Mag-log inเสียงพูดคุยดังแทรกเสียงเพลงเป็นระยะ ๆ และยิ่งดึกระยะห่างระหว่างสองร่างที่นั่งเคียงข้างกันก็ยิ่งลดน้อยลง จนกระทั่งกลายเป็นเอียงซบกันในที่สุด
โชติมนต์ไม่ถือสาที่ถูกเขาโอบกอด อาจฟังดูเหมือนใจง่ายเพราะนับระยะเวลาที่คุยกันก็เพียงสามเดือนเศษ ๆ ทั้งยังเพิ่งมาเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
แต่อย่างพี่วินเรียกได้ว่าตรงสเปกเธอทุกอย่าง ไล่ไปตั้งแต่หน้าตา บุคลิก สีหน้าท่าทาง แววตา
และยิ่งได้คุยกันต่อหน้าเธอก็ยิ่งรู้สึกชอบเขามากขึ้น...มากขึ้น ไม่ดีต่อหัวใจเลย!
หญิงสาวนึกตำหนิตัวเองที่แค่นี้ก็พ่ายแพ้ให้แก่คำว่า ‘ตรงสเปก’ พลางยกเครื่องดื่มขึ้นจิบแก้เขิน
ปวินท์หลุบมองยิ้ม ๆ หน้าแก้มเธอแดงปลั่ง แววตายามช้อนมามองกันหยาดเยิ้มฟ้องชัดว่าเธอเริ่มจะเมาแล้ว
งั้นก็ถึงเวลาแล้วล่ะ
ชายหนุ่มกระชับวงแขนโอบเธอแน่นขึ้นอีกนิดแล้วเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงิน
“หืม จะกลับแล้วเหรอคะ”
น้ำเสียงหงอย ๆ เรียกรอยยิ้มให้จุดที่มุมปาก ปวินท์ก้มลงกระซิบตอบ
“ยังไม่อยากกลับเหรอ”
โชติมนต์เม้มริมฝีปากเข้าหากัน เอียงหน้าหนีปลายจมูกโด่งที่เฉียดจะแตะแก้มแล้วพยักหน้าอย่างเหนียมอาย
แต่พอฉุกคิดขึ้นได้ว่าความรักแบบคนเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้วไม่ได้ใช้ความรู้สึกนำทาง หรือตัวติดกันตลอดเวลาแบบรุ่นเดียวกันที่เคยคุยเธอก็รีบเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าพรุ่งนี้พี่วินมีงาน จะกลับเลยก็ได้ค่ะ”
“เด็กดี”
และผลของการเป็นเด็กดีคือถูกเขาลูบหัว โอ๊ย ใจจะละลาย โชติมนต์อมยิ้ม แทบตัวอ่อนเหลวในวงแขนของเขา
เธอนั่งเหล่ตามองเขาจัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งยังวางทิปเพิ่มให้พนักงานเงียบ ๆ กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืน ปล่อยให้เขาจูงมือออกจากร้านมา
คนสวมรองเท้าส้นสูงซวนเซเล็กน้อยเมื่อลานจอดด้านนอกร้านโรยด้วยหิน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดคนเมาที่กำลังจะกลับเช่นกันเสียหลักมาชนเธอ
“อ๊ะ”
โชติมนต์ใจหายวาบ ดีว่าคนข้างตัวว่องไว รั้งตัวเธอไว้ได้ทันก่อนจะล้มหน้าคะมำ ลงไปกองกับพื้น
เธอเงยหน้าหมายจะขอบคุณ แต่แล้วก็ต้องชะงัก หน้าร้อนผ่าวเมื่อปลายจมูกสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากคนตัวโตกว่า และได้เห็นว่าเขากำลังมองเธอด้วยสายตาแบบไหน
เขามองเหมือนอยากจะกลืนเธอเข้าไปทั้งตัวมันตรงนี้!
