เสียงเพ้อเรียกชื่อเล่นของเธอดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติยู่ในขณะนี้ จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นได้ยินชื่อของตัวเองอย่างชัดเจน
หญิงสาวค่อยๆ โน้มกายก้มลงจนชิดใบหน้าหล่อเหลาของคนเจ็บจากยุคอดีต พร้อมเงี่ยหูฟังว่าจะได้ยินอะไรออกมาจากปากอีกหรือไม่ ก่อนจะยืดกายยืนตัวตรงเช่นเดิมครั้นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย “แปลก! อีตาแม่ทัพรู้จักชื่อเล่นของเราได้ยังไง คงไม่ใช่กระมัง อาจจะเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นที่อยู่โลกเดียวกันกับเขาและบังเอิญไอ้เราดันไปมีชื่อเหมือนกันเข้าให้ด้วยความบังเอิญเสียมากกว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้แน่ๆ” หญิงสาวยืนพึมพำ รีบสลัดความคิดอื่นๆ ที่คอยแทรกเข้ามาโดยตลอดพร้อมยกมีดผ่าตัดขึ้นมาจ้องเขม็ง มือเรียวเอื้อมไปหยิบแมสก์ปิดปากที่วางอยู่ใกล้เครื่องมือผ่าตัด พร้อมนำมาสวมปิดบังใบหน้า เตรียมพร้อมลงมือผ่าเอาลูกกระสุนออกเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบมีดกดลงพร้อมกรีดปากแผลให้เปิดออกกว้างทันทีก่อนจะชำเลืองไปทางคนเจ็บว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่ “หมดสติแบบนี้ก็ดีค่อยยังชั่วหน่อย หวังว่าจะช่วยชีวิตของคุณได้ทันนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึงออกมาภายใต้แมสก์ปิดบังใบหน้า ในขณะที่เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ โดยหามีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าเกิดช่วงเวลาซ้อนทับระหว่างยุคอดีตและยุคอนาคตอยู่ในขณะนี้ ร่างสันทัดขององค์รักษ์คนสนิทกำลังเดินนำหน้าหมอรักษาจากเมืองผิงหยางก้าวเข้ามาภายในกระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่ เป็นจังหวะเดียวกันที่จางเพ่ยอันสามารถผ่าเอาลูกกระสุนออกมาจากหน้าอกขององค์ชายจากยุคอดีตเข้าให้พอดี ลูกกระสุนถูกคีมเล็กๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ผ่าตัดนำออกจากร่างคนเจ็บได้เป็นผลสำเร็จ “ออกมาแล้ว!” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ พร้อมเสียงองครักษ์คนสนิทขององค์ชายอิ๋งหยางดังขึ้นอยู่ด้านหลังเมื่อก้าวเข้ามาภายในกระโจม “อะไรกันนี่!!!!” เสียงนั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจมากมายเพียงใด ท่ามกลางความตกใจของจางเพ่ยอันที่กำลังยืนถือคีมซึ่งมีลูกกระสุนเพิ่งผ่าออกมา เธอหันกลับมามองร่างสันทัดขององครักษ์และหมอจากเมืองผิงหยางเข้าให้พอดี “แย่แล้ว! พวกเขาเห็นฉัน” หญิงสาวกล่าวออกมาทันใด ทว่ายังมิทันจะเอ่ยถ้อยเจรจา เสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกดังกระหึ่มขึ้นโดยพลัน “ทหาร! องค์ชายหายไป! รีบแยกย้ายออกค้นหาเร็วเข้า!!!” เสียงองครักษ์คนดังกล่าวตะโกนก้องเอ็ดอึง พร้อมรีบค้นหาไปทั่วกระโจมที่ประทับ “หายไปอย่างนั้นเหรอ ก็เขายังนอนอยู่ตรง... ตรงนี้... ไง” จางเพ่ยอันพูดได้เพียงแค่นั้น เธอรีบหันกลับไปมองร่างใหญ่ที่ยังนอนหมดสติอยู่บนเตียงด้วยความแปลกใจ พร้อมเสียงตะโกนสั่งการดังแทรกขึ้นมาทันที “องค์ชายทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดพระสติเช่นนั้น เหตุใดจึงหายไปจากที่ประทับทรงพระดำเนินออกไปจากกระโจมตั้งแต่เมื่อไรกันเล่า ทหารอารักขา!!!” เสียงตะโกนเรียกหาทหารอารักขาดังก้อง เพียงครู่ทหารอารักขาซึ่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ปากทางเข้ากระโจมที่ประทับทั้งสองนายรีบก้าวเข้ามาภายในอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินคำสั่ง “ขอรับท่านรองแม่ทัพ” ทหารทั้งสองนายขานรับทันที “พวกเจ้าทั้งสองคนยืนเฝ้ารักษาการณ์อยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า เห็นองค์ชายออกมาจากกระโจมหรือไม่ แล้วเสด็จไปที่ใด ใยจึงไม่มารายงาน!” องครักษ์คนสนิทซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพตวาดเสียงดังขรม ท่ามกลางความแปลกใจของทหารอารักขาทั้งสองนาย “พวกข้าสองคนยืนเฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านนอกตลอดเวลาไม่ได้เดินออกจากหน้าประตูไปที่ใดเลยขอรับ องค์ชายมิได้เสด็จออกจากกระโจมแม้แต่เพียงครึ่งก้าว กระทั่งพระสุรเสียงพวกข้าทั้งสองก็มิได้ยินแม้เพียงสายลมพาดผ่านก็มิปรากฏแต่อย่างใด” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นรองแม่ทัพคนสนิทซึ่งเป็นองครักษ์อารักขาขององค์ชายอิ๋งหยางในคราเดียวกัน หันกลับไปมองภายในกระโจมทันใด “อะไรนะ! ถ้าเช่นนั้นพระองค์ทรงหายไปได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะทรงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ รีบกระจายกำลังทหารค้นหาองค์ชายใหญ่เร็วเข้า!!!” เสียงสั่งการออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง ม้าเร็วจากเมืองหลวงวิ่งตรงดิ่งผ่านประตูทางเข้าของค่ายทหารมาอย่างรวดเร็ว พร้อมร่างของทหารสื่อสารกระโดดลงจากหลังม้า วิ่งตรงมาทางกระโจมที่ประทับขององค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน “รายงาน!!!!” เสียงตะโกนดังก้อง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารองแม่ทัพคนสนิทขององค์ชายใหญ่ “ท่านรองแม่ทัพ! มีข่าวด่วนจากทางราชสำนักต้องรายงานให้องค์ชายใหญ่ทรงทราบ” ทหารสื่อสารเอ่ยออกมา ในขณะที่อีกฝ่ายยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นได้ยินเช่นนั้น “องค์ชายใหญ่ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งตอนนี้มิรู้ว่าเสด็จออกจากกระโจมที่ประทับไปอยู่แห่งหนใดกำลังกระจายกำลังแยกย้ายตามหาพระองค์อยู่ แล้วนี่ฝ่าบาทส่งหมอหลวงจากราชสำนักมารักษาพระอาการบาดเจ็บใช่แล้วหรือไม่” เสียงนั้นเอ่ยถามเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ข้านำข่าวจากราชสำนักมารายงานให้องค์ชายใหญ่ทรงทราบ ฝ่าบาทเสด็จสวรรคตแล้วท่านรองแม่ทัพ” “อะไรนะ!” คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความตกใจเอ่ยออกมาทันที “ฝ่าบาทสวรรคตด้วยสาเหตุใด!” รองแม่ทัพถามกลับไปโดยพลัน “ทันทีที่ฝ่าบาททรงล่วงรู้ว่าองค์ชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็หมดพระสติและสวรรคตลงทันที