“ถ้าทำถนนตัดผ่านเส้นทางนี้ เราจะใช้เวลาน้อยลงกว่าเส้นทางเก่าที่ชาวดอยถากถางกันเองถึงสองชั่วโมงครับ” ในห้องประชุมใหญ่ แทนไทกำลังอธิบายตามสไลด์งานบนหน้าจอโปรเจกเตอร์ท่ามกลางสายตานับยี่สิบคู่ที่มองมา
“แต่มันต้องตัดผ่านป่าและกินพื้นที่อุทยานนะ” หัวหน้าทีมทรัพยากรป่าไม้เอ่ยทักท้วง
“มันก็จริงครับ แต่ระยะทางที่ล้ำอุทยานมันไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรนะครับท่าน”
“คุณคิดว่าไอ้คำว่าแค่นั้นน่ะ สำหรับอุทยานมันไม่มากเหรอ คุณต้องคิดด้วยว่าการทำถนนของคุณมันจะรบกวนสัตว์ป่าที่เราอนุรักษ์ไว้ไหมและหลังสร้างเสร็จจะยังไงต่อ” ทีมทรัพยากรคัดค้านหัวชนฝา
“ครับผมรู้ แต่เราอยู่ร่วมกันได้นี่ครับ ทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า ท่านครับถนนเส้นนี้สามารถช่วยคนแก่คนป่วยบนดอยให้เดินทางมาถึงโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น ท่านรู้ไหมครับว่าบนดอยนั้น ผู้หญิงยังต้องคลอดกับหมอตำแยเพราะกลัวเด็กจะคลอดกลางทาง คนป่วยเองก็ใช้สมุนไพรป่ารักษาตัวเอง” แทนไทพยายามโน้มน้าวคนในห้องประชุม
“แล้วคนเหล่านั้นมีกี่คนที่มีสัญชาติไทย” คนจากกรมการปกครองเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“...” แทนไทถึงกับพูดไม่ออก เหตุผลที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นมนุษย์และภาษีของประชาชนคนไทย ซึ่งมักเป็นความยุ่งยากอยู่เสมอ
“เอางี้แล้วกัน คุณกลับขึ้นไปสำรวจให้ละเอียดอีกทีก่อนเสนอแผนแม่บทสุดท้ายประจำปีนี้ คุณยังมีเวลาอยู่” ผู้อำนวยการทีมสำรวจเอ่ยพลางส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้แทนไท เขาไม่ต้องการหักหน้าลูกน้องที่มีผลงานโดดเด่นคนนี้เพราะความสำเร็จของทีมก็คือเงินเดือนและการเลื่อนขั้นของเขาในอนาคต
“ครับ” แทนไทตอบรับการช่วยเหลือของผู้ใหญ่พลางคิดว่าต้องทำทุกอย่างให้ละเอียดและโน้มน้าวคนในระบบราชการให้สำเร็จ
อาทิตย์ถัดมาแทนไทก็โยนกระเป๋าสัมภาระใส่ท้ายรถจีพคันใหญ่พร้อมทีมสำรวจ ปัญหาเดียวของชายหนุ่มคือเขาไม่ถูกโรคกับการโยกไปโยกมาบนเส้นทางขึ้นดอยที่ชาวบ้านถากถางเอง ร่องดินตามถนนนอกจากกินลึกลงจนเกือบมิดล้อแล้วยังไม่สม่ำเสมอ มีบางครั้งที่เขาขอลงเดินเองเพราะเวียนหัวคลื่นไส้
“เย้ อาแทนมาอีกแล้ว” เสียงร้องหนึ่งคนนำพาเด็กนับสิบรวมถึงคนโตอีกจำนวนหนึ่งเข้ามามุงรอบรถจีพ
“สวัสดีตัวเล็ก มาเข้าแถวเร็ว” แทนไทเปิดท้ายรถจีพหยิบถุงขนมที่ซื้อมาจากในเมืองมาแจกเด็ก ๆ ทีละคน เมื่อแจกจ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงขอปลีกตัวไปพบผู้ใหญ่บ้าน
ประเด็นสำคัญถูกหยิบยกมาคุยกันอย่างไม่ปิดบัง ทำให้แทนไททราบว่าครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านคือคนไร้สัญชาติ เนื่องจากคลอดกับหมอตำแย ชาวบ้านไม่ประสีประสาเองก็ปล่อยเวลาล่วงเลยไม่ยอมไปแจ้งเกิดทำให้ผลกระทบส่งต่อมายังคนรุ่นหลังซึ่งยากต่อการเดินเรื่องขอสัญชาติใหม่
แทนไทมองดูการใช้ชีวิตของผู้คนบนนี้แล้วก็รู้สึกเศร้าใจ จริงอยู่ว่าการปล่อยปะละเลยเรื่องการแจ้งเกิดของลูกหลานตัวเองเพราะเดินทางไม่สะดวกและสนใจแต่เรื่องปากท้องของตัวเองจนทำให้เสียสิทธิ์พลเมืองที่พึงได้รับไปอย่างเสียดายนั้น แต่เรื่องนี้ทั้งรัฐและประชาชนย่อมผิดพอ ๆ กัน
“ผมอยากทำทางให้แต่ต้องใช้ชาวบ้านลงชื่อขอเส้นทาง ถึงปีนี้อาจจะยังไม่ได้แต่ส่งเรื่องไปบ้างก็ดี” แทนไทกึ่งรับกึ่งสู้ ดูท่าถนนเส้นนี้อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าที่คิดและเขาไม่อยากให้ความหวังชาวบ้านมากเกินไป
คืนนั้นท้องฟ้าสีดำไร้แสงเมืองรบกวนถูกดาวสีขาวสว่างแต่งแต้มจนสุดลูกหูลูกตา แทนไทนอนมองความสวยงามนั้นบนแคร่ไม้ไผ่เก่า ๆ ของผู้ใหญ่บ้าน จันทร์เสี้ยวดวงโตทำให้เขาคิดถึงชานบ้านที่เคยหอบหมอนมุ้งออกมานอนรับลมทุกครั้งที่ความคิดวุ่นวายสับสน
“อาแทนครับ อาแทน” เสียงเด็กชายตัวเท่าเอวเรียกชายหนุ่ม
“ว่าไงตัวเล็ก”
“อาแทนจะสร้างถนนให้แม่ผมไปโรงพยาบาลใช่ไหมครับ” เด็กชายตัวน้อยถามด้วยดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์
“อาจะพยายามนะ แต่มันต้องใช้เวลาหน่อย” แทนไทไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทว่าเขาเองก็ตั้งใจจะทำอย่างตามที่พูดไว้จริง ๆ
“ขอบคุณครับ” เด็กชายยิ้มกว้างให้เขาหนึ่งครั้งแล้ววิ่งจากไป
แทนไทมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับตา ความหนักอึ้งบนบ่าดูเหมือนจะได้รับน้ำหนักจากความหวังขึ้นอีกเล็กน้อย
เช้าวันต่อมาแทนไทเดินผ่านเส้นทางในหมู่บ้านท่ามกลางสภาพอากาศเย็นจัดของฤดูหนาว ที่นี่มีเพียงแสงจากคบไฟนำทางเท่านั้นที่ส่องสว่างพาไปยังเต็นท์ที่พัก หัวใจเขารู้สึกบีบรัดและเกิดคำถามมากมายถึงการทำงานของหน่วยงานรัฐ ทว่าเขาเพียงคนเดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คำว่า ‘โอกาส’ หากมันมาช้านักก็มีแต่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง
ท้องฟ้าสลัวจากหมู่เมฆลอยตามลม ไอหมอกเย็นชื้นละผิวดินและต้นไม้จนมองไม่เห็นทางข้างหน้า กลิ่นกาแฟซองราคาถูกโชยเข้าจมูก แทนไทเป่ามันเบา ๆ เพื่อให้ตัวเองดื่มบรรเทาความหนาวบนภูเขาสูง
“หูย พี่แทนหนาวขนาดนี้ยังมีใจออกมากินกาแฟอีกเหรอครับ” ทิวา หนึ่งในทีมสำรวจของแทนไทเอ่ยทักทายในยามเช้า
“อากาศกับวิวสวยขนาดนี้ถ้ามัวนอนอยู่ก็เสียดาย ไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อไหร่” แทนไทกแก้วกาแฟเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ออกมานั่งด้วยกัน
“พี่กินก่อนเลยครับ ผมนอนต่อดีกว่า หนาว” แต่ทิวาทำเพียงแค่ส่งยิ้มแล้วกลับเข้าไปนอนต่อเหมือนเดิม อากาศหนาวแบบนี้ การนอนคงเป็นทางเลือกที่สบายที่สุดแล้ว
แทนไทหยิบแผนที่ออกมากางแล้วมองตามจุดที่กากบาทสีแดง เขาวาดเส้นตัดผ่านทางเล็ก ๆ ในนั้นด้วยดินสอและไม้บรรทัด เขาจดบันทึกทุกอย่างที่พบเห็นลงในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง กระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มขับไล่อากาศหนาวเย็นออกไปทีละนิด... ถึงเวลากลับไปสานต่อโครงการสักที
สองอาทิตย์หลังกลับจากเส้นทางบนดอยของภาคเหนือ แทนไทก็ง่วนอยู่กับการทำเอกสารเพื่อยื่นเข้าสู่ที่ประชุมเป็นครั้งที่สอง ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของปีงบประมาณ
“นี่คุณยังเลือกที่นี่อีกเหรอ” หัวหน้าทีมอุทยานกล่าวตำหนิชายหนุ่ม
“ครับ ผมกลับขึ้นไปสำรวจอีกรอบมา ท่านลองดูนี่ก่อนนะครับ” แทนไทเลื่อนจอสไลด์เสนอโครงการไปยังรูปชาวดอยที่เขาถ่ายรูปมา เด็กน้อยหน้าตามอมแมมยิ้มร่า ผู้หญิงวัยสาวในชุดประจำเผ่ากำลังแบกกิ่งไม้เพื่อก่อฝืน กลุ่มคนชรานั่งสานหมวกไม้ไผ่สร้างอาชีพ คบไฟท่ามกลางความมืดมิดของหมู่บ้านรวมไปถึงเส้นทางที่แทนไทหัวโยกขณะทำการสำรวจ
“คุณให้ผมดูภาพพวกนี้ทำไม” หัวหน้าอุทยานเบือนหน้าหนี
“ท่านครับ ชาวดอยกลุ่มนี้ขาดโอกาสมากมาย สาเหตุที่ไร้สัญชาติส่วนหนึ่งก็เพราะการเดินทางไม่สะดวกและต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง ท่านดูคนกลุ่มนี้สิครับ แค่เงินจะกินแต่ละวันยังลำบากเลย ไหนจะคนป่วยอีก” แทนไทกล่าวเสริมเมื่อเห็นว่าในห้องประชุมมีหน่วยงานหลายภาคส่วนที่สามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือนี้ได้
“ถึงยังไงผมก็ไม่เห็นด้วย” หัวหน้าอุทยายังคงยืนกรานเช่นเดิม
“งั้นเรามาลงคะแนนเสียงกันดีกว่า” ผู้อำนวยการสำนักสำรวจหาบันไดทางลงให้คนทั้งคู่
กระดาษสีขาวสีเหลี่ยมแผ่นเล็กและหมึกปากการาคาถูกกลายเป็นคำตัดสินคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แม้เพียงคนเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องโหดร้าย ทว่าคนในห้องนี้ทั้งหมดต้องมาตัดสินมากถึงหนึ่งหมู่บ้าน แทนไทรู้สึกรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่กันนะ ไม่มีหนทางอื่นที่เขาสามารถทำได้มากกว่าเลยหรือ
“ลงคะแนนครบแล้วค่ะ”
“งั้น มานับกันเลย” ผู้อำนวยการอนุญาตให้เลขาเป็นผู้ตรวจนับอย่างเปิดเผยเพื่อป้องกันข้อครหาภายหลัง
ทุกการขานคำว่า ‘เห็นด้วย’ และ ‘ไม่เห็นด้วย’ แทนไทรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายบาง ๆ กลางหุบเหวลึกมองไม่เห็นก้น เขารู้สึกว่าแต่ละนาทีช่างเชื่องช้ายาวนาน สีหน้าของแทนไทสลับซีดสลับแดงทุกครั้งที่คะแนนฝั่งตนขยับ
“เห็นด้วย 11 เสียง ไม่เห็นด้วย 12 เสียงค่ะ”
“โครงการถนนเส้นผ่านภูเขาตกไป” น้ำเสียงหนักแน่นของหญิงสาวเป็นดั่งค้อนตอกตะปูลงกลางอกของแทนไท ขาดเพียงคะแนนเดียวคุณภาพชีวิตอีกมากมายก็จะดีขึ้นแล้วแท้ ๆ
หลังจบการประชุมแทนไทก็ยังไม่สามารถตัดใจได้ เขาพาตัวเองมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้หลังอาคารคนเดียว รู้สึกว่าทั้งหมดที่ทำมาช่างเปล่าประโยชน์ แล้วเขาจะมีหน้ากลับไปบนดอยนั้นได้อย่างไร
“มานั่งอยู่นี่เอง พี่ตามหาตั้งนาน” ผู้อำนวยการมากประสบการณ์นั่งลงข้างชายหนุ่มอย่างไม่ถือตัว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ผอ.”
“แทน พี่ขอพูดอะไรหน่อยนะ”
“ครับ ผอ.” แทนไทรับคำ
“พี่รู้ว่าแทนหวังดีกับหมู่บ้าน แต่การทำถนนตัดผ่านอุทยานมันก็น่าเสียดาย หากเป็นเส้นทางอื่นอาจจะพอโน้มน้าวคนได้มากขึ้นกว่านี้ แทนก็เห็นว่าช่วงนี้กระแสช้างป่าบนถนนที่เขาใหญ่มันกำลังดัง ถ้าเราไปทำถนนตัดผ่านป่าแบบนั้น กรมทางหลวงคงโดนสวดเละแน่”
“มันก็จริงครับ ผอ. ผมแค่สงสารพวกเขา” แทนไทตอบตามที่ตนคิด
“พี่รู้ ที่พี่อยากจะบอกคือ ตอนนี้ยังทำไม่ได้ก็จริง แต่วันหน้ามันก็อาจจะทำได้ไม่ใช่เหรอ การไหลไปตามน้ำบางทีมันก็ให้ข้อดีมากกว่าข้อเสียนะ”
“ครับ ผอ.” แทนไทเองก็ได้แต่ตอบรับคำ เขาเองก็คงทำดีได้ที่สุดเท่านี้แล้ว... เขาเสนอทางลัดที่ช่วยลดเวลาเดินทางของชาวบ้านได้ครึ่งหนึ่ง แต่ถูกปัดตกเพราะ ‘มันไม่ได้อยู่ในแผนแม่บท’
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนในบ้านไม้สองชั้นหลังเดิมของวิไล หญิงร่างเล็กในวัยชราเดินออกมายังระเบียงหน้าบ้าน หยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าที่เปิดฟังเป็นประจำมานั่งฟังข่าวยามเช้า ท่ามกลางเสียงไก่ขัน เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ วิไลทอดสายตามองไปยังถนนดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวออกจากหมู่บ้าน ผู้เป็นแม่เฝ้ามองอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเธอคาดหวังจะเห็นลูกชายกลับบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่ลูกชายของเธอเคยใช้ก้าวออกไปสู่โลกกว้าง“แทน เอ็งสู้ไหวไหมลูก..” วิไลพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองหน้าจอแชตกับลูกชายคนเดียวที่เธอรักที่สุดแทนไท ในวัยสามสิบปลาย ๆ เจ้าหน้าที่วิศวกรชำนาญการพิเศษของกรมทางหลวง หลังจากถูกตักเตือนอย่างเป็นทางการด้วยเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เขากลับไม่ได้เสียขวัญ หากแต่เขาได้นำเอาเหตุการณ์นั้นกลับมาเป็นบทเรียนสำคัญที่หล่อหลอมวิธีคิดและการวางแผนของเขาให้รอบคอบมากยิ่งขึ้นเช้าวันนี้ แทนไทนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยแผนที่ภูมิประเทศ กระดาษโน้ต และหนังสือวิชาการเกี่ยวกับวิศวกรรมโยธา เขาหยิบแผนที่เดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง เส้นทางสายที่เขาอยาก
แสงแดดยามเช้าของวันจันทร์ลอดผ่านม่านหน้าต่างห้องทำงานที่แทรกตัวอยู่กลางอาคารสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง แทนไทนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยใบหน้าหนักแน่นกว่าทุกวัน ถึงแม้เขาจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจจากบทลงโทษทางวินัยในมาในช่วงก่อนหน้า แต่สายตาของเขายังคงเต็มเปี่ยมด้วยเป้าหมายและแรงผลักดันเหมือนเดิมเขาเปิดแฟ้มโครงการที่เคยนำเสนอลงบนโต๊ะ พลางไล่สายตาอ่านบันทึกการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมกับเปิดเครื่องบันทึกเสียงจากมือถือเพื่อทบทวนคำพูดที่ลุงทวีเคยพูดไว้“ในชีวิตข้าทำงานสายนี้มาก็หลายสิบปี ไอ้ที่สำคัญไม่ใช่แค่ถนนจะตัดตรงไหน แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำเพื่อใครต่างหากล่ะ”คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในใจของเขาเสมอเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น“แทน ผมขอเข้าไปหน่อยนะ” เสียงของหัวหน้าเอ่ยดังขึ้นจากหน้าห้อง“เชิญครับหัวหน้า” แทนไทลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพหัวหน้าก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของผู้ที่ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน“แทน ผมชี้แจงบทลงโทษเกี่ยวกับรายงานของจังหวัดนั้นแล้วนะ เรื่องที่เขาแจ้งเตือนพฤติกรรมคุณ”แทนไทพยักหน้ารับเบา ๆ“ผมผิดเองครับหัวหน้า ผมใจร้อนไปหน่อย ผมอยากให้ชาวบ้านมีทางเดิน
ท้องฟ้ายามเช้าของเมืองหลวงยังคงครึ้มเทา แม้ไม่มีฝนตก แต่เมฆสีหม่นนั้นก็ทำให้บรรยากาศดูอึมครึมและกดดันไม่ต่างจากจิตใจของแทนไทในเวลานี้ รถยนต์คันเดิมที่เขาขับอยู่แล่นไปบนถนนด้วยความเร็วคงที่ ใจของเขาหนักอึ้งกว่าที่เคยเป็นมาในช่วงหลายเดือนเมื่อคืนเขาใช้เวลาคิดอยู่ทั้งคืน ว่าเขาควรทำอย่างไรดีหลังจากที่ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปถึงระดับจังหวัดว่ามีวิศสวกรจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองคนหนึ่งลงมือสร้างถนนเส้นทางลัดในพื้นที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติให้สร้าง ซึ่งนั่นหมายถึงตัวเขาโดยตรง และแทนไทก็ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนนำไปสู่การฟ้องร้องหรือคดีความ เขาจึงตัดสินใจจะเดินทางไปที่สำนักงานจังหวัดในเช้าวันนี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมยอมรับฟังทุกคำตักเตือนเมื่อรถของแทนไทมาถึงหน้าอาคารสำนักงาน เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวออกจากรถพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องในมือ แม้จะรู้ดีว่าในทางระเบียบนั้นตนเองพลาดที่ลงมือก่อนคำอนุมัติ แต่หัวใจของเขาก็ยังมั่นคงว่าตนเองกระทำไปเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของชาวบ้านและส่วนรวมทั้งสิ้นเขาถูกเรียกให้เข้าไปยังห้องประชุมชั้นสามของอาคาร หน้าห้องมีป้ายเล็ก ๆ ติด
ช่วงเช้าของวันหยุดยาว แทนไทขับรถกระบะเก่า ๆ ที่เขาผูกพันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดบ้านเกิด สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี ฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนก่อนทำให้ผิวดินยังชุ่มชื้นและมีกลิ่นสดชื่นของธรรมชาติอบอวลในอากาศบ้านของแทนไทอยู่ในชุมชนที่ชื่อว่า ‘บ้านดอนกลาง’ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนของเขตอำเภอ พื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านนี้เป็นทุ่งนา สวนผลไม้ และป่าชุมชนที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้อย่างดี แทนไทจอดรถหน้าบ้านไม้ใต้ถุนสูงของแม่วิไล หญิงวัยหกสิบต้น ๆ ที่ยังแข็งแรงและขยันขันแข็งเหมือนเช่นทุกวัน“แม่! แทนมาแล้วครับ” แทนไทร้องเรียกขณะที่เดินขึ้นบันไดบ้าน กลิ่นข้าวสวยหอมกรุ่นลอยมากระทบจมูก“อ้าว แทนมาแล้วเหรอ มาทันกินข้าวพอดีเลย” วิไลยิ้มกว้าง รินน้ำใส่แก้วให้ลูกชาย ก่อนจะยกหม้อข้าวและแกงส้มมาวางลงบนโต๊ะไม้กลางบ้านหลังจากนั่งทานข้าวและพูดคุยถึงชีวิตในกรุงเทพฯ ได้สักพัก วิไลก็เปรยเรื่องหนึ่งที่ทำให้แทนไทตั้งใจฟังมากขึ้น“ช่วงนี้ผู้ใหญ่บ้านเขาไปยื่นเรื่องของงบประมาณเพื่อทำถนนจากโรงเรียนไปตลาดใหญ่นะลูก แต่ก็โดนปฏิเสธมาแล้วสอ
