โอกาสคนเลวๆอย่างฉันได้มีโอกาสได้แก้ตัวอีกสักครั้ง...” พูดจบสองขาแกร่งก็ทรุดลงนั่งคุกเข่าลงไปกับพื้น ก่อนจะพนมมือหนาทั้งสองข้างขึ้นมาและโน้มตัวลงตั้งท่าจะก้มลงกราบเธอ สองมือเรียวสวยรีบคว้ามือหนาของเขาเอาไว้แน่นก่อนที่เขาจะก้มลงกราบเธอซะก่อน ลูกหว้าเองเมื่อเห็นคนตัวโตกระทำเช่นนั้นเธอก็รู้สึกตกใจมาก จนต้องรีบห้ามไว้ก่อนที่คนอย่างเขาจะทำอะไรแบบนี้กับเธอจริงๆ “คุณจะทำอะไรคะ คุณจะลดเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวคุณเองมาทำแบบนี้ไม่ได้นะ” เธอเอ่ยขึ้นมาเสียงสั่น น้ำตาหยดใสๆที่พยายามสะกัดกลั้นเอาไว้หลายครั้งต่างไหลลงมาอาบแก้ม ผู้ชายที่ตัวเธอเองนั้นคิดและบอกกับตัวเองมาตลอดว่าเกลียดเขาที่สุดกำลังจะยอมลดเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อเธอ ซึ
ตอนที่46 สองอาทิตย์ผ่านไป… อึก โอ้กก อ้ากก!! แค่ก แค่ก!! “เมื่อไหร่จะหายสักทีวะไอ้อาการแฮงค์เหล้าเนี่ย เมื่อคืนก็ไม่ได้ดื่มสักหน่อยตอนเช้าก็ยังต้องตื่นมาอ้วกอีก” เขาสบถออกมาเบาๆคนเดียว นอกจากเขาจะต้องตื่นมาอาเจียนในกลางดึกเพราะอาการพะอืดพะอมและเวียนหัว ตอนนี้อาการของเขากลับเริ่มหนักขึ้นจนต้องตื่นมาอาเจียนในทุกๆเช้าอีกด้วย อาจจะเป็นเพราะหลายเดือนที่ผ่านมาเขาดื่มหนักเกินไปก็เลยเกิดผลข้างเคียงตามมาทีหลัง “คุณเจจะรับกาแฟไหมคะ” สมปองถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่ดูซีดเซียวเหมือนคนนอนไม่อิ่ม “ไม่ล่ะ ฉันไม่ถูกกับกาแฟมาสักพักแล้ว ได้กลิ่นแล้วจะอ้วก! ขอเป็นชามะนาวแล้วกัน” “ได้ค่ะ” สมปองได้แต่ตอบรับอย่างงุนงงเพราะปกติเมื่อตอนอยู่ที่บ้านก็เห็นเจ้านายหนุ่มทานกาแฟในทุกเช้า มาคราวนี้บอกจะอ้วกทำอย่างกะคนกำลังแพ้ท้องแทนเมียซะอย่างนั้น สมปองได้แต่พูดคนเดียวในใจ หลังจากที่เขาได้จิบชามะนาวแล้วจึงค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย ก่อนคนตัวสูงจะลุกขึ้นเดินไปทำหน้าที่รดน้ำต้นไม้ดอกไม้แทนลูกหว้า เพราะถ้าปล่อยให้เธอมาทำเอง
ตอนที่45 หนูหว้าดูแลตัวเองและตาหนูของย่าด้วยนะลูก เดี๋ยวเดือนหน้าแม่กับคุณพ่อจะมาเยี่ยมใหม่” “ค่ะคุณแม่ เดินทางกลับปลอดภัยนะคะ” คุณหญิงสุดารัตน์โอบกอดว่าที่ลูกสะใภ้อย่างรักใคร่ก่อนจะหันไปกำชับลูกชายหัวดื้อ “ดูแลหนูหว้ากับหลานแม่ให้ดีๆละตาเจ” “ครับคุณแม่” “ส่วนเรื่องงานบ้านพวกแกห้ามช่วยลูกชายฉันนะสมปอง ประหยัด!” “ค่ะ/ครับ คุณผู้หญิง” “เฮ้อ! ทีเรื่องนี้ล่ะไม่ลืม” เจไดได้แต่บ่นเบาๆให้กับผู้เป็นแม่ ก่อนท่านมานพ คุณหญิงสุดารัตน์และจินตะลูกชายคนเล็กจะเดินทางกลับกรุงเทพ ตอนนี้จะเหลือก็แค่เจได ลูกหว้า และสมปองกับตาประหยัดที่คอยดูแลลูกหว้าอยู่ที่บ้านหลังนี้ “ฉันก็คงจะช่วยแกได้เท่านี้ล่ะนะตาเจ ที่เหลือแกก็ต้องช่วยตัวเองแล้วล่ะ” คุณหญิงได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆเมื่อขึ้นมาอยู่บนรถแล้ว ถึงแม้เจไดจะทำผิดอย่างเกินที่จะให้อภัยได้ แต่คุณหญิงเองยังอยากจะให้หลานเกิดมามีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูก หวังว่าลูกชายหัวดื้อของเธอจะไม่ทำให้คำว่าครอบครัวพังเป็นครั้งที่สองอีก “เย็นนี้คุณหว้าอยากจะทานอะไรคะเดี๋ยวสมปองจะทำให้ทานค่ะ” “อืม อยากกินอาหาร