และใช่ ตอนนี้ปวินท์รู้สึกอยากจับคนตรงหน้ากินเข้าไปจริง ๆ เนื้อตัวเธอนุ่มนิ่ม หอมอ่อน ๆ ไหนจะริมฝีปากที่กำลังเผยอน้อย ๆ อย่างเชื้อเชิญนั่นอีก
ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ขบกรามแน่น เป็นครั้งแรกที่นึกอยากแหกกฎตัวเอง เขารู้ว่าเธอสะอาดมากพอเพราะเด็กแต่ละคนที่เพื่อนส่งมาล้วนผ่านการคัดกรองมาอย่างดีเยี่ยม แต่ว่าเด็กบางคนก็มีกฎของตัวเองเช่นกัน
แล้วเธอล่ะ...มีไหม?
ปวินท์ครุ่นคิด อึดใจก็ลองหยั่งเชิงด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธออีกนิด มุมปากพลันยกยิ้มขึ้นทันทีที่คนในอ้อมแขนเพียงหลุบตาลง แทนที่จะเบี่ยงหน้าหนีหรือผลักเขาออก
อ่า ไม่มีสินะ
เมื่อได้คำตอบสมใจชายหนุ่มก็ไม่รีรออีกต่อไป ริมฝีปากหยักลึกกดแนบบดคลึง ขบเม้มเบา ๆ ร่างเล็กที่กอดประคองอยู่ขืนเกร็งขึ้นเล็กน้อยในคราแรก แต่เพียงอึดใจเธอก็แหงนเงย ขยับปากจูบเขาตอบ
จูบของเธอไร้เดียงสา เงอะงะ แต่กลับกระตุ้นเลือดในกายปวินท์ให้ร้อนฉ่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มตะโบมจูบหนักหน่วงจนเธอส่งเสียงครางอื้ออ้า
เห็นเธอหายใจไม่ทัน ทั้งยังทำท่าจะยืนไม่ไหวปวินท์เลยยอมหยุด เขางับกลีบปากเธอแรง ๆ ส่งท้าย เอื้อมมือไปปลดล็อกประตูรถก่อนจะดันร่างเล็กให้เข้าไปนั่งเบาะหลัง
“ออกรถ”
แหม ทีนี้ล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะคนเป็นแม่ส่ายหัวไปมา ทั้งขำทั้งระอาสี่พ่อลูก เธอก็พยายามสั่งสอนเด็ก ๆ ให้อยู่ในกรอบ แต่ดูคนเป็นพ่อสิ ชอบสปอย ให้ท้ายลูกทุกอย่าง"คุณปูนก็เป็นซะแบบนี้""เอาน่า ถ้าหล่นเดี๋ยวฉันเก็บเอง"เรื่องเก็บมันใช่เรื่องใหญ่ที่ไหนเล่า!โชติมนต์ย่นจมูก ถอนหายใจอย่างฉุน ๆ ทว่าหันไปสบเข้ากับสายตาแป๋ว ๆ ของลูกสาวคนเล็ก ได้ยินเสียงใส ๆ ร้องเรียก"คุณแม่คะ คุณแม่ขาาาา"เธอก็ใจอ่อนในบัดดล"อะ ๆ ก็ได้ค่ะ แต่ป็อปปี้รับปากแม่ก่อนว่าจะถือดี ๆ มองทางแล้วก็มองคนด้วยนะคะ แล้วถ้าเมื่อยเมื่อไรก็ให้คุณพ่อถือแทนนะคะ""ค่าาา"ได้ถือสมใจเด็กหญิงปรินญาดาก็ยิ้มร่า พยายามประคองกระทงสุดชีวิต แต่เพราะข้อมือเด็กสี่ขวบยังไม่ค่อยมีแรงมากนัก บางครั้งจึงเผลอทำเอียง จนดอกไม้ร่วงหล่นรายทาง"ป็อปปี้ถือแบบนี้ แบบพี่นี่"เด็กหญิงปราณปรียาในชุดคล้ายกันแต่โจงกระเบนเป็นสีชมพูบานเย็น อุ้มกระทงที่ประดับด้วยกลีบกุหลาบสีชมพูล้วนของตนให้น้องดูเป็นตัวอย่างคนเป็นน้องพยายามทำตาม แต่สุดท้ายก็ยังทำดอกไม้ตกแต่งหล่นลงพื้นแทบทุกย่างก้าวอยู่ดี เสียงใส ๆ สองเสียงทั้งถกทั้งสอนกันไม่หยุด สลับกับก้มลงเก็บดอกไม
