Войтиเฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้น
ชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ
“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”
ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่น
หญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว
...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...
ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไป”
เขาทำตัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ แบบนี้ แล้วจะให้เธอเชื่อใจได้อย่างไรว่าเขาอยากกลับมาคบกับเธอจริง ๆ
หลังเลิกงาน ภัทรมัยขับรถกลับบ้านตามปกติ แวะกินมื้อเย็นจากร้านอาหารตามสั่งแถวคอนโดฯ จากนั้นก็ขึ้นห้องอาบน้ำสระผม แล้วนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรด
นั่งดูได้ไม่นานนักก็มีคนมากดออด หญิงสาวมองนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งสองทุ่มเท่านั้นจึงอดสงสัยไม่ได้ เพราะถ้าเป็นวริศ เขามักจะกลับถึงบ้านประมาณสามทุ่มกว่าไปจนถึงสี่ทุ่มเพราะคลินิกปิดสองทุ่ม
ภัทรมัยรีบลุกขึ้นไปส่องช่องตาแมว เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ต้องเบิกตากว้าง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นโครมครามจนต้องยกมือขึ้นมาทาบไว้
พี่เวฟ!
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อตั้งหลักก่อนจะเปิดประตูออก ตอนแรกคิดว่าจะกล่าวอะไรที่เป็นการยั่วยุเขาสักประโยคเพื่อกลั่นแกล้งเขาเล่น แต่พอเห็นใบหน้าซูบซีด แววตาเศร้าสร้อย ดวงตามีเส้นเลือดฝอยขึ้นเด่นชัดราวกับคนอดนอน คำพูดของเธอที่หลุดปากออกไปกลับเป็นประโยคที่ตรงกันข้ามกับความตั้งใจเดิม
“พี่เวฟเป็นอะไรรึเปล่า” หญิงสาวพูดจบ ชายหนุ่มก็รวบตัวเธอเข้าไปกอดทันที
ชยาวุธกอดเธอไว้อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร ได้ยินแต่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาดังอยู่ข้างหู และอัตราการเต้นของหัวใจเขาที่ตอนแรกเต้นระรัว แล้วค่อย ๆ เต้นช้าลงจนเป็นปกติ
“พี่เข้ามาก่อนเถอะ” หญิงสาวพูดเบา ๆ ชยาวุธจึงคลายอ้อมกอดแล้วเดินเข้าห้องไป
ภัทรมัยรินน้ำดื่มเย็น ๆ ไปวางไว้ให้เขา กำลังจะผละไปนั่งที่โซฟาอีกตัว ชายหนุ่มก็คว้าข้อมือของเธอไว้เสียก่อน
“แก้มนั่งข้างพี่ก่อนได้ไหม”
หญิงสาวก้มลงมองอดีตแฟนหนุ่ม เห็นแววตาอย่างคนเหนื่อยล้า ไม่มีร่องรอยของการหยอกเย้าอย่างเคยจึงตัดสินใจยอมนั่งข้างเขาแต่โดยดี
เขากุมมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็แหงนศีรษะเอาท้ายทอยพิงไว้กับพนักโซฟาแล้วหลับตาลง หญิงสาวเองก็ไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าบางครั้งความเงียบก็ช่วยได้มากกว่าคำพูดดี ๆ หลายประโยค
ชยาวุธเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นนอนหนุนตักภัทรมัย เขายังคงกุมมือเธอเอาไว้แล้ววางให้มือนั้นอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของเขา
“อย่าหาว่าพี่พูดไปเรื่อยเลยนะ แต่บอกตามตรงว่าตอนเห็นหน้าแก้ม ใจพี่สงบลงเยอะเลย”
