เข้าสู่ระบบ“จะดื่มอะไรก่อนไหม”
ปวินท์เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นเรียกพนักงาน ถึงเด็กสาวจะถูกส่งมาเพื่อปรนนิบัติเขา และปลายทางคงไม่แคล้วจบที่เตียงเยี่ยงทุกที แต่เห็นเธอประหม่าเขาเลยไม่คิดรีบร้อน
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล~
แล้วอีกอย่างเขาคงรู้สึกผิดน่าดูหากทำให้เด็กมันตกใจด้วยการลากตัวขึ้นเตียงทันทีทั้งที่เพิ่งเจอหน้าแค่สิบนาที
“งั้นเอา...พิงค์เลดี้แล้วกันค่ะ”
โชติมนต์สั่งค็อกเทลที่คิดว่าน่าจะดื่มง่ายที่สุดมา ปกติเธอเป็นสายดื่มเบียร์ แต่มาเจอผู้ชายทั้งทีก็ต้องสร้างภาพกันนิดหนึ่ง
พนักงานรับคำแล้วก็จากไป หญิงสาวจึงหันกลับมามองคนนั่งฝั่งตรงข้าม
“อ่า แล้วพี่วินมาถึงนานแล้วเหรอคะ”
“สักพักแล้ว”
“แล้วกินอะไรมาหรือยังคะ”
“อืม เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“อ้อ แล้ว…ช่วงนี้งานเยอะไหมคะ”
“นิดหน่อย”
เด็กที่คิดอยากจีบรุ่นใหญ่ยิ้มแหย ในแชทคุยน้อยแค่ไหนตัวจริงก็คุยน้อยไม่ต่างกันเลยแฮะ ว่าแต่คนโต ๆ แล้วนี่ปกติเขาคุยเรื่องอะไรกันนะ แค่เรื่องงานเหรอ
โชติมนต์หยิบค็อกเทลที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟขึ้นจิบ พยายามครุ่นคิดหาหัวข้อมาคุยเพื่อไม่ให้บทสนทนาจืดชืดและขาดช่วง
หากพอเงยหน้ามาเจอกับนัยน์ตาวาววับ แฝงความนัยบางอย่างกำลังจ้องกันไม่วางตา ของเหลวที่กำลังกลืนก็เกือบไม่ลงคอ
“แคกแคก”
ท่าทางร้อนรนปนขัดเขิน และแววตาที่แทบจะประกาศทุกความรู้สึกนึกคิดของเด็กสาวเรียกรอยยิ้มให้จุดที่มุมปาก และเพราะผ่านอะไรมามากปวินท์จึงมองออกว่าเธอไม่ได้แสร้งทำ
น่ารักดีแฮะ
ชายหนุ่มอมยิ้ม หยิบทิชชูมาส่งให้เธอใช้ซับมุมปากที่เลอะ ก่อนโคลงศีรษะเรียก
“มานั่งฝั่งนี้สิ”
“คะ?”
เด็กสาวทำหน้าตื่น ๆ มองที่นั่งข้างเขาแล้วเม้มปาก สีหน้าท่าทางเหมือนจะไม่ลุกแต่สุดท้ายก็ขยับย้ายมานั่งเบียดข้าง ๆ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ กระตุ้นให้ปวินท์ตื่นตัวขึ้นนิดหน่อย เขาหลุบตามองแก้มเนียนซับสีแดงระเรื่อที่อยู่ใกล้เพียงคืบแล้วสูดหายใจลึก
ใจเย็น ๆ ก่อน เด็กมันยังใหม่
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองคราวนี้ปวินท์เลยเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง มือจากที่วางบนต้นขาตนยกขึ้นพาดโซฟา ก่อนจะไหลลงโอบไหล่คนข้างกายอย่างเป็นธรรมชาติในเวลาต่อมา
ส่วนเด็กสาวนั้นแม้จะเกร็ง ๆ บ้างในคราแรกแต่สักพักก็ปล่อยตัวตามสบาย เล่าเรื่องของตัวเองไปจิบเครื่องดื่มไป ตาเป็นประกายเชียวล่ะตอนที่บอกว่าหากไม่สอบติดคณะบัญชีเสียก่อน เธอจะเลือกเรียนภาษา
เพราะอยากเป็นล่ามตามงานมิตติ้ง และหวังว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดหรือถ่ายรูปคู่สุดเอ็กซ์คูลซีฟกับนักร้องที่ตนชื่นชอบ
“แบบนี้ถือว่าใช้อำนาจในทางมิชอบหรือเปล่า”
ปวินท์ท้วงหวังจะเย้าแหย่ เด็กสาวที่เมื่อยี่สิบนาทีก่อนยังประหม่าจนไม่กล้าสบตากันตรง ๆ ค้อนกลับใส่เขา เถียงเสียงใส
“มิชอบที่ไหนกันคะพี่วิน ต้องบอกว่าใช้อำนาจในทางที่ชอบมาก ๆ ต่างหาก”
“ชอบมากขนาดนั้นเลย?”
