ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
บทนำ“ให้เธอได้กับเขาแล้วจงโชคดี อย่ามี อะไรให้เสียจาย...”“ไหวไหมวะน้ำค้าง ฉันว่ารีบพามันกลับเถอะ”“เรียกรถแล้ว เดี๋ยวเราไปรอตรงนั้น”ฉันบอกหนึ่งในเพื่อนสนิทที่คบกันตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนอีกคนที่กำลังเมาหัวทิ่มอยู่นั้นคือ ระรินเราสามคนเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 สนิทกันมากที่สุดก็คงมีแค่นี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็พอมีไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างส่วนมากก็ไปด้วยกันเพราะทำงานเป็นกลุ่มเราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ติดอันดับท็อปทุกโพล ค่าเทอมแพงในระดับหนึ่งแต่ที่ฉันเข้ามาเรียนได้เพราะสอบชิงทุนจากผู้ใหญ่ใจดี ซึ่งฉันเองก็รู้จักแค่ชื่อ ลำพังตัวฉันคงไม่สามารถจ่ายค่าเทอมแพงๆ แบบนี้ได้หรอก เพราะฉันอาศัยอยู่กับยายและน้องชายอีกคนยายขายขนมไทยเลี้ยงดูเราและส่งเสียให้เรียนในโรงเรียนรัฐบาลจนจบก็ถือว่าท่านเก่งมากแล้ว พอขึ้นมหาวิทยาลัยฉันก็ต้องทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระของท่านด้วย เพราะตอนนี้ ‘น้ำหนาว’ น้องชายของฉันที่เรียนอยู่ชั้นมอห้า กำลังหาที่เรียนพิเศษเพราะอยากสอบติดคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันครืด~ ครืด~“จิน แกพาระรินข้ามไปรอฝั่งนู้นเลย” ฉันบอกเพื่อนแล้วก็ล้วงเอามือถือขึ้นมากดรับสาย
ตอนที่ 1 คู่กรณี“นี่เงิน เท่านี้พอไหม”“พอแล้ว ขอบคุณครับ” หนาวรับเงินจากฉันแล้วยกมือไหว้ด้วยรอยยิ้ม “ไปแล้วนะพี่ ลายายแล้ว”“อื้ม ขับรถระวังด้วย”วันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งปกติแล้วถ้าไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรฉันจะกลับบ้านอยู่แล้ว เพราะอยากมาช่วยยายทำขนมขายช่วงวันหยุด วันเสาร์และอาทิตย์ยายต้องทำปริมาณมากกว่าเดิมเพื่อที่จะเอามันไปขายตลาดนัดตอนเช้า ยิ่งถ้าตรงกับวันพระด้วยวันนั้นจะต้องทำเพิ่มอีกหลายเท่า บางทีถึงกับต้องจ้างคนมาช่วยแต่รายได้ก็ไม่ถึงกับทำให้เรามีฐานะที่ดีขึ้นเพราะยายต้องแบกรับภาระหลายอย่างทั้งที่อายุท่านย่างเข้าเจ็ดสิบแล้วควรจะได้พักแต่กลับต้องมาเลี้ยงดูพวกเราสองคน ไหนจะลูกเลวๆ อีกคนด้วย“เมื่อเช้าน้าอิฐโทรมา บอกว่าขายไก่ชนได้หลายหมื่นจะโอนมาให้เราใช้” ยายเอ่ยขณะที่กำลังจัดเตรียมของสำหรับทำขนมเช้าพรุ่งนี้ ท่านไม่ได้หันมามองฉันนั่นคงเป็นเพราะไม่อยากรับรู้ว่าฉันทำหน้ายังไงน้าอิฐเป็นน้องชายของแม่ฉันซึ่งเสียไปแล้ว ลูกชายคนเล็กของยาย แม่เป็นลูกคนโต นิสัยของแกคือเอาแต่ใจเพราะตอนเด็กยายคงเลี้ยงดูมาแบบตามใจมาก ไม่มีงานการทำเอาแต่เที่ยวเล่นพนัน หลักๆ ก็ชนไก่และค้าขายไก่ชนพวกนั้น แต่รายได้ก
