รอยยิ้มของเสวียนหลิงเฟิงที่อยู่บนแท่นสูงดูแข็งทื่อเล็กน้อยเมื่อครู่ ฮองเฮาว่ากระไรนะ?ฝ่าบาททรงบาดเจ็บถึงแก่นกายรึ?จากที่เขารู้มา ความจริงไม่ใช่เช่นนี้อย่าว่าแต่เสวียนหลิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจเลย แม้แต่ตัวเซียวอวี้เองก็ยังตกตะลึงอย่างยิ่งร่างกายของเขาแข็งแรงดีมาก ไม่เคยเกิดความผิดปกติมาก่อนแต่เพียงครู่หนึ่งเขาก็พลันนึกได้สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน จะให้กำเนิดบุตรได้หรือไม่ เป็นเรื่องของคนสองคนหลังจากคิดได้แล้ว ปฏิกิริยาของเซียวอวี้ก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เขาคล้อยตามคำที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดเมื่อครู่ทันที เขาพูดกับเสวียนหลิงเฟิงผู้เป็นอาจารย์“ใช่แล้วขอรับ ขอท่านได้โปรดตรวจและรักษาให้ศิษย์ด้วยเถิด”มุมปากเสวียนหลิงเฟิงกระตุกเบา ๆเจ้าเด็กสองคนนี้นี่ โกหกคล่องปากเหมือนไม่ต้องคิดเลย!เฟิ่งจิ่วเหยียนมั่นใจว่าเสวียนหลิงเฟิงผู้นี้ไม่มีทางปฏิเสธเขาเก่งกาจเพียงนี้ ย่อมรู้จุดประสงค์ที่พวกนางเข้ามาในเขาในเมื่อทราบถึงเรื่องนี้ แล้วยังส่งศิษย์ไปต้อนรับที่ประตูหุบเขา ก็พิสูจน์แล้วว่าเขามีใจที่จะรักษาโรคกลัวความหนาวให้นางทว่าถูกห้ามไว้ด้วยกฎของภูเขาหวูหยา ทันใดนั้นเสวียนหลิงเฟิ
ใบหน้าที่แก่ชราของโอวหยางเหลียน มีความชอบธรรมอย่างเห็นได้ชัด“ท่านกับซู่ยวน คนหนึ่งเหมือนมารดา อีกคนเหมือนบิดา วันนี้เมื่อได้เห็นใบหน้า ซู่ยวนผู้นั้นไม่เหมือนบิดาของท่านซักนิด ต้องไม่ใช่ตัวจริงแน่!”สีหน้าของมั่วซินหมัวมัวพลันซับซ้อน คิดอยากพูดโน้มน้าวโอวหยางเหลียนแต่ก็พูดไม่ออกวันนี้ท่านประมุขได้พบกับใต้เท้าซู่ยวนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาการป่วยอาจจะดีขึ้นก็ได้ใต้เท้าโอวหยางเหลียนกลับเปิดเผยความจริงออกมาเช่นนี้ นี่มิใช่การทำให้อารมณ์ของท่านประมุขขึ้น ๆ ลง ๆ จนอาจจะส่งผลให้อาการป่วยแย่ลงหรอกหรือ?ทว่าเมื่อหันไปดูท่านประมุขอีกครั้ง กลับดูไม่มีปฏิกิริยาอะไรมั่วซินหมัวมัวจึงกล่าวเตือนอย่างวิตกกังวล“ท่านประมุข...”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยกมือขึ้นอย่างอาจหาญ มั่วซินหมัวมัวจึงหยุดพูดโอวหยางเหลียนพูดอย่างจริงจัง“ท่านประมุข หม่อมฉันทราบว่าพระองค์ตัดสินใจที่จะมอบตำแหน่งประมุขให้ซู่ยวน ดังนั้นตัวตนของซู่ยวนเป็นจริงหรือปลอม เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก“ขอพระองค์โปรดไตร่ตรองอีกครั้ง สืบให้ชัดเจนก่อน ค่อยตัดสินใจเถิดเพคะ”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา“แล้วชิ้น
