บุตรสาวตระกูลเมิ่งแต่งงานออกเรือน ทั้งยังได้เป็นฮองเฮาของแคว้น จึงทำให้คนอิจฉาอย่างมากตรงข้ามกับตระกูลเฟิ่งที่อยู่ในเมืองหลวง ไม่ต่างอะไรกับมีคนเพิ่งตาย มืดมนหดหู่ไปหมดนายท่านเฟิ่งเพิ่งได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าเวยเฉียงแต่งงาน โดยที่ไม่บอกบิดาเช่นเขา แถมตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กำลังจะแต่งออกจากตระกูลเมิ่ง แต่ละคน แทบไม่เห็นเขาเป็นพ่อด้วยซ้ำ!วันนี้หลังจากว่าการในยามเช้าเสร็จ เขายังเจอเหล่าเพื่อนร่วมงานเอ่ยแซว“ใต้เท้าเฟิ่ง เจ้านี่ใจกว้างจังเลยนะ ส่งบุตรสาวไปให้ตระกูลเมิ่ง จนตอนนี้เมิ่งฉวีมีรัศมี ได้กลายมาเป็น พ่อตาของฝ่าบาทเสียแล้ว!”“ใต้เท้าเฟิ่ง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก เจ้าน่าจะส่งบุตรสาวมาให้ข้าดีกว่า!”“จะว่าไปแล้ว ใต้เท้าเฟิ่ง เจ้าควรขอบคุณแม่ทัพเมิ่งนะ ที่ไม่เปลี่ยนนามสกุลให้ลูกสาวเจ้า!”นายท่านเฟิ่งได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ในใจอัดอั้นว้าวุ่นไปหมดเขาไม่น่าส่งบุตรสาวไปให้ตาแก่เมิ่งฉวีนั่นเลย!นายท่านเฟิ่งกลับมาที่จวนอย่างเดือดดาล ไม่พูดไม่จา ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสืออี๋เหนียงหลินยกซุปร้อน ๆ เข้ามา จีบปากจีบคอพูดว่า“นายท่าน เป็นอะไรไปหรือ? จะไม่กินมื้อกลางวัน ไม
ไอเย็นชื้นในร่างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังขับออกไปไม่หมด ถึงจะแต่งออกเรือนมา ฮูหยินเมิ่งยังต้องติดตามมาด้วยหลังจากที่นางได้รับสมุนไพรนั้น ก็ส่งให้อาจารย์หญิงดู“นี่บัวกลีบเปลวเพลิง!” ฮูหยินเมิ่งตกใจอย่างมาก“จิ่วเหยียน บัวกลีบเปลวเพลิงเป็นสมุนไพรหายาก มีน้อยกว่าดอกจื่อซวี่นั่นเสียอีก มันเจริญเติบโตในภูเขาไฟแคว้นตงซาน ใช้เวลาห้าสิบปีจึงจะผลิดอก ไอเย็นชื้นในร่างกายของเจ้า หากมีบัวกลีบเปลวเพลิงผสมกับยา อาจจะรักษาอาการป่วยหายดีก็ได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนสงสัยอย่างเดียว ผู้ใดเป็นคนส่งยานี้มาอู๋ไป๋ตอบ “ถามองครักษ์ผู้นั้นแล้ว บอกว่าเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัด ฝ่ายนั้นบอกแค่ว่าเป็นสหายเก่าของท่านแม่ทัพน้อย”นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียบนิ่ง ตกอยู่ในภวังค์ความคิดหากเป็นสหายเก่าจริง ๆ เหตุใดต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆฮูหยิ่นเมิ่งเอ่ยปลอบใจว่า “อย่างน้อยบัวกลีบเปลวเพลิงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนผู้นั้นคงไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเจ้าหรอก”เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า “อาจารย์หญิง ของสิ่งนี้มีที่มาไม่ชัดเจน ควรระมัดระวังจะเป็นการดีที่สุด”สำหรับนางบัวกลีบเปลวเพลิงเป็นเพียงทำให้โรคของนางได้หายไวขึ้น นางไม่ได้มีความจำเ
