แม้ว่าไทฮองไทเฮาอาศัยอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางเป็นเวลานาน ทว่ายังมีหูตาของนางอยู่ในพระราชวังมากมาย นางกล่าว “ในงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ฮองเฮาเอาตัวมาขวางลูกธนูแทนฝ่าบาท ยังมิได้รับรางวัลใด ๆ เลย เนื่องจากฝ่าบาทรับสั่งว่า ขอเพียงฮองเฮาเอ่ยปาก สิ่งใดก็สามารถให้ได้ แม้กระทั่งพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือนให้พี่ชายของนาง ฝ่าบาทสามารถรับปากอย่างง่ายดาย “ทว่า จวบจนบัดนี้ฮองเฮายังมิได้ขอสิ่งใด” ไทฮองไทเฮาแนะนำเพียงผิวเผิน มู่หรงฉานก็เข้าใจทันที ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ หากฮองเฮาออกหน้าขอร้องแทนตระกูลมู่หรง ฝ่าบาทมีแนวโน้มจะตกลงอย่างมาก มู่หรงฉานขอบคุณและขอตัวลา เมื่อออกจากตำหนักวั่นโซ่ว ก็ตรงไปที่ตำหนักหย่งเหอ…… ภายในตำหนักหย่งเหอ มู่หรงฉานคุกเข่าเป็นเวลานาน เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อย ๆ ดื่มยาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว นางมีสายตาเงียบสงบ ไร้ร่องรอยของระลอกคลื่นบนใบหน้า “แม้ว่าเจ้าคุกเข่าจนพิการ ข้าก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้” คนเช่นมู่หรงเจี๋ย ไม่มีค่าพอให้นางช่วย เขายักยอกเบี้ยหวัดทหาร มิใช่เพียงแค่เงินท
ณ ห้องทรงพระอักษร ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่รายงานด้วยความชอบธรรม “ฝ่าบาท เจ้าหน้าที่ทหารได้ค้นพบสมุดบัญชีเล่มนี้จากจวนของมู่หรงเจี๋ย ปรากฏว่าเขาไม่เพียงแต่ยักยอกเบี้ยหวัดทหาร ยังรับสินบนจากพ่อค้าในเมืองอวิ๋นด้วยพ่ะย่ะค่ะ “หลังจากรบชนะชนเผ่าชื่อโหยว ราชวงศ์หนานฉีครองเขตอำนาจศาลของแม่น้ำหงเหมยตอนล่าง ออกกฎห้ามขนส่งค้าขายทางเรือ ทว่ามู่หรงเจี๋ยให้พวกเขาสวมรอยเป็นเรือของทางการ ให้อภิสิทธิ์ในการผ่านน่านน้ำหงเหมย “พ่อค้าในเมืองอวิ๋นขายแร่เหล็กสีม่วงให้กับชนเผ่าชื่อโหยวในราคาแพง และมู่หรงเจี๋ยได้รับส่วนแบ่งสามในสิบของกำไรพ่ะย่ะค่ะ” ในดวงตาของเซียวอวี้เต็มไปด้วยความพิโรธแห่งราชา ขโมยขายแร่เหล็กสีม่วง ความผิดฐานทรยศแคว้นนี้ มากพอให้มู่หรงเจี๋ยตายนับสิบหน! ห้าม้าแยกร่าง มันน้อยไปสำหรับเขา ณ วันเดียวกัน มู่หรงเจี๋ยซึ่งยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำก็ถูกสอบปากคำ ไม่อาจรับการทรมานหนักกว่านี้ได้ จึงยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ตามคำสารภาพของเขานั้น เจ้าหน้าที่ทางการในเมืองอวิ๋น พ่อค้า และพวกโจรสมรู้ร่วมคิดกันทั้งสามฝ่าย แร่เหล็กสีม่วงที่ดำเนินการโดยทางการนั้น ถ
เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นพูด “ฝ่าบาท การปลอมตัวเสด็จประพาส สำคัญที่สุดคือการปกปิดตัวตนของท่านจากโลกภายนอก “หากท่านมีราชองครักษ์และข้ารับใช้รายล้อม ย่อมทำให้เกิดความสงสัยอย่างแน่นอน “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบางคนมีอำนาจครอบงำ มีสายลับทั่วทุกพื้นที่ เฝ้าระวังบุคคลต่างถิ่นเป็นพิเศษ เกรงว่าหากฝ่าบาททำเช่นนั้น ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเมือง จะกลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขาทันที “หากหม่อมฉันร่วมเดินทางกับท่าน เหตุผลแรกสามารถแสร้งเป็นภรรยาของท่านได้ “เหตุผลที่สอง พี่ชายใหญ่ของหม่อมฉันรู้จักผู้คนมากมายในยุทธภพ เมื่อตกอยู่ในอันตราย สามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้เพคะ” เซียวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ภรรยา” สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย นางอยากเดินทางออกนอกวังพร้อมเขามาก น่าจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขากระมัง อย่างไรก็ตาม นางยอมเสียสละพลังภายในเพื่อขจัดพิษให้เขา ทั้งยังยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสกัดลูกธนูให้เขา... เดิมเขาคิดว่า ฮองเฮาและฮ่องเต้ปลอมตัวเสด็จประพาสด้วยกัน มันไร้สาระมาก ทว่ามาคิดทบทวนอีกที การที่เขาออกนอกวังในคราวนี้ จะต้องมีอันตรายรอบด้าน และฮองเฮามีวิทยายุทธล้ำเลิ