ภัทรมัยรู้สึกหัวใจพองฟูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่เป็นอะไรรึเปล่า ดูสีหน้าไม่ค่อยดี”
ชายหนุ่มยกมือของเธอขึ้นจูบเบา ๆ “เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ขออยู่อย่างนี้ก่อน” เขาหยุดพูดแล้วลืมตามองหน้าเธอ
“พี่คิดถึงแก้ม”
ชยาวุธใช้มืออีกข้างลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยว่า “พี่หายไปจัดการเรื่องงานศพมาน่ะ นี่ก็ยังไม่เสร็จดีหรอก คืนนี้เพิ่งสวดคืนที่สามเอง”
“ญาติหรือ” เธอถาม เพราะได้ยินที่ออฟฟิศบอกอย่างนั้น
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่” เขาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาว แต่หญิงสาวรู้สึกว่ามือของตนถูกบีบแน่นขึ้น
“ความจริงแล้ว...พี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย”
ภัทรมัยเบิกตากว้าง “หา! ยังไงนะพี่เวฟ เล่าให้แก้มฟังได้ไหม”
ชยาวุธเริ่มเล่าตั้งแต่มารดาของอดีตคนรักเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการโรคหัวใจกำเริบ และรอการผ่าตัด จนกระทั่งถึงตอนที่อีกฝ่ายโทรศัพท์มาต่อว่าเขาเรื่องที่เขาปฏิเสธเรื่องกลับไปคบหากับเฟิร์น
“เมื่อวันเสาร์ตอนที่พี่แชตคุยกับแก้มเสร็จ พี่ดูโทรศัพท์เห็นเฟิร์น โทร.หาพี่หลายรอบ แม่พี่ก็ โทร.มา แต่พี่ไม่ได้รับเพราะมัวแต่นั่งร่างสตอรีบอร์ด พอพี่ โทร.กลับไปถึงรู้ว่าแม่เขาเสียแล้ว พี่...รู้สึกแย่มากเลยแก้ม”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย ถึงเขาจะป่วย แต่ก็ไม่ควรมาสั่งให้คนอื่นทำตามใจตัวเองแบบนี้สิ แล้วพอไม่ได้ดั่งใจก็อาการกำเริบขึ้นมา นี่มันเป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อนชัด ๆ” ทั้งยังเป็นการสร้างตราบาปให้กับคนคนนั้นอีกด้วย
นิสัยแย่มาก!
“พี่เวฟเลิกรู้สึกผิดได้แล้ว” เธอรู้นิสัยของเขาดี ชยาวุธเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง เวลาทำงานด้วยกันถ้างานไหนเกิดความผิดพลาดขึ้น และมีสาเหตุมาจากงานที่เขารับผิดชอบโดยตรง วันนั้นเขาจะเครียดไปทั้งวัน
“มันอดคิดไม่ได้น่ะแก้ม ตอนเที่ยงเพิ่ง โทร.มาบ่นพี่หยก ๆ ตอนค่ำมาเขาเสียแล้ว และเขาก็อาการกำเริบตั้งแต่ตอนที่ โทร.คุยกับพี่เสร็จ มันปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพี่เป็นสาเหตุให้เขาตาย”
“ไม่ใช่ พี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย อย่าเอาความผิดมาโยนใส่หัวตัวเองอย่างนั้น ถ้างั้นแก้มถามหน่อย สมมติถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตอนที่ป้าคนนั้น โทร.หาพี่ พี่จะตอบรับคำขอของเขาไหมล่ะ ที่เขาอยากให้พี่แต่งงานกับลูกสาวเขาน่ะ”
ชยาวุธนิ่งไปทันทีที่ได้ยิน เพราะหากคิดตามคำพูดของภัทรมัยแล้ว คำตอบของเขาก็คงเป็น “ไม่” เช่นเดิม ทว่าการนิ่งของเขากลับทำให้หญิงสาวเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะตอบรับคำขอร้องนั้นแน่นอน
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง เห็นเธอหันหน้าไปทางอื่น แต่ขอบตาแดงเรื่ออย่างคนที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ก็รู้ทันทีว่าเธอคงเข้าใจเขาผิดเสียแล้ว เขาจึงยื่นหน้าเข้าไปหา โอบเอวเธอไว้กระซิบเบา ๆ ว่า
“ก็คงตอบว่าไม่อยู่ดีแหละ” เขาพูดจบก็ก้มลงจูบทันทีโดยไม่ให้โอกาสหญิงสาวได้ตั้งตัว
ชายหนุ่มจูบอย่างเรียกร้องและโหยหา กว่าสิบวันที่ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัว ไม่ได้กอด ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำจึงยิ่งส่งผลให้เขาไม่ต่างอะไรกับเชื้อเพลิงชั้นดีที่ปะทุขึ้นเป็นเปลวไฟโหมกระพือเมื่อถูกกระตุ้น
“อื้อ พี่เวฟ เดี๋ยว...” หญิงสาวพยายามเบี่ยงหน้าออก แต่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาซุกไซ้พรมจูบซอกคอ มืออุ่นร้อนเริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อนอนตัวโคร่งที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าภายในนั้นไม่มีเสื้อชั้นในให้เกะกะมือ
เขาดันเธอให้นอนราบไปบนโซฟาโดยที่ตนทาบทับอยู่ด้านบน ริมฝีปากอุ่นเข้าครอบครองยอดอกที่ชูช่ออะร้าอร่ามอยู่ตรงหน้าขณะที่ด้านล่างบดเบียดจุดอ่อนไหวเข้าหาอย่างยั่วเย้าเป็นจังหวะ จนได้ยินเสียงครางหวานหูจากคนใต้ร่าง เพียงไม่นานหญิงสาวก็เปลือยเปล่านอนทอดกายอ่อนระทวยมองเขาด้วยสายตาเร่าร้อน
“แล้วน้องเขารู้รึยังว่ามึงชอบเขา” ทิวากรถามยิ้ม ๆ“จะรู้ได้ไง ก็กูไม่ได้บอก”ทิวากรกลอกตาพลางเอ่ยว่า “เหรอออ ไอ้คุณเวฟครับ กูว่าน้องเขาน่าจะรู้แล้วละครับ เพราะมึงน่ะมองเขาตาเชื่อมขนาดนั้น แหม...ไม่แสดงออกเลยสักนิด แค่คนเขารู้เขาเห็นกันทั้งบริษัทแค่นั้นเอง”“เฮ้ยถามจริง น้องเขารู้หรือวะ” คนอื่นเขาไม่สนใจ ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป แต่ภัทรมัยนั้นเขาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโสด ถ้าเขาเผลอมองเธอตาเชื่อมจริง เธอจะต้องคิดแน่ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ“ไม่ได้การแล้วไอ้ทิว มึงรีบไปป่าวประกาศให้กูด่วนเลยว่ากูโสดแล้ว”และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะเริ่มจีบภัทรมัยอย่างจริงจังสักทีชยาวุธกับทีมงานคนอื่น ๆ นั่งฟังบรีฟงานจากภัทรมัยในห้องประชุมเล็ก ตลอดเวลาที่นั่งประชุม ชายหนุ่มแทบไม่ละสายตาไปจากเออีคนสวยเลย และเขาไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว แต่ยังยิ้มนิด ๆ ตลอดเวลาด้วยภัทรมัยรู้ตัวว่าถูกชยาวุธจ้องเอา ๆ ก็อดประหม่าไม่ได้ หญิงสาวต้องตั้งสติและใช้สมาธิอย่างมา
“เฮ้อ...” ภัทรมัยถอนหายใจอีกครั้งทั้งยังเผลอมองเขาไม่วางตา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น หัวคิ้วของหญิงสาวพลันขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีตาคนนี้ปล่อยให้คนอื่นเขาแซงคิวอีกแล้ว...นังแก้มจะไม่ทน!หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาชยาวุธด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่ไม่ได้พูดกับเขา เธอพูดกับผู้หญิงคนนั้น“ขอโทษนะคะ ท้ายแถวอยู่ตรงนั้นค่ะ กรุณาไปต่อคิวด้วย”“อะไรกัน ก็คุณคนนี้...” ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ ภัทรมัยก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก“ถึงพี่ฉันจะยอมให้คุณแซงคิว แต่ฉันไม่ให้ และฉันจะเข้าคิวแทนพี่เขาเอง เพราะฉะนั้นกรุณาไปต่อท้ายแถวค่ะ” หญิงสาวชี้ไปทางท้ายแถว จากนั้นหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า“พี่เวฟไปนั่งรอก่อนเลย แก้มจะแลกการ์ดเอง” พูดจบก็หันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นต่อ เจ้าหล่อนเห็นคนเริ่มมองมาหลายคน อีกทั้งคนที่ต่อแถวบางคนก็ทำหน้าไม่พอใจ จึงเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากแถวทันทีเมื่อแลกการ์ดเรียบร้อยแล้ว ภัทรมัยจึงเดินไปหาชยาวุธที่นั่งรออยู่ จากนั้นก็ยื่นการ์ดให้เขา&
เออีน้องใหม่ภัทรมัยเดินออกจากลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ วันนี้เธอเริ่มงานวันแรกกับบริษัทโฆษณาที่จัดว่าเป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เธอใฝ่ฝันอยากทำบริษัทนี้มานานแล้ว เคยมาสัมภาษณ์สองครั้ง แต่ไม่ถูกเรียกให้เข้าทำงาน หญิงสาวจึงต้องไปสมัครบริษัทอื่น ทำอยู่หลายปีจนกระทั่งทราบข่าวว่าบริษัทนี้เปิดรับ Account Executive เธอจึงลองยื่นใบสมัครดูอีกครั้ง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้านไปรอฟังผล ผ่านไปสองวันจึงได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลว่าเธอได้รับการพิจารณาให้เป็นพนักงานของบริษัทแล้วภัทรมัยจำได้ว่าวันนั้นตนกรี๊ดลั่นห้องจนเพื่อนชายที่อยู่ห้องติดกันรีบมาเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนึกว่าเธอเกิดอันตรายขณะที่หญิงสาวกำลังจะผลักประตูเข้าไป เสียงทุ้มจากด้านหลังพลันดังขึ้นจนทำให้เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาติดต่อธุระอะไรรึเปล่าครับ”ภัทรมัยลดมือลงจากที่จับประตูแล้วหันไปมองคนถาม ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้หน้าตาใช้ได้ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปลายถึงสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ ดูท่าทางเป
โลกใบแรกที่เป็นทนายปราบต์ได้ตายไปแล้ว แต่ยังเหลือโลกใบที่สองคือนวัช เจ้าของบ่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่เขาเหลือชีวิตเดียวแล้ว คงต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ให้สมกับที่มารดาของเขายอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เขาเติบโต...เมี้ยว...เสียงร้องแผ่วเบาของแมวตัวหนึ่งทำให้ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักลงทันที เขามองหาที่มาของเสียงจึงเห็นลูกแมวตัวเล็กยืนห่างเขาออกไปประมาณสามก้าว“แมวบ้านไหนเนี่ย” เขาไม่เคยได้ยินว่าคนแถวนี้เลี้ยงแมวสักคน จึงคิดจะจับตัวมันมาดูว่าสวมปลอกคอเอาไว้หรือไม่ แต่เจ้าตัวเล็กก็กระโดดหนีไปเสียก่อน และเพราะความมืดเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันมีสีอะไร แต่ในเมื่อมันไปแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจอีกทว่าพอเขาเดินเข้าบ้าน กลับเห็นลูกแมวตัวน้อยนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาราวกับเป็นบ้านของมัน“จะมาอยู่ด้วยกันรึไงเจ้าเหมียวน้อย” เขาก้มตัวลงมองมันชัด ๆ เป็นแมวไทยทั่วไปสีส้มท้องขาว มีปลอกคอสวมอยู่แสดงว่าเป็นแมวมีเจ้าของ“กลับบ้านไปได้แล้ว เจ้าของหาแย่แล้วมั้ง”มันเงยหน้ามองเขาเหมือนจะฟังรู้เรื่อง แต่พอเห็นมันเอนตัวลงนอนฟุบบนโซฟาเหมื
“น่ารักจังเลย กี่เดือนแล้วคะ” ภัทรมัยมองเด็กน้อยลูกครึ่งด้วยความเอ็นดู สีผมของทั้งคู่เป็นสีน้ำตาล นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเช่นกัน พวงแก้มแดงระเรื่อทั้งสองข้าง แขนขาจ้ำม่ำดูน่ากอดทั้งคู่“แปดเดือนแล้ว กำลังคลานเลย เวฟกับแก้มล่ะ เมื่อไรจะมีตัวเล็กบ้าง” เฟิร์นถามยิ้ม ๆ“คงอีกสักพักค่ะ” ภัทรมัยยิ้มแหย“โห นี่แปลว่าไปอยู่ที่โน่นได้ไม่นานก็แต่งงานเลยสิเนี่ย แฟนเป็นคนอเมริกันใช่ไหม แล้วรู้จักกันได้ยังไง” ชยาวุธยิ้มกว้างเช่นกัน ดีใจที่เห็นอดีตคนรักมีชีวิตที่ดี“ใช่ ตอนมาถึงที่นี่เฟิร์นก็ช่วยน้าทำงานในคลินิกสัตว์ และเพ็ทชอปน่ะ เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ เพราะพาแมวมาถ่ายพยาธิและหยอดยากันเห็บหมัดทุกเดือน มาซื้ออาหารแมว ทรายแมวบ่อย ๆ ก็เลยได้รู้จักกัน บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากคลินิกด้วย เขาจะออกมาวิ่งทุกเช้าเลยได้คุยกันทุกวัน”“ดีใจด้วยนะเฟิร์น ลูก ๆ น่ารักมาก แก้มแดงน่าหยิกมากเลย ไฮ...”ชายหนุ่มโบกมือทักทายเด็กน้อยที่มองตนตาแป๋วผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปยิ้มกับภรรยาอย่างถูกใจเมื่อเห
“ไอ้เสี่ยกวงมันอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เชื่อพี่ น่าจะตายอยู่ในคุกนั่นแหละ ไม่ได้ออกมาเห็นโลกภายนอกอีกหรอก”“แล้วคุณทนายล่ะ แก้มว่าเขาก็ทำบาปกับคนอื่นไว้ไม่น้อยเลยนะนั่น อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่”แม้จะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ภัทรมัยยังคงเชื่อว่าทนายปราบต์ยังไม่ตาย และคิดว่าเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้แน่นอน“จะไปคิดถึงมันทำไม มันทำให้พี่เกือบตายเชียวนะ” เขาตัดพ้อเสียงขุ่น ภัทรมัยจึงรีบกอดเขาไว้อย่างเอาใจ“แหม ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเขาทำยังไงถึงรอด หมายถึงว่าเขาทำยังไงถึงทำให้ตัวเองกลายเป็นคนตายไปได้ แล้วตอนนี้เขาจะใช้ชื่อว่าอะไร ยังอยู่ในประเทศไทยรึเปล่าแค่นั้นเอง”“เขาอยู่กับเสี่ยกวงมานาน ยังไงก็ต้องมีทางออกให้ตัวเองเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วละ แต่ไอ้เรื่องชุบตัวเป็นคนใหม่หรือสวมรอยเป็นคนอื่นรึเปล่าเราก็ไม่รู้กับเขาหรอก พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันน่าจะรู้กันเฉพาะกลุ่มว่ามีขบวนการทำให้ ดีไม่ดี เจ้าหน้าที่พวกนั้นอาจจัดการให้เขาเองก็ได้ ช่างมันเถอะ แค่อย่ามาให้เจอหน้าก็แล้วกัน บอกตามตรงเลยนะ พี่ไม่ถูกชะตา