เกี้ยวมงคลถูกหามตรงไปยังโรงพักแรมหลวง หน้าประตูจวนตระกูลเฟิ่งกลับเงียบเหงาไร้ผู้คนนายท่านเฟิ่งมิอาจทนเรื่องกระทบใจเช่นนี้ได้ จึงระบายความขุ่นเคืองมาที่ตัวอี๋เหนียงหลิน“เจ้าพูดมิใช่หรือว่าจะมิพลาดเด็ดขาด! หือ? ข้าบอกว่าข้าจะไปรับด้วยตนเอง เจ้าก็มิยอมให้ข้าไป พูดว่ามีบิดาที่ไหนกันทำตัวด้อยค่าเช่นนั้น เจ้า...ข้ามิควรเชื่อคำบ้าบอของเจ้า!”อี๋เหนียงหลินก็นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนจะใจร้ายถึงเพียงนี้ พูดว่าแต่งออกจากเรือนตระกูลเมิ่ง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิ่งโดยสิ้นเชิงนางกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม“นายท่าน เรื่องนี้จะตำหนิข้ามิได้”“เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน นางมิเห็นท่านอยู่ในสายตา“ใจของนางเอนเอียงไปทางตระกูลเมิ่งแต่แรกแล้ว ในฐานะบุตรสาว เหตุใดจึงทำให้บิดาเสียหน้าได้เช่นนี้เล่า?”“เจ้ายังกล้าพูดอีก!” นายท่านเฟิ่งถลึงตามองอย่างโกรธเคืองเขาสั่งพ่อบ้านในทันที “เตรียมรถม้า ข้าจะไปโรงพักแรมด้วยตนเอง!”หลังจากนายท่านเฟิ่งออกไป อี๋เหนียงหลินก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วร่ำไห้เฟิ่งหมิงเซวียนมิเข้าใจจริง ๆ ว่า เหตุใดบิดายืนกรานจักต้องให้เฟิ่งจิ่วเหยียนแต่งอ
ประตูกลางเปิดออก เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมเครื่องแบบฮองเฮา มงกุฎหงส์งดงามเลอค่า ทว่าก็มิอาจข่มบุคลิกของตัวนางได้และเพื่อสะดวกต่อการประกอบพิธีการ จึงเปลี่ยนจากผ้าคลุมหน้ามาเป็นม่านปิดหน้าแทนม่านมุกและพู่ห้อยกวัดแกว่งไปตามการเดิน ใบหน้าที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเพียงราง ๆเหล่าขุนนางมองมาที่นาง พลันโน้มศีรษะแสดงความเคารพในทันใดบุคคลผู้นี้มิเพียงเป็นฮองเฮา ยังเป็นแม่ทัพน้อยที่คอยปกป้องชายแดนเหนือมานานแรมปีด้วยเซียวอวี้กำลังจะก้าวไปข้างหน้าโดยมิรู้ตัว หลิวซื่อเหลียงจึงรีบเอ่ยเตือนเบา ๆ“ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาว ด้านหลังคือองครักษ์ติดตาม และสินเดิมที่ติดตัวมา นับว่าเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา จะมีเหตุการณ์สำคัญอยู่สามเหตุการณ์ นั่นคือ พิธีรับการแต่งตั้ง ฮ่องเต้และฮองเฮาบูชาสวรรค์ และสุดท้ายถึงจะเป็นพิธีการของสามีภรรยาดังนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหยุดอยู่หน้าบันไดเก้ามังกร เพื่อรอรับการแต่งตั้งก่อนขุนนางที่ดำเนินพิธีการแต่งตั้งยืนอยู่หน้าขั้นบันได กางพระราชกฤษฎีกาออก พร้อมกับอ่าน“ในฐานะฮ่องเต้ จำต้องแต่งตั้งฮองเฮา เพื่