เมื่อมองแวบแรกห้องนี้ดูธรรมดามาก ทว่าบนเตียงหลังนั้น มีเครื่องมือมากมายหลายขนาดวางอยู่ด้วย อ่างอาบน้ำวางอยู่ข้างเตียง นอกจากนี้ยังมีคันฉ่องขนาดใหญ่หลายบานตั้งอยู่รอบ ๆ ริมหน้าต่างมีม้านั่งตัวหนึ่งวางอยู่ ลักษณะคล้ายร่างกายมนุษย์ เจ้าของร้านเห็นว่าใบหน้าของพวกเขาไร้รอยยิ้ม จึงรีบถาม “ขออภัย ท่านทั้งสองไม่พอใจหรือ? ห้องพิเศษเช่นนี้เป็นที่ต้องการอย่างมากเลยขอรับ!” เซียวอวี้พูดเสียงทุ้มลึก “พอใจ” จากนั้นเขาโบกมือให้เฉินจี๋จ่ายเงิน เมื่อนั้นเจ้าของร้านจึงคลายความสงสัย หลังเซียวอวี้เดินเข้าห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เดินตามไปด้วยจิตใจที่เปิดเผย ก่อนอื่น นางดับไฟบนเตากำยานที่จุดไว้บนโต๊ะตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นเซียวอวี้มองมา นางเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “พี่ชายเคยกล่าวไว้ โรงพักแรมใต้ดินหลายแห่งใช้กลิ่นหอมนี้ทำให้แขกสลบ” ดูเหมือนว่าเซียวอวี้ไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้ จึงมองสำรวจไปรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกไป “ระวัง!” พลันเห็นมีตู้ลับใบหนึ่งปรากฏที่ผนัง พุ่งออกมาราวกับลูกธนู ทั้งสองหันหน้ามอ
แรงกระแทกของก้อนหินยักษ์เช่นนั้น สามารถทำให้รถม้าพังทลายได้อย่างแน่นอน เสียงตะโกนของเฉินจี๋ฟังเสมือนลำคอถูกฉีกขาดไป ดังสะท้อนก้องอยู่ในหุบเขาที่เงียบงัน ในช่วงเวลาวิกฤต เซียวอวี้กำลังมีความคิดจักลงจากรถม้า ทว่าสตรีที่อยู่ข้างกายได้ก้าวนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าว คว้าจับมือเขาไว้ และพาเขากระโดดออกไปข้างนอกรถม้าด้วยกัน ปฏิกิริยาว่องไวเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่านางได้คาดการณ์ถึงอันตรายของก้อนหินยักษ์ที่กำลังกลิ้งตกลงมา ก่อนที่เฉินจี๋จะรับรู้ได้ เกือบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับพวกเขากระโดดลงจากรถม้า รถม้าก็พลันถูกทำลายจนแตกกระจาย! ม้าเองก็ตื่นตระหนก หลังหลุดจากเชือกบังเหียน ก็วิ่งเตลิดจนพลัดตกจากหน้าผาไป มีเพียงคนทั้งสามที่ติดอยู่ระหว่างหินยักษ์สองก้อน เดินหน้าต่อไปมิได้ ถอยหลังยิ่งไร้หนทาง เฉินจี๋กำกระบี่ยาวไว้แน่น คุ้มครองอยู่เบื้องหน้าของเซียวอวี้ สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “นายท่าน ต้องมีคนซุ่มโจมตีอยู่ในที่ลับเป็นแน่ขอรับ!” เซียวอวี้ลดสายตามองลงไป——พบว่าฮองเฮายังคงจับมือของเขาไว้ ท่วงท่าเฉกเช่นเดียวกับเฉินจี๋ ใช้สายตาที่เฉียบคมกวาดมองไปโด
เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสายตาเย็นยะเยือกของบุรุษผู้นั้น “ข้าจักไปหา...” เซียวอวี้ขัดจังหวะคำพูดของนางอย่างเย็นชา ออกคำสั่งว่า “อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน” สิ้นคำพูดนี้ เขาพลันหมดสติลงไป ทว่าเขายังจับข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้แน่น เสมือนศพที่แข็งตัวแล้ว แม้นเกิดอันใดขึ้นก็แยกออกไปมิได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องออกแรงอย่างมากมาย ค่อย ๆ ง้างนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว จึงสามารถดึงข้อมือออกมาได้ ทว่ารอบข้อมือของนางมีรอยแดงประทับอยู่ แสดงให้เห็นว่าเขาใช้ความแข็งแกร่งมากเพียงใด…… เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตูลานบ้าน คู่สามีภรรยาชรายกน้ำร้อนเดินมาพอดี จึงบังเอิญเห็นเข้า พลันเร่งรีบตามมาขวางนางเอาไว้ และถามอย่างกังวลใจ “เฮ้! ช้าก่อน! แม่นาง เจ้า...เจ้าจะไปแล้วหรือ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาช่างเดาแม่นจริง ๆ หญิงชรากล่าวว่า “แม่นาง เจ้าไปไม่ได้! หากว่าเจ้าไปแล้ว คนผู้นั้น...คนผู้นั้นตายลงไปเล่า พวกเราสองชราจักไปตามหาใครมารับผิดชอบได้?” พวกเขากลัวว่านางจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง แล้วทิ้งปัญหาใหญ่ให้พวกตนจั
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซียวอวี้ ได้ทำลายแผนการหลบหนีของเฟิ่งจิ่วเหยียน ใบหน้าของนางคงไว้ซึ่งความเงียบสงบ “ทางเดินขึ้นเขานั้นยากลำบาก ข้าจึงอยากไปสอบถามจากชาวบ้าน ถึงเส้นทางไปหาหมอในเมือง” เด็กน้อยหยิบตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมา แล้วส่งคืนให้เฟิ่งจิ่วเหยียน ปากเล็กเอ่ยด้วยความไร้เดียงสาจริง ๆ “พี่สาว แค่มองก็รู้แล้วว่าทางเดินขึ้นเขานั้นเดินง่ายมากขอรับ” เซียวอวี้จ้องมองนางด้วยสายตาเฉียบคม อยากเห็นว่านางจะอธิบายอย่างไร เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้พูดมากนัก เพียงย้อนถามพวกเขาแทน “ทั้งสองคนออกมาทำไม” เด็กน้อยคนนั้นชี้ไปที่เซียวอวี้ “ผู้ชายของท่าน บอกให้ข้าพาเขามาหาท่าน พี่สาว พวกท่านรักกันดีจริง ๆ เหมือนกับพ่อแม่ของข้าเลย มิอยากอยู่ห่างกันสักก้าวเดียว!” เซียวอวี้มีรอยยิ้มคลุมเครือฉายบนใบหน้า “ดีมากจริง ๆ ” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจมลง หลังจากนั้น การขึ้นเขาเก็บยาพังลง และมิได้เดินทางเข้าเมืองด้วย ทั้งสามคนกลับไปที่บ้านชาวนาพร้อมกัน เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ทันใดนั้นเซียวอวี้คว้าข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ สายตาเย็นชากดดัน “เจ้าค
ในขณะที่นักฆ่าลงมือโจมตี เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดอยากผุดลุกขึ้นมา กลับถูกเซียวอวี้คว้าจับเอวไว้ แล้วถูกบังคับให้แนบชิดกับตัวเขาเช่นนั้น ส่วนเขาพลันพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน ตรึงนางไว้ใต้ร่างแทน ท่ามกลางความมืดมิด นางมองเห็นใบหน้าเขามิชัดเจน สัมผัสได้เพียงความเป็นปรปักษ์แผ่ซ่านออกจากกายเขาเท่านั้น ฟับ—— เขาเพียงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น พลังภายในอันแข็งแกร่งก่อตัวเป็นคลื่นอากาศ ซัดใส่นักฆ่าที่อยู่นอกม่านเตียงจนล้มคว่ำ ตุบ! ตุบตุบ! พวกนักฆ่าร่วงลงที่พื้นทีละคน พลันตระหนักได้ว่าผู้คนที่อยู่หลังม่านเตียงมิได้สลบ รีบตะโกนว่า “โจมตีพร้อมกัน!” พลันได้เห็น บุรุษผู้หนึ่งเดินออกจากในม่าน บุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ อาบเอิบด้วยพลังกดขี่ “โจมตีพร้อมกันหรือ พอดีเลย มิได้ลงมือสังหารใครด้วยตัวเองนานมากแล้วเช่นกัน” เซียวอวี้กระชับหมัดให้แน่น หลังจากนั้นเคลื่อนไหวดุจวารี ปล่อยหมัดชกไปที่หน้าอกของนักฆ่าผู้หนึ่ง ผลที่ตามมาติด ๆ คือนักฆ่าผู้นั้นล้มลงสิ้นท่าบนพื้น ภายในม่านเตียง เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันลุกขึ้นนั่ง ในเวลาเดียวกับที่หน้าต่างเปิดออก ล
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้