เขาไม่ชอบผู้หญิงเห็นแก่เงิน ส่วนเธอ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ 'เงิน' พี่ฟิวส์ รุ่นพี่ปี 4 ตำแหน่งนายกสโมสรนักศึกษาที่ได้มาเพราะความหล่อล้วนๆ เขาคือหนุ่มสุดฮอตที่เหมือนไม่สนใจความรักแต่ดันหลงเสน่ห์ความน่ารักของสาวปีหนึ่งไปเต็มๆ น้ำค้าง นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง แต่ดันไปมีเรื่องกับนายกสโมสรนักศึกษาจอมขี้เก๊ก แถมไปตกปากรับคำว่าจะช่วยทำงานเพื่อแก้ปัญหาที่ก่อไว้ สุดท้ายความใกล้ชิดจึงเป็นเหตุ...
View Moreบทนำ
“ให้เธอได้กับเขาแล้วจงโชคดี อย่ามี อะไรให้เสียจาย...”
“ไหวไหมวะน้ำค้าง ฉันว่ารีบพามันกลับเถอะ”
“เรียกรถแล้ว เดี๋ยวเราไปรอตรงนั้น”
ฉันบอกหนึ่งในเพื่อนสนิทที่คบกันตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนอีกคนที่กำลังเมาหัวทิ่มอยู่นั้นคือ ระริน
เราสามคนเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 สนิทกันมากที่สุดก็คงมีแค่นี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็พอมีไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างส่วนมากก็ไปด้วยกันเพราะทำงานเป็นกลุ่ม
เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ติดอันดับท็อปทุกโพล ค่าเทอมแพงในระดับหนึ่งแต่ที่ฉันเข้ามาเรียนได้เพราะสอบชิงทุนจากผู้ใหญ่ใจดี ซึ่งฉันเองก็รู้จักแค่ชื่อ ลำพังตัวฉันคงไม่สามารถจ่ายค่าเทอมแพงๆ แบบนี้ได้หรอก เพราะฉันอาศัยอยู่กับยายและน้องชายอีกคน
ยายขายขนมไทยเลี้ยงดูเราและส่งเสียให้เรียนในโรงเรียนรัฐบาลจนจบก็ถือว่าท่านเก่งมากแล้ว พอขึ้นมหาวิทยาลัยฉันก็ต้องทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระของท่านด้วย เพราะตอนนี้ ‘น้ำหนาว’ น้องชายของฉันที่เรียนอยู่ชั้นมอห้า กำลังหาที่เรียนพิเศษเพราะอยากสอบติดคณะที่ตัวเองใฝ่ฝัน
ครืด~ ครืด~
“จิน แกพาระรินข้ามไปรอฝั่งนู้นเลย” ฉันบอกเพื่อนแล้วก็ล้วงเอามือถือขึ้นมากดรับสายจากน้องชายตัวเอง “ว่ายังไงหนาว”
(พี่ค้างอยู่ไหน)
“อยู่ข้างนอกกับเพื่อน แต่กำลังจะกลับหอแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ปกติฉันไม่ได้ออกมาข้างนอกจนดึกดื่นอย่างนี้หรอกเพราะไม่ใช่คนชอบเที่ยวอะไร จะมีก็แค่ออกไปทำงานร้านเหล้าซึ่งเป็นงานพิเศษที่ทำอยู่ตอนนี้ อีกอย่างอายุพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าร้านเหล้าได้ นอกเสียจากว่าแอบเข้าเพราะมีคนที่ยัยจินมันรู้จักอย่างวันนี้ เพราะระรินอกหักรักคุดจากรุ่นพี่ที่มันแอบชอบมา
(วันศุกร์นี้ผมต้องไปนอนบ้านเพื่อนพี่ค้างจะกลับมานอนกับยายไหม)
“...กลับ ไม่น่าจะมีกิจกรรมอะไร”
เพราะช่วงเทอมหนึ่งที่ผ่านมานี้กิจกรรมของคณะค่อนข้างเยอะพอสมควร ส่วนเทอมสองนี้ก็มีเพลาๆ ลงบ้างแต่ก็เหลือกิจกรรมของชมรมที่พวกเราเข้าร่วมกันเพราะถูกรุ่นพี่ในคณะชักชวน
(โอเค...)
