หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
รถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุรุษสองนาย เดินถือกระเป๋าซึ่งมีเครื่องมือปฐมพยาบาลอย่างครบครันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางอันเป็นห้องพักของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของพนักงานซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนของโฮมสเตย์ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างระหงของจางเพ่ยอันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้อง รีบถลาไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากเลยค่ะที่รีบมา เข้ามาดูอาการคนเจ็บเถอะรู้สึกว่าจะไม่ค่อยดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันหลังกลับก้าวเดินนำหน้าตรงไปที่เตียง โดยมีบุรุษพยาบาลทั้งสองนายก้าวตามหลังหญิงสาวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทันใดนั้นเอง ฟิ้ววว! จู่ๆ มีแรงมหาศาลผลักร่างของบุรุษพยาบาลทั้งสองนายจนกระเด็นกระดอนออกจากห้องพัก ลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งกองกันอยู่ตรงหน้าประตู ตุบ! บุรุษพยาบาลทั้งสองนายถึงกับนั่งจุกไปตามๆ กัน ท่ามกลางความแปลกใจของจางเพ่ยอัน “เอ้า! พวกคุณทำไมพากันไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นคะ คนเจ็บนอนรออยู่บนเตียง! เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดพลางชี้มือไปที่เตียงนอนของเธอ ในขณะที่บุรุษพยาบาลทั้งสองนายต่างพากันมองตามมือของหญิงสาวที่ชี้ไปบริเวณเตียงนอนภายในห้องพักซึ่งอ้างว่ามีคนเจ็บรอรับการรักษาอยู่ในขณะนี้ หากแต่ทั้งสองกลับมิเห็นผู้ใดนอนอยู่บนเตียงดังกล่าวแม้แต่น้อย มีเพียงหญิงสาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูยืนอยู่เพียงลำพังกลางห้องดังกล่าวเท่านั้น “โอ๊ย! คุณผู้หญิงคนเจ็บที่บอกไม่มีหรอกนะ! มีแต่ตัวคุณคนเดียวที่อยู่ภายในห้อง” บุรุษพยาบาลบอกกลับไป “อะไรนะ!” จางเพ่ยอันเอ่ยออกมาทันทีพร้อมหันกลับไปมองที่เตียงนอน บนเตียงในขณะนี้ยังคงมีร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่เช่นเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงเอ็ดอึงดังก้องตามติดมาเต็มสองหู “ไปตามหมอหลวงกันถึงไหน! พระอาการขององค์ชายมิสู้ดีแล้ว! รีบแยกย้ายออกไป! รีบไป!” เสียงตะโกนสั่งการดังก้องท่ามกลางความโกลาหล พร้อมร่างสันทัดขององครักษ์คนสนิทขององค์ชายอิ๋งหยางเดินเข้ามาภายในกระโจม “เหวออออ!!!” เสียงตื่นตกใจดังขึ้นโดยพลัน เมื่อห้องพักในโฮมสเตย์เลือนหายไป กลับกลายเป็นกระโจมที่ประทับในค่ายทหารขององค์ชายหนุ่มเข้ามาแทนที่ สิ่งอำนวยความสะดวกในยุคอนาคตเปลี่ยนเป็นข้าวของเครื่องใช้ในยุคโบราณ จางเพ่ยอันถึงกับยืนตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นห้องพักของเธอแปรเปลี่ยนไปเพียงชั่วพริบตา หญิงสาวค่อยๆ หันกลับมาทางประตูห้องเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากบุรุษพยาบาลทั้งสอง ทว่ากลับมิเห็นผู้ใดอยู่ภายในบริเวณดังกล่าว มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง ดวงตาจับอยู่ที่ร่างใหญ่ซึ่งอยู่บนเตียงนอนของเธอเขม็ง เมื่อองครักษ์ที่คอยถวายงานอย่างใกล้ชิดเดินไปหยุดมององค์ชายของตน พลางยื่นมือหยิบผ้าขนหนูผืนหนาลายคิตตี้สีชมพูของหญิงสาวขึ้นมาจากหน้าผากขององค์ชายอิ๋งหยาง ด้วยความแปลกประหลาดใจกับลวดลายแมวที่ปักลงบนผืนผ้าดังกล่าว “เฮ้ย! เฮ้ย! ผ้าขนหนูลายคิตตี้ของฉัน” หญิงสาวกล่าวพึมพำ ในขณะที่อีกฝ่ายยืนเพ่งพิศพลิกผ้าขนหนูผืนน้อยไปมาด้วยความแปลกประหลาดใจอย่างยิ่งยวดด้วยมิเคยพานพบมาก่อน “ผ้านี่มาได้เยี่ยงไร ลวดลายแลดูประหลาดชอบกลนัก แต่จะว่าไปก็นุ่มเนียนมาเสียนี่กระไร” เสียงบ่นพึมพำก่อนจะนำลงไปชุบน้ำ บิดหมาดๆ นำมาวางไว้บนหน้าผากกว้างให้แก่องค์ชายของตนเช่นเดิม แต่แล้วก็ต้องสะดุดกับหน้ากากสีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะติดกับแท่นพระบรรทม “องค์ชายถอดหน้ากากออกจากพระพักตร์เองอย่างนั้นเหรอ ทรงกำชับว่ามิให้ผู้ใดถอดหน้ากากของพระองค์ออก แต่เหตุไฉนจึงเปลี่ยนพระทัย” เสียงนั่นพึมพำด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ ร่างสันทัดยืนอยู่เพียงครู่ก่อนจะก้าวเดินออกไปท่ามกลางสายตาของจางเพ่ยอัน ที่ยืนตัวลีบหลบมุมหลังตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อเห็นภายในห้องพักของเธอ ถัดจากประตูระเบียงคือทางเข้ากระโจมซึ่งเห็นร่างทหารอารักขายืนรักษาการณ์ซ้ายขวา เปลวเพลิงจากคบไฟพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ภายในห้องพักค่อยๆ เปลี่ยนกลับคืนเป็นโลกแห่งอนาคตเช่นเดิม “ห้วงกาลเวลาซ้อนทับกันเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ชอบพูดถึงอย่างนั้นเหรอ นี่แสดงว่ามีแต่เราเท่านั้นที่เห็นเขา ส่วนคนอื่นไม่มีทางได้เห็นอย่างนั้นสิ” หญิงสาวเอ่ยพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับของตัวเอง ร่างอรชรหันกลับไปกลับมามิรู้จะทำยังไง ก่อนจะเหลือบไปเห็นกระเป๋าปฐมพยาบาลตกอยู่ภายในห้อง ความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาทันใด หญิงสาวรีบเดินไปปิดประตูพร้อมระบบอัตโนมัติเริ่มทำงาน แกร่ก! เสียงระบบนิรภัยทำการล็อกประตูห้องทันทีที่ประตูปิด จางเพ่ยอันคว้ากระเป๋าปฐมพยาบาลมาไว้ในมือ ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปหาบุรุษจากยุคอดีตที่กำลังนอนอยู่บนเตียงในขณะนี้ ดวงตาจ้องเขม็งที่ร่างใหญ่ไม่กะพริบ พลางวางกระเป๋าลงบนที่นอน พร้อมมองบาดแผลบนอกกว้างซึ่งภายในมีลูกกระสุนฝังแน่น “คนที่นี่ไม่มีใครเห็นคุณเลยนะท่านแม่ทัพ คงมีแต่ฉันแล้วละที่ต้องลงมือเอง” หญิงสาวกล่าวออกมาเบาๆ กระเป๋าปฐมพยาบาลถูกเปิดออกกว้าง พร้อมเครื่องมือทุกอย่างภายในนั้นนำออกมาวางไว้ข้างนอกทั้งหมด โชคดีที่ภายในกระเป๋ามีเครื่องมือผ่าตัดชุดเล็กอยู่ภายในนั้น รวมไปถึงถุงน้ำเกลือและขวดยาหลายขนาน ซึ่งหญิงสาวสามารถแยกแยะแต่ละประเภทออกได้ ด้วยเมื่อครั้งอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยพยาบาลคอยดูแลห้องพยาบาลในศูนย์และรักษาเด็กกำพร้าเบื้องต้น ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาลในรายที่มีอาการหนักเกินเยียวยา “ประสบการณ์ของการเป็นผู้ช่วยพยาบาลในศูนย์กำพร้า มีประโยชน์ช่วยชีวิตคนจริงจังก็คราวนี้แหละ” หญิงสาวกล่าวพร้อมใช้ยางรัดท่อนแขนใหญ่เพื่อหาเส้นเลือด ก่อนจะแทงเข็มลงไปเพื่อให้น้ำเกลือเข้าสู่ร่างกาย สายน้ำเกลือถูกยกขึ้นสูงก่อนจะแขวนถุงน้ำเกลือไว้กับราวแขวนอเนกประสงค์ ซึ่งใช้แขวนหมวก กระเป๋าเสื้อคลุมและจิปาถะ ถุงมือยางสำหรับใช้ในห้องผ่าตัดสวมลงบนมือทั้งสองข้าง พร้อมหยิบมีดผ่าตัดเล็กๆ สำหรับกรีดเปิดปากแผลออกมาจากแก้วที่มีแต่แอลกอฮอล์ล้างแผล ก่อนจะใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดใบมีด เตรียมผ่าตัดนำหัวกระสุนออกมาจากร่างใหญ่ตรงหน้า พู่ว!!! หญิงสาวเป่าลมออกจากปากก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึก “เธอทำได้แน่นอนอันอัน เขาเคยช่วยชีวิตเราเพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนต้องแทนคุณ เช่นนี้แล้วก็ไม่เสียชาติเกิด” แม่สาวน้อยกล่าวพร้อมมองมีดผ่าตัดที่อยู่ในมือของเธอเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองใบหน้าซีดเซียวของคนเจ็บที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ในขณะนั้น “อันอัน!” เสียงเพรียกหาชื่อสตรีดังลอดออกมาเบาๆ จางเพ่ยอันขมวดคิ้วเรียวสวยเข้าหากันก่อนจะยกนิ้วชี้ปั่นลงไปในหูของตัวเอง “หูฝาดไปหรือเปล่าเมื่อกี้เหมือนได้ยินเขาเรียกชื่อเรา” หญิงสาวบ่นพึมพำแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงลอดออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติอยู่ในขณะนี้ “อันอัน! อันอัน!!!” เสียงเพรียกหาเรียกชื่อเล่นของหญิงสาวเอ่ยขึ้นติดต่อกัน จนอีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจน “ฮือออ!!!” จางเพ่ยอันส่งเสียงอุทานออกมาทันทียุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