ทุกคนแหงนหน้าขึ้นไป เห็นเพียงภายใต้แสงอาทิตย์ มีเมฆขาวกลุ่มหนึ่งกลายเป็นเจ็ดสี“ข้ามิเคยเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน นี่ถือเป็นลางดี!”“ฮองเฮาทรงเป็นผู้ที่สวรรค์กำหนดอย่างแท้จริง!”“มีฮองเฮาทรงคุณธรรมเช่นนี้ หนานฉีเราจักต้องรุ่งเรืองสืบไปอย่างแน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมมงกุฎหงส์อันหนักอึ้ง มิอาจแหงนหน้าขึ้นมองได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจอยู่แล้วเซียวอวี้ยังเดินมาถามว่า“จิ่วเหยียน เจ้าเห็นแล้วหรือไม่? เป็นเมฆมงคล เรามิเคยเห็นเมฆที่งดงามเท่านี้มาก่อน เจ้าคือคนที่ชะตาลิขิตไว้ให้เราอย่างแท้จริง...”“จะเข้าห้องหอเมื่อใด?” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยแทรกคำพูดของเขา ทั้งเอ่ยอย่างหนักแน่นเซียวอวี้: ?เขาก็อยากเข้าห้องหอ ทว่าเหตุใดนางถึงร้อนใจมากกว่าเขาเสียอีก?ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มจาง ๆ“ใกล้แล้ว”จะตำหนิว่าเขามิใส่ใจคงมิได้ ว่าไปแล้ว เขาก็มิรู้เช่นกันว่า มงกุฎหงส์นี้จะหนักมากเพียงใดผู้ดำเนินการในพระราชพิธียังคงทำหน้าที่ต่อไป“ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงเข้าสู่พิธีการคำนับ! คำนับฟ้าดิน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนและเซียวอวี้หันไป ทำท่าทางโค้งคำนับ“ต่อด้วยคำนับเครือญาติเชื้อพระวงศ์!”ที่ตำแหน่ง
จุมพิตอันลึกซึ้ง ผสานกับกลิ่นสุราอันหอมหวานเมื่อครู่เฟิ่งจิ่วเหยียนปิดตาลง และดื่มด่ำไปกับมันมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เซียวอวี้ก็ผละออกจากนางช้า ๆ และแตะบนหน้าผากนาง พร้อมกับยิ้มอย่างสบายใจ“นี่ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกันดื่มเช่นกัน”ลำคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนแห้งผาก มือหนึ่งคว้าคอเสื้อของเขาไว้ ขนตาตกลงมาครึ่งหนึ่ง “เพคะ”ขณะอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม นางมองที่เขา และคิดจะกระโจนใส่เขาทว่านางรู้ดีว่า ตามกฏแล้ว ต่อไปเซียวอวี้จักต้องไปที่ท้องพระโรงเซียวอวี้ยามอยู่กับนาง ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายเขาจึงออกคำสั่งกับคนด้านนอกทันที“ออกไปก่อน”เหล่าหมัวมัวต่างมองหน้ากัน ก็รีบออกไปนอกตำหนักโดยเร็วหลังจากคนอื่นออกไปหมดแล้ว เขาก็ช่วยนางถอดมงกุฎหงส์ออกด้วยตนเอง เมื่อถือไว้ในมือ ถึงรู้ว่ามันหนักเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มี “พันธนาการ” นี้แล้ว พลันรู้สึกหายใจได้โล่งขึ้นเซียวอวี้โอบกอดนางไว้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“ลำบากแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออก“ท่านควรจะไปที่ท้องพระโรงได้แล้ว”เซียวอวี้เงยคางนางขึ้นมา แสร้งเอ่ยอย่างไม่พอใจ“แต่งงานกันแล้ว เหตุใดยังห่างเหินเช่นนี้?”เฟิ่งจิ่วเ