“ค่ะ ชอบ…ชอบมาก”
โดยเฉพาะเขาเนี่ย!
ประโยคหลังโชติมนต์คิดต่อในใจแล้วเหลบสายตาที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ จิบเครื่องดื่มกลบเกลื่อนหลังเพิ่งตีเนียนบอกชอบผู้ชายไปหมาด ๆ
แปลกดี …
ทั้งที่เธอก็ไม่ใช่คนเรียบร้อย ออกจะแก่นเฟี้ยวด้วยซ้ำหากเทียบกับกลุ่มเพื่อนที่นั่งเล่นด้วยกันและก็เคยมีคนคุยมาแล้วหลายคน
แต่กับคนนี้แค่สบตาก็ใจสั่น ยิ่งเมื่อเขาแตะต้องโดนร่างกายเธอก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อน ๆ แล่นผ่าน
จั๊กจี้นิด ๆ สยิวหน่อย ๆ แต่รู้สึกดีมากกกกกก
ปวินท์ก้มมองคนที่เมื่อครู่ยิ้มจนตาหยีแต่ตอนนี้กลับก้มหน้างุด ใบหูแดงจัดเหมือนเขินเขาเสียอย่างนั้น แล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ นึกเอ็นดูปนแปลกใจ
ปกติผู้หญิงที่เพื่อนตัวดีเคยส่งมาต้อนรับ เป็นงานและเอาอกเอาใจเก่ง มีไม่น้อยทีเดียวที่แสดงออกว่าชื่นชอบเขาเกินกว่าลูกค้า
แต่กลับไม่มีใครเปิดเผยความเป็นตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติเท่าเด็กคนนี้
แปลกดี …
แต่ว่าเขาชอบนะ เห็นทีมารอบหน้าคงต้องรีเควสเธอมาอีก
แหม ทีนี้ล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะคนเป็นแม่ส่ายหัวไปมา ทั้งขำทั้งระอาสี่พ่อลูก เธอก็พยายามสั่งสอนเด็ก ๆ ให้อยู่ในกรอบ แต่ดูคนเป็นพ่อสิ ชอบสปอย ให้ท้ายลูกทุกอย่าง"คุณปูนก็เป็นซะแบบนี้""เอาน่า ถ้าหล่นเดี๋ยวฉันเก็บเอง"เรื่องเก็บมันใช่เรื่องใหญ่ที่ไหนเล่า!โชติมนต์ย่นจมูก ถอนหายใจอย่างฉุน ๆ ทว่าหันไปสบเข้ากับสายตาแป๋ว ๆ ของลูกสาวคนเล็ก ได้ยินเสียงใส ๆ ร้องเรียก"คุณแม่คะ คุณแม่ขาาาา"เธอก็ใจอ่อนในบัดดล"อะ ๆ ก็ได้ค่ะ แต่ป็อปปี้รับปากแม่ก่อนว่าจะถือดี ๆ มองทางแล้วก็มองคนด้วยนะคะ แล้วถ้าเมื่อยเมื่อไรก็ให้คุณพ่อถือแทนนะคะ""ค่าาา"ได้ถือสมใจเด็กหญิงปรินญาดาก็ยิ้มร่า พยายามประคองกระทงสุดชีวิต แต่เพราะข้อมือเด็กสี่ขวบยังไม่ค่อยมีแรงมากนัก บางครั้งจึงเผลอทำเอียง จนดอกไม้ร่วงหล่นรายทาง"ป็อปปี้ถือแบบนี้ แบบพี่นี่"เด็กหญิงปราณปรียาในชุดคล้ายกันแต่โจงกระเบนเป็นสีชมพูบานเย็น อุ้มกระทงที่ประดับด้วยกลีบกุหลาบสีชมพูล้วนของตนให้น้องดูเป็นตัวอย่างคนเป็นน้องพยายามทำตาม แต่สุดท้ายก็ยังทำดอกไม้ตกแต่งหล่นลงพื้นแทบทุกย่างก้าวอยู่ดี เสียงใส ๆ สองเสียงทั้งถกทั้งสอนกันไม่หยุด สลับกับก้มลงเก็บดอกไม