แสงแดดยามเช้าลูบไล้ปลายใบไม้เบา ๆ ขณะที่สายลมฤดูร้อนพัดผ่านราวกับกำลังกระซิบบอกแทนไทว่า ถึงเวลาที่ต้องกลับมาลุยอีกครั้งแล้ว หลังจากใช้เวลาในภาคใต้เพื่อพักกายพักใจ เขาก็กลับมายังห้องทำงานเล็ก ๆ ในสำนักงานกรมโยธาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สถานที่ที่เขาคุ้นเคย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นเพียงแค่ความคิดและหัวใจของเขาที่เปลี่ยนไปบนโต๊ะทำงานมีแผนที่เก่าใบหนึ่งที่เขาพับไว้อย่างทะนุถนอม มันคือแผนที่ที่ลุงทวีเคยส่งมอบให้ ซึ่งกลายเป็นเหมือนแสงไฟนำทางให้เขาอีกครั้งแทนไทเปิดแผนที่ใบนั้นออก กระดาษเก่ากรอบที่มีรอยพับตามกาลเวลาเผยให้เห็นลายเส้นทางเก่าที่บางส่วนถูกลืมไปจากระบบราชการปัจจุบัน เขาจ้องมองมันราวกับจะมองทะลุเข้าไปยังอดีตของถนนสายที่ไม่เคยได้ถูกสร้าง“ลุงครับ เส้นทางตรงจุดนี้ ถ้าผมต่อมันเข้ากับทางสายหลัก จะช่วยให้ชาวบ้านบนดอยเดินทางลงมาโรงพยาบาลได้สะดวกขึ้นจริง ๆ ใช่ไหมครับ” แทนไทเอ่ยถามผ่านสายโทรศัพท์เสียงของลุงทวีจากปลายสายฟังดูอบอุ่นแม้จะผ่านระยะทางไกล“ใช่ แถวนี้ลุงเคยลงพื้นที่เองเมื่อสิบกว่าปีก่อน มันเป็นทางดินเก่า บางช่วงเป็นแค่ทางเดินสัตว์ แต่ถ้าทำจริง มันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้เลยนะ แค่ม
เสียงลมหายใจของทะเลกระทบฝั่งดังเป็นจังหวะช้า ๆ แผ่วเบา แทนไทยืนอยู่บนชายหาด มองเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ กลืนแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็นเข้าไปในม่านฟ้าสีส้มอมชมพู หลังจากวันที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความคิด ฟ้าสีนี้คล้ายกับกำลังปลอบประโลมหัวใจของเขาให้เบาลง อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้“สวยใช่ไหมคะ” เสียงของดาวดังแว่วมาจากด้านข้าง หญิงสาวในชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาเดินเท้าเปล่าลงบนผืนทราย เธอส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ต้องพยายามแต่งแต้มมองทีไรก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนใจเขาสั่น“ครับ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าแค่ฟังเสียงคลื่นกับดูพระอาทิตย์ตกมันจะทำให้รู้สึกสงบได้ขนาดนี้” แทนไทตอบ เขาไม่ได้พูดเล่นเลย ถึงแม้จะเคยเดินทางมาแทบทุกภาคของประเทศ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ความเหนื่อยล้าจะหลุดออกไปจากใจจากกายง่ายเท่าครั้งนี้ดาวยิ้มอีกครั้ง พลางเดินนำเขาไปนั่งที่เปลผ้าริมชายหาดใต้ต้นสนทะเลที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ เธอหยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่ออกมายื่นส่งให้“น้ำสมุนไพรเย็น ๆ ค่ะ ดาวทำเอง รับประกันพี่จะสดชื่นหายเหนื่อยแน่นอน”แทนไทหัวเราะเบา ๆ “ขอบคุณครับ น้องดาวดูจะเตรียมตัวมาดีจัง”“แน่นอนสิคะ ดาวเป็นไกด์ประจำเ