บนพื้นภายในห้องนั่งเล่นของบ้านหิรัญพัฒนา ห้าชีวิตกำลังนั่งล้อมวงทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว"ปันปันอยากใส่อันนี้ด้วยไหมคะ"น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับถาดที่ใส่ดอกไม้มาใกล้มือลูกสาวคนกลางมากขึ้นเมื่อเห็นแกพยักหน้าแรง ๆ แทนคำตอบจากนั้นก็หันไปขยับถาดที่ใส่ดอกดาวเรืองไปให้ลูกชายคนโตที่ดูจะชื่นชอบมันเป็นพิเศษวันนี้เป็นวันลอยกระทง ทางหมู่บ้านมีการจัดงานเล็ก ๆ และเตรียมพื้นที่ไว้ให้ลูกบ้านได้นำกระทงมาลอยได้ที่บริเวณสวนสาธารณะของส่วนกลางแน่นอนว่าเด็กสายกิจกรรมอย่างลูก ๆ ของเธอย่อมไม่มีทางพลาด ทั้งสามหน่อไม่เพียงขอแต่งตัวให้เข้ากับเทศกาล แต่ยังอยากทำกระทงขึ้นเองด้วยและมีหรือที่คุณพ่อสายเปย์อย่างปวินท์จะไม่ตามใจลูก ๆ ไม่ถึงชั่วโมงวัสดุสำหรับทำกระทงก็วางเรียงรายเต็มพื้นที่แถมไม่ได้ทำเพียงอันเดียวเพราะเด็ก ๆ ต่างร้องว่าอยากมีกระทงเป็นของตัวเอง ไป ๆ มา ๆ เลยงอกออกมาเป็นสามอันหลังห่อก้านต้นกล้วยหั่นท่อนด้วยใบตองและติดกลีบกระทงเรียบร้อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้เด็ก ๆ แสดงฝีมือได้ตามใจชอบซึ่งแรก ๆ เด็ก ๆ ก็พากันตั้งใจตกแต่งกระทง แต่หลัง ๆ กลายเป็นตกแต่งหัวของพี่น้องและตัวเองปลุกปล
หญิงสาวดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งมือและเท้าของคนพี่ ก่อนถอยออกจากห้องนอนลูก ๆ ไม่ลืมก้มลงไปจรดปลายจมูก ฝากความรักไว้ที่หน้าผากลูก ๆ คนละหนึ่งทีตอนที่รู้ตัวว่ามีปราณปรียาเธอเป็นห่วงความรู้สึกปราชญ์มากที่สุด กังวลว่าการมีลูกเพิ่มจะทำให้พี่คนโตเครียด และน้อยใจที่ถูกแบ่งความรักไปหรือไม่ทว่าลึก ๆ ในใจก็ยังเชื่อมั่นว่าหากพวกเธอดูแลและเอาใจใส่คนพี่อย่างเหมาะสม ความรักเหล่านั้นจะถูกพี่ชายส่งต่อไปยังน้องสาวได้อย่างเหมาะสมเช่นกันซึ่งสำหรับบ้านของเธอ ทฤษฎีนี้นับว่าได้ผลแม้ช่วงแรก ๆ คนพี่จะมีงอแงบ้างตามประสาคนเคยได้รับทุกอย่างเพียงคนเดียว หากไม่นานก็เริ่มเข้าใจว่าน้องคือสมาชิกใหม่ของบ้าน