บนพื้นภายในห้องนั่งเล่นของบ้านหิรัญพัฒนา ห้าชีวิตกำลังนั่งล้อมวงทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว"ปันปันอยากใส่อันนี้ด้วยไหมคะ"น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับถาดที่ใส่ดอกไม้มาใกล้มือลูกสาวคนกลางมากขึ้นเมื่อเห็นแกพยักหน้าแรง ๆ แทนคำตอบจากนั้นก็หันไปขยับถาดที่ใส่ดอกดาวเรืองไปให้ลูกชายคนโตที่ดูจะชื่นชอบมันเป็นพิเศษวันนี้เป็นวันลอยกระทง ทางหมู่บ้านมีการจัดงานเล็ก ๆ และเตรียมพื้นที่ไว้ให้ลูกบ้านได้นำกระทงมาลอยได้ที่บริเวณสวนสาธารณะของส่วนกลางแน่นอนว่าเด็กสายกิจกรรมอย่างลูก ๆ ของเธอย่อมไม่มีทางพลาด ทั้งสามหน่อไม่เพียงขอแต่งตัวให้เข้ากับเทศกาล แต่ยังอยากทำกระทงขึ้นเองด้วยและมีหรือที่คุณพ่อสายเปย์อย่างปวินท์จะไม่ตามใจลูก ๆ ไม่ถึงชั่วโมงวัสดุสำหรับทำกระทงก็วางเรียงรายเต็มพื้นที่แถมไม่ได้ทำเพียงอันเดียวเพราะเด็ก ๆ ต่างร้องว่าอยากมีกระทงเป็นของตัวเอง ไป ๆ มา ๆ เลยงอกออกมาเป็นสามอันหลังห่อก้านต้นกล้วยหั่นท่อนด้วยใบตองและติดกลีบกระทงเรียบร้อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้เด็ก ๆ แสดงฝีมือได้ตามใจชอบซึ่งแรก ๆ เด็ก ๆ ก็พากันตั้งใจตกแต่งกระทง แต่หลัง ๆ กลายเป็นตกแต่งหัวของพี่น้องและตัวเองปลุกปล
หญิงสาวดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งมือและเท้าของคนพี่ ก่อนถอยออกจากห้องนอนลูก ๆ ไม่ลืมก้มลงไปจรดปลายจมูก ฝากความรักไว้ที่หน้าผากลูก ๆ คนละหนึ่งทีตอนที่รู้ตัวว่ามีปราณปรียาเธอเป็นห่วงความรู้สึกปราชญ์มากที่สุด กังวลว่าการมีลูกเพิ่มจะทำให้พี่คนโตเครียด และน้อยใจที่ถูกแบ่งความรักไปหรือไม่ทว่าลึก ๆ ในใจก็ยังเชื่อมั่นว่าหากพวกเธอดูแลและเอาใจใส่คนพี่อย่างเหมาะสม ความรักเหล่านั้นจะถูกพี่ชายส่งต่อไปยังน้องสาวได้อย่างเหมาะสมเช่นกันซึ่งสำหรับบ้านของเธอ ทฤษฎีนี้นับว่าได้ผลแม้ช่วงแรก ๆ คนพี่จะมีงอแงบ้างตามประสาคนเคยได้รับทุกอย่างเพียงคนเดียว หากไม่นานก็เริ่มเข้าใจว่าน้องคือสมาชิกใหม่ของบ้าน คือครอบครัว และต่อให้มีน้องเพิ่ม ตัวเขาก็ยังคงเป็นคนสำคัญของพ่อกับแม่ และทวดพรพรรณไม่เปลี่ยนแปลง“วันนี้เหนื่อยไหม”ขึ้นเตียงมาได้ปวินท์ก็รั้งเธอไปนอนกอดพร้อมกับถามคำถามเดิม โชติมนต์อมยิ้ม เบียดกายเข้าหาอ้อมแขนอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยแล้วสั่นหัวนิด ๆ“ไม่เลยค่ะ วันนี้เด็ก ๆ ไม่ซนกันเลย”แค่หูชานิดหน่อยเพราะเด็ก ๆ กำลังอยู่ในช่วงวัยขี้สงสัยเลยมีความอยากรู้อยากเห็นและชอบตั้งคำถามมากเป็นพิเศษ แต่เธอก็ยินดีจะตอบ“ดีแล้ว ฉั
หลังเด็ก ๆ จัดการคุกกี้จนเกลี้ยงจาน แม่ ๆ ก็พากันจับเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนชุด ผลปรากฎว่าไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่ที่กรี๊ดหนัก เด็ก ๆ ก็ชื่นชอบกันมากซาลาแมนเดอร์สีชมพูตัวจิ๋วยิ้มร่าโชว์ฟันเล็ก ๆ ที่เรียงเม็ดสวยงามเหมือนเม็ดข้าวโพด ขนาบข้างโดยพี่ ๆ ด้านหนึ่งคือเด็กชายปราชญ์ที่สวมชุดเสือ ส่วนอีกด้านคือเด็กหญิงขวัญชนกซึ่งสวมชุดกระต่ายสีชมพูอ่อนโอ๊ย น่ารักมาก น่ารักจนใจเจ็บ!แววตาแม่ ๆ ทั้งสองเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่มตามประสาคนหลงลูก ทั้งกดถ่ายรูปและอัดคลิปวิดีโอเก็บไว้อวดพ่อ ๆ ที่วันนี้มีนัดคุยงานกับลูกค้าสำคัญด้านคนเป็นทวดก็ไม่น้อยหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้อง พยายามถ่ายภาพเหลน ๆ ในอิริยาบถต่าง ๆ เช่นกัน ต่อให้รูปที่ได้จะสั่นบ้าง หลุดโฟกัสบ้างก็ตามไม่ถึงสิบนาทีรูปใหม่ในโทรศัพท์ก็เพิ่มมาเกินร้อยรูป“เหมาะมาก”“ใช่ไหมคะคุณย่า” โชติมนต์พยักหน้าแรง ๆ ว่าเห็นด้วย ปลายนิ้วกดส่งรูปเด็ก ๆ ไปให้คุณยายที่อยู่แดนไกล“นี่น้ำมนต์ยังมีชุดผึ้ง ปลาโลมา แมงกะพรุน แล้วก็ไดโนเสาร์อีกนะคะ”“ไม่ได้หมายถึงชุด”คุณพรพรรณส่ายหน้า จากนั้นนางก็หันไปสบตากับอีกคนที่นั่งอยู่ถัดไป อมยิ้มกรุ้มกริ่ม เพียงเท่านี้สองแม่ก็เข้า
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านหิรัญพัฒนาวันนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงหยอกล้อสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักดังกว่าทุกทีเมื่อรอบนี้กรกันต์กับขวัญข้าวพาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนลงมากรุงเทพด้วย“คุณลูกค้าเอาอันไหนดีค้าาา