ทำให้ตอนนี้องค์รัชทายาทอิ๋งเหว่ย ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนและมีพระบัญชามิให้ส่งหมอหลวงจากราชสำนักมารักษาพระอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด ทรงมีรับสั่งว่าเหตุที่ฝ่าบาทสวรรคตเพราะองค์ชายใหญ่เป็นต้นเหตุ” รองแม่ทัพถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อทหารสื่อสารรายงานสถานการณ์ทางเมืองหลวง “องค์รัชทายาทพระทัยคับแคบเสียนี่กระไร ทุกวันนี้แคว้นฉินยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้ใดทั่วหล้า มิใช่เพราะองค์ชายใหญ่อย่างนั้นหรอกรึ!” องครักษ์คนสนิทซึ่งเป็นรองแม่ทัพในคราเดียวกันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้รีบแยกย้ายค้นหาองค์ชายก่อนเถอะ มิรู้ว่าทรงหายไปได้เยี่ยงไร เรื่องอื่นค่อยปรึกษากันที่หลัง ทหาร! กระจายกำลังค้นหาให้ทั่ว!!!” เสียงสั่งการดังเอ็ดอึงไปทั่วบริเวณ พร้อมม้าศึกนับหลายสิบตัววิ่งออกจากค่ายทหารแยกย้ายกันค้นหาแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฉินกันอย่างอลหม่าน ท่ามกลางสายตาของจางเพ่ยอัน ซึ่งได้เห็นและได้ยินทุกถ้อยคำของผู้คนในยุคอดีตอย่างชัดเจน หญิงสาวก้มลงมองตัวเธอเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางหันกลับไปมองลูกกระสุนที่เพิ่งผ่าออกถูกคีมผ่าตัดคีบอยู่ให้เห็นเต็มสองตา หญิงสาวมองไปทั่วบริเวณด้วยความแปลกใจอย่างยิ่งยวด “พวกเขาไม่เห็นฉันหรือนี่! ทั้งๆ ที่เรายืนฟังอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ขยับไปไหนเลย และพวกเขาก็ไม่เห็นท่านแม่ทัพด้วยทั้งๆ ที่ก็นอนอยู่ตรงหน้าแบบนี้เลยนะ... เฮ้ย! จะเป็นไปได้ยังไงกัน” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันกลับไปมองคนเจ็บที่นอนหมดสติไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น “นะ... นี่ท่านเป็นถึงองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉินเลยเหรอท่านแม่ทัพ” หญิงสาวถามกลับไป “รัชทายาทอิ๋งเหว่ยอย่างนั้นเหรอ! เอ... ตรงกับเจ้าผู้ครองแคว้นสมัยไหนนะ... ทำไมฉันไม่เคยเห็นได้ยินหรืออ่านผ่านตาเลย ที่เคยอ่านมาจิ๋นซีฮ่องเต้ มาจากสกุลอิ๋ง เจ้าผู้ครองแคว้นล้วนแซ่อิ๋งทั้งสิ้น แต่ทำไมไม่เคยได้ยินชื่ออิ๋งเหว่ยเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฉินเลยหว่า เหมือนจะคลับคล้ายว่าเคยอ่านเจอเป็นเพียงลูกของพระสนมที่ถูกสถาปนาขึ้นเป็นฮองเฮาไม่ใช่เหรอ แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ลูกคนโตอยู่ดี” แม่สาวน้อยยืนพึมพำก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอยืนคีบลูกกระสุนปืนอยู่นานแล้ว “บ้าเอ๊ยอันอัน! มัวแต่ยืนคิดอะไรไปเรื่อยอีกแล้ว แผลยังไม่ทันได้เย็บเลยให้ตายสิ ยาแก้ปวดขวดไหน ยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ไข้อีก โอ๊ยสารพัดยา” หญิงสาวพูดไปค้นหาตัวยาเพื่อรักษาอาการขั้นตอนต่อไปอย่างไม่รอช้า ในขณะที่กำลังสาละวนกับการเย็บปิดปากแผลอยู่ในขณะนั้น