คือครอบครัว และต่อให้มีน้องเพิ่ม ตัวเขาก็ยังคงเป็นคนสำคัญของพ่อกับแม่ และทวดพรพรรณไม่เปลี่ยนแปลง“วันนี้เหนื่อยไหม”ขึ้นเตียงมาได้ปวินท์ก็รั้งเธอไปนอนกอดพร้อมกับถามคำถามเดิม โชติมนต์อมยิ้ม เบียดกายเข้าหาอ้อมแขนอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยแล้วสั่นหัวนิด ๆ“ไม่เลยค่ะ วันนี้เด็ก ๆ ไม่ซนกันเลย”แค่หูชานิดหน่อยเพราะเด็ก ๆ กำลังอยู่ในช่วงวัยขี้สงสัยเลยมีความอยากรู้อยากเห็นและชอบตั้งคำถามมากเป็นพิเศษ แต่เธอก็ยินดีจะตอบ“ดีแล้ว ฉั
หลังเด็ก ๆ จัดการคุกกี้จนเกลี้ยงจาน แม่ ๆ ก็พากันจับเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนชุด ผลปรากฎว่าไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่ที่กรี๊ดหนัก เด็ก ๆ ก็ชื่นชอบกันมากซาลาแมนเดอร์สีชมพูตัวจิ๋วยิ้มร่าโชว์ฟันเล็ก ๆ ที่เรียงเม็ดสวยงามเหมือนเม็ดข้าวโพด ขนาบข้างโดยพี่ ๆ ด้านหนึ่งคือเด็กชายปราชญ์ที่สวมชุดเสือ ส่วนอีกด้านคือเด็กหญิงขวัญชนกซึ่งสวมชุดกระต่ายสีชมพูอ่อนโอ๊ย น่ารักมาก น่ารักจนใจเจ็บ!แววตาแม่ ๆ ทั้งสองเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่มตามประสาคนหลงลูก ทั้งกดถ่ายรูปและอัดคลิปวิดีโอเก็บไว้อวดพ่อ ๆ ที่วันนี้มีนัดคุยงานกับลูกค้าสำคัญด้านคนเป็นทวดก็ไม่น้อยหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้อง พยายามถ่ายภาพเหลน ๆ ในอิริยาบถต่าง ๆ เช่นกัน ต่อให้รูปที่ได้จะสั่นบ้าง หลุดโฟกัสบ้างก็ตามไม่ถึงสิบนาทีรูปใหม่ในโทรศัพท์ก็เพิ่มมาเกินร้อยรูป“เหมาะมาก”“ใช่ไหมคะคุณย่า” โชติมนต์พยักหน้าแรง ๆ ว่าเห็นด้วย ปลายนิ้วกดส่งรูปเด็ก ๆ ไปให้คุณยายที่อยู่แดนไกล“นี่น้ำมนต์ยังมีชุดผึ้ง ปลาโลมา แมงกะพรุน แล้วก็ไดโนเสาร์อีกนะคะ”“ไม่ได้หมายถึงชุด”คุณพรพรรณส่ายหน้า จากนั้นนางก็หันไปสบตากับอีกคนที่นั่งอยู่ถัดไป อมยิ้มกรุ้มกริ่ม เพียงเท่านี้สองแม่ก็เข้า
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านหิรัญพัฒนาวันนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงหยอกล้อสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักดังกว่าทุกทีเมื่อรอบนี้กรกันต์กับขวัญข้าวพาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนลงมากรุงเทพด้วย“คุณลูกค้าเอาอันไหนดีค้าาา