JIN JIN : รอบนี้ไปบ้านเด็กกำพร้า ฉันแอบถามพี่รหัสมาแล้วระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไปค่า ไม่พลาดระริน ไม่ใช่ ละลิน : รักเด็ก อยากเลี้ยงเด็กJIN JIN : เด็กแบบไหนคะระริน ไม่ใช่ ละลิน : เด็กทุกแบบค่ะ เด็กโตยิ่งดีJIN JIN : พักเรื่องผู้ชายก่อนนะคะมุง วันก่อนเมาหยั่งหมาฉันแอบขำกับข้อความที่พวกนั้นคุยกันในกลุ่มแชทของพวกเราสามคน เพราะตอนนี้มือยังไม่ว่างจะตอบเลยได้แต่อ่านข้อความที่พวกมันคุยเล่นกันJIN JIN : ไปไหมน้ำค้าง อ่านไม่ตอบระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่แชทผู้ชาย เพื่อนดองก่อนค่ะ!NAMKHANG : (ทำขนมช่วยยายอยู่จ้า สาวๆ อ่านแล้ว รับรู้แล้ว โอเคนะ)ฉันใช้นิ้วที่ยังไม่เปื้อนน้ำตาลจิ้มลงไปบนหน้าจอมือถือรุ่นเก่าๆ ของตัวเองแล้วกดส่งข้อความเสียง ลำพังมันก็จะพังมิพังอยู่แล้วเลยต้องจิ้มเบาๆ หลายทีเพราะยังไม่มีเงินจะซื้อหรอก เครื่องนี้ยายซื้อให้ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มอสี่แล้วJIN JIN : อยากไปช่วย อยากไปเที่ยวบ้านน้ำค้างคนสวยจังเลยค่ะระริน ไม่ใช่ ละลิน : เห็นแก่กิน เรื่องช่วยอย่ามาพูดฉันหัวเราะกับข้อความของพวกมันที่เถียงกันไปมา พลางทำไส้ขนมให้ยายไปด้วย ทำไส้แค่อย่างเดียวแต่ยายเอาไปทำขนมได้หลากหลายเลย ถ้าเ
ตอนที่ 2 เขาคือใครวันหยุดมันผ่านไปเร็วจนไม่น่าเชื่อ และแล้วก็เป็นเช้าของวันจันทร์ที่ฉันไม่อยากให้มาถึง แต่ก็ยังต้องตื่นเช้ามาเรียนตามปกติ สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติคือเช้านี้ฉันเลือกที่จะเข้ามานั่งรออาจารย์ในห้องเรียนวิชาแรกแทนที่จะรอพวกเพื่อนอยู่ใต้ตึกครืด~ ครืด~ขณะที่กำลังจะทิ้งสะโพกลงกับเก้าอี้เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นเบอร์ของคู่กรณีที่จ้องจะเอาเงินจากฉันอยู่ฉันกดปิดเสียงแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ในกระเป๋า หันซ้ายขวาอย่างระแวดระวังเพราะตอนนี้เริ่มมีเพื่อนทยอยเข้ามาในห้องกันแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนที่ตามมาทวงเงินฉันเป็นใครหน้าตายังไง มีแค่เขานั่นแหละที่รู้ว่าหน้าตาฉันเป็นแบบไหน“ขอโทษนะครับ”เฮือก!อยู่ๆ ฝ่ามือของใครบางคนก็แตะลงมาที่ต้นแขนพร้อมกับเสียงเข้มนั้น เล่นเอาฉันตกใจจนต้องสะบัดมือนั้นออกโดยไม่ตั้งใจ แต่พอหันมองก็เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนคณะอื่นที่มาลงเรียนวิชานี้ ซึ่งฉันเองก็เห็นหน้าค่าตามาร่วมเดือนแล้วหรือเขาคือเจ้าของรถวันนั้น…“มะ…มีอะไรคะ”“ออ พอดีเราจะถามเรื่องงานที่อาจารย์สั่งน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”“ออ…ถามอะไรเหรอ”ฉันพูดพลาง
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค