เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้น
ชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ
“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”
ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่น
หญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว
...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...
ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไป”
เขาทำตัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ แบบนี้ แล้วจะให้เธอเชื่อใจได้อย่างไรว่าเขาอยากกลับมาคบกับเธอจริง ๆ
หลังเลิกงาน ภัทรมัยขับรถกลับบ้านตามปกติ แวะกินมื้อเย็นจากร้านอาหารตามสั่งแถวคอนโดฯ จากนั้นก็ขึ้นห้องอาบน้ำสระผม แล้วนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรด
นั่งดูได้ไม่นานนักก็มีคนมากดออด หญิงสาวมองนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งสองทุ่มเท่านั้นจึงอดสงสัยไม่ได้ เพราะถ้าเป็นวริศ เขามักจะกลับถึงบ้านประมาณสามทุ่มกว่าไปจนถึงสี่ทุ่มเพราะคลินิกปิดสองทุ่ม
ภัทรมัยรีบลุกขึ้นไปส่องช่องตาแมว เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ต้องเบิกตากว้าง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นโครมครามจนต้องยกมือขึ้นมาทาบไว้
พี่เวฟ!
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อตั้งหลักก่อนจะเปิดประตูออก ตอนแรกคิดว่าจะกล่าวอะไรที่เป็นการยั่วยุเขาสักประโยคเพื่อกลั่นแกล้งเขาเล่น แต่พอเห็นใบหน้าซูบซีด แววตาเศร้าสร้อย ดวงตามีเส้นเลือดฝอยขึ้นเด่นชัดราวกับคนอดนอน คำพูดของเธอที่หลุดปากออกไปกลับเป็นประโยคที่ตรงกันข้ามกับความตั้งใจเดิม
“พี่เวฟเป็นอะไรรึเปล่า” หญิงสาวพูดจบ ชายหนุ่มก็รวบตัวเธอเข้าไปกอดทันที
ชยาวุธกอดเธอไว้อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร ได้ยินแต่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาดังอยู่ข้างหู และอัตราการเต้นของหัวใจเขาที่ตอนแรกเต้นระรัว แล้วค่อย ๆ เต้นช้าลงจนเป็นปกติ
“พี่เข้ามาก่อนเถอะ” หญิงสาวพูดเบา ๆ ชยาวุธจึงคลายอ้อมกอดแล้วเดินเข้าห้องไป
ภัทรมัยรินน้ำดื่มเย็น ๆ ไปวางไว้ให้เขา กำลังจะผละไปนั่งที่โซฟาอีกตัว ชายหนุ่มก็คว้าข้อมือของเธอไว้เสียก่อน
“แก้มนั่งข้างพี่ก่อนได้ไหม”
หญิงสาวก้มลงมองอดีตแฟนหนุ่ม เห็นแววตาอย่างคนเหนื่อยล้า ไม่มีร่องรอยของการหยอกเย้าอย่างเคยจึงตัดสินใจยอมนั่งข้างเขาแต่โดยดี
เขากุมมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็แหงนศีรษะเอาท้ายทอยพิงไว้กับพนักโซฟาแล้วหลับตาลง หญิงสาวเองก็ไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าบางครั้งความเงียบก็ช่วยได้มากกว่าคำพูดดี ๆ หลายประโยค
ชยาวุธเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นนอนหนุนตักภัทรมัย เขายังคงกุมมือเธอเอาไว้แล้ววางให้มือนั้นอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของเขา
“อย่าหาว่าพี่พูดไปเรื่อยเลยนะ แต่บอกตามตรงว่าตอนเห็นหน้าแก้ม ใจพี่สงบลงเยอะเลย”
ภัทรมัยรู้สึกหัวใจพองฟูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่เป็นอะไรรึเปล่า ดูสีหน้าไม่ค่อยดี”
ชายหนุ่มยกมือของเธอขึ้นจูบเบา ๆ “เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ขออยู่อย่างนี้ก่อน” เขาหยุดพูดแล้วลืมตามองหน้าเธอ
“พี่คิดถึงแก้ม”
ชยาวุธใช้มืออีกข้างลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยว่า “พี่หายไปจัดการเรื่องงานศพมาน่ะ นี่ก็ยังไม่เสร็จดีหรอก คืนนี้เพิ่งสวดคืนที่สามเอง”
“ญาติหรือ” เธอถาม เพราะได้ยินที่ออฟฟิศบอกอย่างนั้น
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่” เขาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาว แต่หญิงสาวรู้สึกว่ามือของตนถูกบีบแน่นขึ้น
“ความจริงแล้ว...พี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย”
ภัทรมัยเบิกตากว้าง “หา! ยังไงนะพี่เวฟ เล่าให้แก้มฟังได้ไหม”
ชยาวุธเริ่มเล่าตั้งแต่มารดาของอดีตคนรักเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการโรคหัวใจกำเริบ และรอการผ่าตัด จนกระทั่งถึงตอนที่อีกฝ่ายโทรศัพท์มาต่อว่าเขาเรื่องที่เขาปฏิเสธเรื่องกลับไปคบหากับเฟิร์น
“เมื่อวันเสาร์ตอนที่พี่แชตคุยกับแก้มเสร็จ พี่ดูโทรศัพท์เห็นเฟิร์น โทร.หาพี่หลายรอบ แม่พี่ก็ โทร.มา แต่พี่ไม่ได้รับเพราะมัวแต่นั่งร่างสตอรีบอร์ด พอพี่ โทร.กลับไปถึงรู้ว่าแม่เขาเสียแล้ว พี่...รู้สึกแย่มากเลยแก้ม”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย ถึงเขาจะป่วย แต่ก็ไม่ควรมาสั่งให้คนอื่นทำตามใจตัวเองแบบนี้สิ แล้วพอไม่ได้ดั่งใจก็อาการกำเริบขึ้นมา นี่มันเป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อนชัด ๆ” ทั้งยังเป็นการสร้างตราบาปให้กับคนคนนั้นอีกด้วย
นิสัยแย่มาก!
“พี่เวฟเลิกรู้สึกผิดได้แล้ว” เธอรู้นิสัยของเขาดี ชยาวุธเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง เวลาทำงานด้วยกันถ้างานไหนเกิดความผิดพลาดขึ้น และมีสาเหตุมาจากงานที่เขารับผิดชอบโดยตรง วันนั้นเขาจะเครียดไปทั้งวัน
“มันอดคิดไม่ได้น่ะแก้ม ตอนเที่ยงเพิ่ง โทร.มาบ่นพี่หยก ๆ ตอนค่ำมาเขาเสียแล้ว และเขาก็อาการกำเริบตั้งแต่ตอนที่ โทร.คุยกับพี่เสร็จ มันปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพี่เป็นสาเหตุให้เขาตาย”
“ไม่ใช่ พี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย อย่าเอาความผิดมาโยนใส่หัวตัวเองอย่างนั้น ถ้างั้นแก้มถามหน่อย สมมติถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตอนที่ป้าคนนั้น โทร.หาพี่ พี่จะตอบรับคำขอของเขาไหมล่ะ ที่เขาอยากให้พี่แต่งงานกับลูกสาวเขาน่ะ”
ชยาวุธนิ่งไปทันทีที่ได้ยิน เพราะหากคิดตามคำพูดของภัทรมัยแล้ว คำตอบของเขาก็คงเป็น “ไม่” เช่นเดิม ทว่าการนิ่งของเขากลับทำให้หญิงสาวเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะตอบรับคำขอร้องนั้นแน่นอน
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง เห็นเธอหันหน้าไปทางอื่น แต่ขอบตาแดงเรื่ออย่างคนที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ก็รู้ทันทีว่าเธอคงเข้าใจเขาผิดเสียแล้ว เขาจึงยื่นหน้าเข้าไปหา โอบเอวเธอไว้กระซิบเบา ๆ ว่า
“ก็คงตอบว่าไม่อยู่ดีแหละ” เขาพูดจบก็ก้มลงจูบทันทีโดยไม่ให้โอกาสหญิงสาวได้ตั้งตัว
ชายหนุ่มจูบอย่างเรียกร้องและโหยหา กว่าสิบวันที่ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัว ไม่ได้กอด ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำจึงยิ่งส่งผลให้เขาไม่ต่างอะไรกับเชื้อเพลิงชั้นดีที่ปะทุขึ้นเป็นเปลวไฟโหมกระพือเมื่อถูกกระตุ้น
“อื้อ พี่เวฟ เดี๋ยว...” หญิงสาวพยายามเบี่ยงหน้าออก แต่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาซุกไซ้พรมจูบซอกคอ มืออุ่นร้อนเริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อนอนตัวโคร่งที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าภายในนั้นไม่มีเสื้อชั้นในให้เกะกะมือ
เขาดันเธอให้นอนราบไปบนโซฟาโดยที่ตนทาบทับอยู่ด้านบน ริมฝีปากอุ่นเข้าครอบครองยอดอกที่ชูช่ออะร้าอร่ามอยู่ตรงหน้าขณะที่ด้านล่างบดเบียดจุดอ่อนไหวเข้าหาอย่างยั่วเย้าเป็นจังหวะ จนได้ยินเสียงครางหวานหูจากคนใต้ร่าง เพียงไม่นานหญิงสาวก็เปลือยเปล่านอนทอดกายอ่อนระทวยมองเขาด้วยสายตาเร่าร้อน
ชยาวุธมองสบสายตาคู่นั้นอย่างหลงใหลขณะค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือแยกขาเรียวสวยออกกว้าง ข้างหนึ่งพาดไว้กับบ่าตน อีกข้างวางไว้กับพื้นเสียงครวญครางดังระงมเมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้าปัดป่ายจุดอ่อนไหวอย่างเร่งเร้าสลับเชื่องช้า สะโพกกลมกลึงบิดส่ายรับการปรนเปรออันแสนร้อนเร่า ปากครางเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาจึงยิ่งเร่งระรัวเพื่อส่งเธอถึงปลายทางโดยไว เพราะเขาเองก็ปวดหนึบจนแทบระเบิดแล้วเมื่อร่างเย้ายวนเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิม อันเป็นภาษากายบ่งบอกว่าหญิงสาวถึงปลายทางแล้ว หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงก้มหน้าปรนเปรอไม่หยุด สองมือคลึงเคล้นทรวงสล้าง ปลายนิ้วสะกิดยอดอกอย่างหยอกเย้า ขณะที่ร่างอรชรได้แต่นอนหอบหายใจถี่จากความสุขสมที่ถาโถมเมื่อครู่ชายหนุ่มบรรจงจูบต้นขาด้านในทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว เขายิ้มมุมปาก แววตารุ่มร้อนจนคนมองใจสั่นระรัว“ตรงนี้หรือในห้อง” เขาถามเสียงพร่า ขณะที่ท่อนล่างเริ่มบดเบียดสอดแทรกเข้าสู่ช่องทางฉ่ำชื้น“เอาเข้ามาแล้วยังจะถามอีกทำไม” เธอตอ
เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้นชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่นหญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไ
“Chaya Wave งั้นหรือ อะไรกัน อีพี่เวฟมีกี่ไอดีกันเนี่ย มีหลายไอดีไว้จีบสาวรึไง อีตาบ้า!” หญิงสาวกดไอคอน “โกรธ” ให้กับคอมเมนต์นั้น แต่เขากลับกด “หัวใจ” ให้กับสเตตัสของเธอชยาวุธร่างสตอรีบอร์ดเสร็จไปหนึ่งแบบจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นสาย เขามองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าหนึ่งทุ่มแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนเพื่อดูว่ามีใคร โทร.มาหรือไม่ แต่ปรากฏว่าแบตหมดจึงเสียบสายชาร์จแล้ววางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดมิเนียมชายหนุ่มขึ้นห้องอีกครั้งตอนสองทุ่มกว่า เขารีบอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล เสร็จเรียบร้อยจึงมานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเฟซบุ๊กที่เขาสมัครไว้อีกชื่อหนึ่งเขายิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าภัทรมัยยังไม่บล็อกบัญชีชื่อนี้ของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงลองทักเธอทางกล่องข้อความChaya Wave : ทำไรอยู่แก้มเขาทักไปแล้วก็รอว่าเธอจะอ่านเลยหรือไม่ รอประมาณห้านาทีหญิงสาวก็ตอบกลับมาGam Phattramai : ถามทำไมChaya Wave : ก็อยากรู้Chaya Wave : เค้ก
มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย“ครับ คุณแม่”“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรี
“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น” เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านน