อันนี้ขนมชั้น อันนี้ขนมครก อันนี้ขนมเค้ก อันนี้ลูกชิ้นทอดค่าาาา”น้องข้าวหอมหรือเด็กหญิงขวัญชนก วัยห้าขวบหกเดือน ทายาทรีสอร์ตดังของภาคเหนือที่ตอนนี้ผันตัวจากมาเป็นแม่ค้าขายขนมริมทางส่งเสียงเจื้อยแจ้วมือชี้สินค้าที่ตนวางขายพลางอธิบายให้ลูกค้ากิตติศักดิ์สองคนฟังทีละชิ้น ซึ่งแน่นอนว่าขนมที่ว่าไม่ใช่ของจริง แต่เป็นของเล่นพลาสติก“ปันปันอยากกินอันไหน” ลูกค้ากิตติมศักดิ์คนที่หนึ่งหันไปถามลูกค้ากิตติมศักดิ์คนที่สอง“กิน นี่ อันนี้”เพราะยังไม่ถึงสองขวบดีเด็กหญิงเลยเปล่งได้เป็นคำ ๆ ก่อนจะยืนยันความต้องการของตนด้วยการคว้าของสิ่งนั้นมาถือไว้“คุณลูกค้าาา เดี๋ยวก่อนค่ะ ต้องขอใส่จานก่อน”แม่ค้าถึงกับหวีดร้อง รีบหยิบจาน แต่เพราะที่คีบของเล่นใช้งานยาก สุดท้ายเธอก็ใช้มือเล็ก ๆ ของตนหยิบขนมของเล่นที่เหลือใส่จานแล้วยื่นให้“สิบบาทค่าาา”กระดาษสีเขียวที่มีเลข 20 พิมพ์ไว้เลียนแบบธนบัตรของจริงถูกยื่นไปให้แ
ปวินท์หมุนตัวมาเตรียมชามสำหรับใส่อาหาร ตอนนั้นเองหางตาก็เห็นร่างอรชรที่หยุดฝีเท้าไว้เพียงหน้าทางเข้า“อ้าว ลงมาเร็วจัง”“แม่!”เด็กชายปราชญ์หันมองตาม พอเห็นเป็นมารดาก็เลิกสนใจเครื่องปั่น ร่างสมส่วนที่บัดนี้สูงเกินเกณฑ์เด็กสี่ขวบนิดหน่อยถลันไปหา“อันนี้ นี่ ปราชญ์ทำแหละครับ”เด็กชายปราชญ์ชี้ไม้ชี้มือ รีบโอ้อวด ทำเอาคนที่เตรียมทุกอย่างแต่ถูกแย่งหน้าที่ไปในห้านาทีสุดท้ายได้แต่ส่ายหัวยิ้ม ๆ หากก็ไม่ได้ทักท้วงหักหน้าลูกชาย“หูยยย แบบนี้ต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย ไหนดูสิ วันนี้พี่ปราชญ์ทำอะไรให้น้องปันปันกินครับ”โชติมนต์ทำหน้าตื่นเต้นแล้วเดินตามลูกชายที่จูงมือเธอไปดูเครื่องปั่น ฟังเด็กน้อยเล่าอย่างกระตือรือร้นว่าตนได้หยิบจับ ทำอะไรไปบ้างอย่างตั้งใจ กระทั่งจบก็ยกนิ้วโป้งให้“เก่งจังเลยครับพี่ปราชญ์ของแม่”“ใช่ ๆ พี่ปราชญ์ก็ว่าพี่ปราชญ์เก่ง”นอกจากไม่ถ่อมตัวแล้ว เด็กชายยังยืดอกรับคำชมอย่างภาคภูมิด้วย โชติมนต์หัวเราะ ลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู“วันนี้แม่ว่าน้องต้องกินข้าวที่พี่ปราชญ์ทำให้เยอะแน่ๆ เลยครับ”และพอรู้ว่าน้องสาวลงมานั่งรอที่ชั้นล่างแล้ว เด็กชายปราชญ์ที่เมื่อครู่ทั้งยืนยันนั่งยันว่าจะทำม