เปลือกตาที่ปิดสนิทของคนเจ็บจากยุคอดีตค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมา ขนตางอนยาวกระเพื่อมขึ้นลงพลางเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ พระเนตรสีนิลกาฬเต็มไปด้วยความพร่ามัว ทอดพระเนตรได้เพียงเลือนราง องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรสตรีร่างอรชร มีหน้ากากสีเขียวปิดใบหน้าช่วงล่าง เห็นเพียงช่วงบนของใบหน้า ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่ที่บาดแผลของพระองค์ตรงพระอุระ และเส้นไหมสำหรับเย็บบาดแผลที่สามารถละลายได้เองโดยไม่ต้องเสียเวลาตัดไหมแต่อย่าใด พระโอษฐ์ขยับขึ้นลงพยายามจะมีรับสั่งถาม “เจ้าเป็นหมออย่างนั้นรึแม่นาง” องค์ชายใหญ่ได้แต่คิดอยู่ภายในพระทัย หากแต่ในความเป็นจริงแล้วไซร้มิสามารถเอ่ยถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาได้เลย ตัวยามากมายถูกส่งผ่านทางเส้นเลือด ขวดยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อถูกนำมาแขวนไว้บนราวอเนกประสงค์ ท่ามกลางสายระโยงระยาง หลังพระหัตถ์นอกจากจะถูกเข็มเจาะให้น้ำเกลือแล้ว ยังมียาแก้อักเสบแยกออกอีกหนึ่งสาย บริเวณข้อพับมีเข็มเจาะฝังลงไปเพื่อให้ตัวยาฆ่าเชื้อไหลเข้าสู่ร่างกายแทนการกินผ่านหลอดอาหารด้วยเพราะคนเจ็บอยู่ในอาการที่ไม่รู้สึกตัว พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรแท่งสีเงินคล้ายเข็มมีสายน้ำพวยพุ่งออกมา ก่อนจะแทงเข้าไปที่ข้อพับอีกข้างของพระองค์เพื่อฉีดยาลดไข้และยาแก้ปวด เพื่อรักษาอาการอย่างเร่งด่วน บริเวณพระอุระบัดนี้ถูกปิดทับด้วยผ้าก๊อซสีขาวพร้อมแผ่นปลาสเตอร์ซึ่งด้านนอกเป็นกระดาษมีขนาดใหญ่สำหรับใช้ปิดแผลภายในโรงพยาบาล เพื่อปิดทับบาดแผลของพระองค์เพื่อมิให้ถูกน้ำ “เฮ้อ! เสร็จเสียที” เสียงหวานของสตรีดังแทรกขึ้น องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรสตรีตรงพระพักตร์เพียงเลือนราง และสัมผัสได้ว่ามือเรียวสวยทาบทับลงบนหน้าผากของพระองค์เพื่อวัดระดับความร้อนของไข้ “ต้องคอยดูอาการกันวันต่อวัน หวังว่าจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย แล้วถ้าหากไม่ดีขึ้นจะทำยังไงดีล่ะจางเพ่ยอัน ถ้าแม่ทัพผู้นี้เกิดตายเพราะฝีมือหมอจำเป็นของเธอละก็ จะบาปไหมเนี่ย” หญิงสาวยืนรำพึงรำพันโดยมิล่วงรู้ว่า ถ้อยเจรจาของเธอดังกล่าวองค์ชายหนุ่มทรงได้ยินจนหมดสิ้น ก่อนจะหมดสติไปอีกครา ในขณะที่หญิงสาวกำลังยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ เธอก้มลงมองตัวยาสำหรับใช้การรักษาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลซึ่งในกระเป๋าปฐมพยาบาลเหลือเพียงน้อยนิด จางเพ่ยอันรีบหันกลับไปคว้าโทรศัพท์มือถือติดต่อเพื่อนสนิทซึ่งเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วยกัน และทันทีที่ปลายสายรับ “ขอโทษนะเสี่ยวหง! ที่โทรมาหากลางดึกแบบนี้ พอดีมีเรื่องจะรบกวนเธอหน่อย มาหาฉันหน่อยสิ” หญิงสาวกล่าวพร้อมเริ่มต้นสนทนาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทซึ่งมีอาชีพเป็นเภสัชกรในโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