“มีอะไรหรือเปล่า” ฉันถามน้องเมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำหนาวอยากจะพูดอะไรหรือมีเรื่องลำบากใจบางอย่าง
(ผมไม่กล้าขอเงินยาย กลัวยายจะไม่มีให้)
“เดี๋ยวพี่เอาให้ เงินพี่ออกพรุ่งนี้ เอาไว้ติดตัว”
(...ขอบคุณครับ ผมรักพี่นะ)
“ที่เรื่องตังละปากหวานเชียว” ฉันแซวน้องแล้วเผลอยิ้มออกมาคนเดียว แล้วสายตาก็เห็นว่ายัยจินกำลังโบกมือให้เป็นสัญญาณว่ารถกำลังมาถึงแล้ว ฉันจึงรีบเดินข้ามถนนตามพวกมันไป
เอี๊ยด!!
เพราะมัวแต่ดูยัยสองคนนั้นกับคุยโทรศัพท์ทำให้ฉันไม่ระวังมองเห็นรถที่กำลังแล่นมา เสียงล้อรถบิ๊กไบก์คันใหญ่ที่บดกับถนนสร้างความตกใจจนต้องหันไปมอง
รถคันนั้นที่วิ่งมาด้วยความเร็วก่อนหักหลบตัวฉันไปจนทำให้ตัวเองเสียหลักล้มลงข้างทาง ที่เป็นโพลงหญ้าสีเขียวกลุ่มหนึ่ง วินาทีนั้นมันทั้งตกใจและกลัวจนขาขยับไม่ได้ ทั้งมือทั้งขามันแข็งทื่อไปหมด
“ยัยน้ำค้าง!!”
(พี่ค้างเป็นอะไรไป พี่!)
เสียงของยัยจินและเสียงจากปลายสายเรียกสติของฉันแต่ก็กลับคืนมาไม่หมด จากที่ร่างกายแข็งทื่อตอนนี้มันเริ่มสั่น สายตาจับจ้องไปที่รถคันนั้นที่ล้มอยู่ พอตั้งสติได้ฉันก็รีบบอกกับน้องว่าไม่เป็นอะไรก่อนจะตัดสายแล้ววิ่งไปดูคนที่กำลังเจ็บ
“คุณ...เป็นอะไรไหมคะ”
“อืม...” ชายคนนั้นครางเบาๆ ในลำคอแล้วพยายามหยัดตัวลุกขึ้น
เขาสวมเสื้อและกางเกงยาวทั้งชุดสวมถุงมือและหมวกกันน็อคแบบปิดทั้งหน้าจนมองเห็นแค่ตา แต่แค่นั้นก็ทำให้ฉันตัวชาวาบเมื่อเขาตวัดสายตาคู่นั้นมองมาพร้อมกับก้าวขายาวๆ ราวกับนายแบบนั้นตรงมาหาฉัน
“ยัยน้ำค้าง เป็นอะไรไหม เอ่อ...” จินทิ้งระรินนั่งตรงนั้นแล้ววิ่งมาหาฉันอย่างกังวลแต่พอเจอสายตาอำมหิตจากอีกฝ่ายตรงหน้า มันก็นิ่งค้างไปไม่ต่างกัน
“จะข้ามถนนทำไมไม่มองรถวะ!”