อันนี้ขนมชั้น อันนี้ขนมครก อันนี้ขนมเค้ก อันนี้ลูกชิ้นทอดค่าาาา”น้องข้าวหอมหรือเด็กหญิงขวัญชนก วัยห้าขวบหกเดือน ทายาทรีสอร์ตดังของภาคเหนือที่ตอนนี้ผันตัวจากมาเป็นแม่ค้าขายขนมริมทางส่งเสียงเจื้อยแจ้วมือชี้สินค้าที่ตนวางขายพลางอธิบายให้ลูกค้ากิตติศักดิ์สองคนฟังทีละชิ้น ซึ่งแน่นอนว่าขนมที่ว่าไม่ใช่ของจริง แต่เป็นของเล่นพลาสติก“ปันปันอยากกินอันไหน” ลูกค้ากิตติมศักดิ์คนที่หนึ่งหันไปถามลูกค้ากิตติมศักดิ์คนที่สอง“กิน นี่ อันนี้”เพราะยังไม่ถึงสองขวบดีเด็กหญิงเลยเปล่งได้เป็นคำ ๆ ก่อนจะยืนยันความต้องการของตนด้วยการคว้าของสิ่งนั้นมาถือไว้“คุณลูกค้าาา เดี๋ยวก่อนค่ะ ต้องขอใส่จานก่อน”แม่ค้าถึงกับหวีดร้อง รีบหยิบจาน แต่เพราะที่คีบของเล่นใช้งานยาก สุดท้ายเธอก็ใช้มือเล็ก ๆ ของตนหยิบขนมของเล่นที่เหลือใส่จานแล้วยื่นให้“สิบบาทค่าาา”กระดาษสีเขียวที่มีเลข 20 พิมพ์ไว้เลียนแบบธนบัตรของจริงถูกยื่นไปให้แ
ปวินท์หมุนตัวมาเตรียมชามสำหรับใส่อาหาร ตอนนั้นเองหางตาก็เห็นร่างอรชรที่หยุดฝีเท้าไว้เพียงหน้าทางเข้า“อ้าว ลงมาเร็วจัง”“แม่!”เด็กชายปราชญ์หันมองตาม พอเห็นเป็นมารดาก็เลิกสนใจเครื่องปั่น ร่างสมส่วนที่บัดนี้สูงเกินเกณฑ์เด็กสี่ขวบนิดหน่อยถลันไปหา“อันนี้ นี่ ปราชญ์ทำแหละครับ”เด็กชายปราชญ์ชี้ไม้ชี้มือ รีบโอ้อวด ทำเอาคนที่เตรียมทุกอย่างแต่ถูกแย่งหน้าที่ไปในห้านาทีสุดท้ายได้แต่ส่ายหัวยิ้ม ๆ หากก็ไม่ได้ทักท้วงหักหน้าลูกชาย“หูยยย แบบนี้ต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย ไหนดูสิ วันนี้พี่ปราชญ์ทำอะไรให้น้องปันปันกินครับ”โชติมนต์ทำหน้าตื่นเต้นแล้วเดินตามลูกชายที่จูงมือเธอไปดูเครื่องปั่น ฟังเด็กน้อยเล่าอย่างกระตือรือร้นว่าตนได้หยิบจับ ทำอะไรไปบ้างอย่างตั้งใจ กระทั่งจบก็ยกนิ้วโป้งให้“เก่งจังเลยครับพี่ปราชญ์ของแม่”“ใช่ ๆ พี่ปราชญ์ก็ว่าพี่ปราชญ์เก่ง”นอกจากไม่ถ่อมตัวแล้ว เด็กชายยังยืดอกรับคำชมอย่างภาคภูมิด้วย โชติมนต์หัวเราะ ลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู“วันนี้แม่ว่าน้องต้องกินข้าวที่พี่ปราชญ์ทำให้เยอะแน่ๆ เลยครับ”และพอรู้ว่าน้องสาวลงมานั่งรอที่ชั้นล่างแล้ว เด็กชายปราชญ์ที่เมื่อครู่ทั้งยืนยันนั่งยันว่าจะทำม