ณ ท้องพระโรงเหล่าขุนนางกินดื่มอย่างอิ่มหนำแล้ว ฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จมาหลายคนแอบซุบซิบขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากการสอบภาควสันตฤดูเอ่ยว่า“ฝ่าบาทพระพักตร์แจ่มใส สมดังว่าคนเรามีเรื่องมงคลจิตใจย่อมเบิกบาน!”“หากเจ้าได้แต่งภรรยา สีหน้าก็จะดูแจ่มใสเช่นนี้”ขุนนางผู้นั้นนึกถึงเรื่องบางอย่าง ใบหน้าพลันแดงก่ำในทันทีหรือว่าฮ่องเต้ทรงมาช้า เป็นเพราะ...เป็นไปไม่ได้!จะเหลวไหลเช่นนั้นได้อย่างไร!แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้มิใช่คนมัวเมาลุ่มหลงในอิสตรี!บนบัลลังก์มังกร จักรพรรดิหนุ่มดูมีชีวิตชีวา ทว่าคนอยู่ แต่ใจไม่อยู่เขามาที่ท้องพระโรงนี้ เพราะถูกเฟิ่งจิ่วเหยียนรบเร้าในขณะกำลังคิดว่า จะดื่มกับเหล่าขุนนางไม่กี่จอกก็จะกลับไปตำหนักจื้อเฉิน ในเวลานี้ หนานซานอ๋องก็ลุกขึ้นยืน พร้อมชี้แนะอย่างมีเหตุมีผล“ฝ่าบาท ไม่ว่าเรื่องใดมิควรปล่อยตามใจตนเอง“ในฐานะที่ท่านเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ควรเป็นแบบอย่างให้กับบุรุษใต้หล้า“จริงอยู่ว่างานอภิเษกสมรสควรค่าแก่การยินดี ทว่าหากเกินขอบเขตที่เหมาะสม...”คำพูดเหล่านี้เหล่าขุนนางได้ยินถึงกับตะลึงงันหนานซานอ๋องช่างกล้าเอ่ยจริง ๆว
รุ่ยอ๋องรู้อยู่แล้วว่าหร่วนฝูอวี้ชอบเฟิ่งจิ่วเหยียน บัดนี้คนผู้นี้ก็อาศัยอยู่ที่จวนของเขามิยอมไป เขาจึงจงใจเอ่ยยั่วยุ“ท่านพี่ของเจ้าเป็นอย่างไร ข้าไม่รู้“แต่ข้ารู้เพียงว่า ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงมีความรักที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างมาก กลัวแต่ว่าราตรีนี้อาจจะไม่ยาวนานพอ”หร่วนฝูอวี้มิได้โกรธเคืองเหมือนดั่งที่เขาคิดไว้ แต่กลับยิ้มด้วยความโล่งใจ“ท่านพี่พึงพอใจก็ดีแล้ว”ประกายวาวในดวงตารุ่ยอ๋องมลายหาย เปลี่ยนเป็นว่างเปล่า และคล้อยตามราวกับถูกผีสิงในทันที“เจ้าพูดถูก”ณ พระราชวังภายในตำหนักจื้อเฉินเซียวอวี้เคลิบเคลิ้มอยู่กับเสียงเรียกซ้ำ ๆ ว่า “ท่านพี่” และปรารถนาได้ยินอย่างไม่สิ้นสุดช่างบังเอิญตรงกับคำพูดของรุ่ยอ๋อง เขารู้สึกว่าราตรีนี้สั้นเกินไปเช้าวันต่อมาเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนตื่นขึ้นมา ก็เห็นเซียวอวี้นอนอยู่ข้างกายนาง และจ้องนางด้วยแววตาอันร้อนรุ่มนางพลิกตัวกลับ และหันหลังให้เขา “ท่านควรไปว่าราชกิจได้แล้ว”เซียวอวี้เขยิบเข้ามาใกล้ โอบเอวของนางไว้ และจูบที่หลังลำคอของนาง“วันนี้เราไม่ไปว่าราชกิจ”เฟิ่งจิ่วเหยียนปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวอย่างมาก จึงผลักเขาออกไปเบา ๆ“มิบันยะบั
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้