“ขะ...ขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณเจ็บตรงไหนไหม ไปโรงพยาบาลดีไหม”
“ไม่ตายก็บุญแล้วมั้ง” น้ำเสียงหงุดหงิดนั้นทำให้ฉันไม่กล้าพูดอะไรต่อ จะบอกว่าขอรับผิดชอบทั้งหมดก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากเพราะฉันมีปัญหาเรื่องการเงินมาโดยตลอด ทำงานเสริมก็แค่พอใช้จ่ายของตัวเองช่วงเรียน
เขาเดินไปดูรถของตัวเองก่อนจะดึงถุงมือข้างหนึ่งออกแล้วเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคนแล้วจึงเดินกับมาหาฉันแล้วสั่งเรียบ
“เอาบัตรมา เบอร์โทรด้วย”
ฉันฝืนใจหยิบเอากระเป๋าของตัวเองออกมาหยิบบัตรประชาชนและบัตรนักศึกษาที่มันติดมาด้วยแล้วยื่นมันไปให้เขา เผื่อว่าเขาจะเห็นใจที่ฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่ จะได้รู้ว่าฉันไม่มีปัญญารับผิดชอบรถราคาแพงของเขาแน่
“แล้วรถเป็นอะไรมากไหมคะ”
เขาไม่ตอบ ดึงบัตรทั้งสองใบของฉันไปถ่ายรูปก่อนจะคืนบัตรประชาชนมาให้ ย้ำว่าแค่บัตรประชาชนใบเดียว ส่วนบัตรนักศึกษาเขายัดมันลงกระเป๋าหลังของตัว
“บัตรนักศึกษาหนูค่ะ”
“ฉันต้องใช้เผื่อเธอทำเนียนหาย เอาเบอร์มาด้วยฉันจะให้ประกันติดต่อไป”
“แต่หนูคงไม่มีปัญญาจ่าย”
“พวกเรายังเป็นนักศึกษาอยู่เลยค่ะ ขอโทษแทนเพื่อนหนูด้วยนะคะพี่” ยัยจินที่เงียบไปนานรีบพูดเพื่อช่วยฉันบ้าง
“...” เขามองฉันกับเพื่อนผ่านหมวกกันน็อคใบนั้นนิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังตำหนิด้วยคำไหนในใจ จนต้องหลบสายตาแล้วขอโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาก่อนจะบอกเบอร์ของตัวเองไป
“คราวหลังก็หัดระวังหน่อย เดี๋ยวก็ได้ตายเพราะคุยโทรศัพท์”
พูดจบเขาก็เดินกลับไปที่รถก่อนที่จะมีรถซุปเปอร์คาร์ของใครบางคนแล่นมาจอดเทียบข้างทาง ผู้ชายที่รุปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งลงจากรถก็หันมามองพวกเราแวบหนึ่งแล้วเดินไปหาคู่กรณีของฉัน
“พวกหนูขอกลับก่อนนะคะ ถ้ายังไงพี่ติดต่อมาหน่อย”
“อืม อย่าหนีแล้วกัน”
เขาพูดแล้วก็มองฉันด้วยหางตา ส่วนเพื่อนเขาที่หน้าตาดีมากๆ นั้นก็มองพวกเราด้วยสายตาที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือสายตาตำหนิ ฉันไม่ได้อยากหนีปัญหาหรอกแต่อยู่ไปก็เหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้แถมยังโดนมองแรงจนรู้สึกไม่ดี ขนาดเห็นแค่ตายังขนาดนี้ดีแล้วที่ไม่ยอมถอดหมวกนั่น
“ไม่หนีหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง ถ้าหนีก็ตามจากบัตรได้เลย”
“...” เขาปรายตามองแล้วก็หันกลับไปคุยกับเพื่อน
“กลับกันเถอะน้ำค้าง” จินกระซิบแล้วรีบดึงแขนฉันออกมาจากตรงนั้น ส่วนระรินไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่งร้องเพลงอกหักอยู่คนเดียวตรงฟุตบาท ยังดีรถที่เรียกมานั้นรอเราสามคนอยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้ลำบากใจอยู่ตรงนี้อีกนานแน่
---------------
ทุกคนขา เจิมเรื่องใหม่ของเซตรุ่นพี่ ตอนแรก
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ฝากติดตามพลอยได้ที่เพจ พลอยแพรวา นักเขียน ค่าา
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค
Comments