ภายในภูเขาหวูหยามีศิษย์อยู่ทั้งหมดสามสิบคนในบรรดาพวกเขา มีหลายคนที่โตมากับเซียวอวี้ เวลาพูดจาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนักวันนั้นเซียวอวี้ที่ไม่ค่อยออกมานอกเรือน ได้ออกมาแล้วพบกับศิษย์น้องผู้หนึ่งเข้าฝ่ายหลังที่มาส่งยา คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม เขามองจนเซียวอวี้รู้สึกเดือดดาล“ศิษย์พี่ ยานี้ท่านรีบดื่มตอนร้อน ๆ เถิด”เซียวอวี้: …อดทนไว้!เขารับยามา ยามที่กำลังจะหันกายจากไปนั้นเอง ศิษย์น้องผู้นั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง“ศิษย์พี่ มิน่าเล่าตั้งแต่ท่านขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยมีบุตรหลานเลย ท่านนี่นะ น่าจะรีบกลับมาหาอาจารย์ตั้งนานแล้ว!”ความโกรธในร่างของเซียวอวี้ที่ลดลงไปพลันพุ่งขึ้นในทันทีพอหันกลับมา ศิษย์น้องผู้นั้นก็วิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วสมควรตายนัก!เขากลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทว่าเมื่อเจอเฟิ่งจิ่วเหยียนก็รีบปรับอารมณ์ของตนแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที“จิ่วเหยียน ได้เวลาดื่มยาแล้ว”คนอื่นล้วนเข้าใจว่ายานี้สำหรับให้เขาดื่ม ทว่าที่จริงแล้วล้วนต้มให้นางทั้งนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยกชามยาขึ้นแล้วดื่มคำใหญ่โดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เพียงครู่หนึ่งก็เห็นก้นชามยานี้เซียว
ประมุขแคว้นซีหนีว์ส่งจดหมายมาเล่าเรื่องของหลิวอิ๋งอย่างละเอียดเฟิ่งจิ่วเหยียนอ่านจดหมายจนจบ ก็พูดกับเซียวอวี้ด้วยสีหน้าจริงจัง“ทางแคว้นซีหนีว์สงสัยว่าหลิวอิ๋งไม่ใช่ซู่ยวนตัวจริง”ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ เซียวอวี้กับนางไม่แปลกใจซักนิดหลายวันก่อนหน้านี้นางได้รับภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวมาแล้วตงฟางซื่ออาศัยคำบรรยายของแต่ละฝ่าย วาดภาพเหมือนของสามีภรรยาสกุลหลิว รวมทั้งบุตรชายคนเล็กที่ตายไปแล้วออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยพิจารณาอย่างละเอียดมาก่อน และดูออกว่าหลิวอิ๋งกับน้องชายผู้นั้น หน้าตาเหมือนพ่อและแม่อยู่หลายส่วนมีเพียงท่านแม่ของนางเท่านั้น ที่หน้าตาไม่เหมือนคนตระกูลหลิวทว่าการอาศัยเพียงจุดนี้จุดเดียว ยากที่จะเป็นหลักฐานได้ถึงอย่างไรอายุของหลิวอิ๋ง ก็ตรงกับซู่ยวนพอดีจะต้องมีเรื่องที่ถูกปิดบังอยู่เป็นแน่เฟิ่งจิ่วเหยียนเก็บจดหมายขึ้น ทอดมองไปไกลด้วยสายตาเย็นชา......ณ แคว้นซีหนี่ว์ภายในพระราชวังเจิ้งจีเดินเล่นในวังจนครบรอบหนึ่งแล้วพูดกับมารดาเป็นการส่วนตัวว่า“ท่านแม่ พวกเขาล้วนพูดกันว่าท่านประมุขจะให้ท่านสืบทอดตำแหน่งต่อ!”หลิวอิ๋งไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยเรื่องนี้นางรู้
เมืองหลวงแคว้นหนานฉีณ จวนตระกูลเฟิ่งอี๋เหนียงหลินร้องไห้จนแทบขาดใจ น้ำมูกน้ำตาไหลพราก“ลูกเอ๋ย ลูกรักของแม่ เจ้ามีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน...”ขณะที่นางกำลังร้องไห้ เฟิ่งหมิงเซวียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นว่า“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย ท่านร้องไห้ทำไมกัน?”อี๋เหนียงหลินจิ้มหน้าผากของเขาด้วยความโมโห “เจ้าจะออกจากตระกูลเฟิ่งไปแต่งกับแม่นางหอนางโลม เจ้า...เจ้าตายไปยังดีเสียกว่า!”เฟิ่งหมิงเซวียนเองก็ทุกข์ใจมากเช่นกันทว่าเรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว เขาเองก็ไม่อาจขัดขืนได้ถึงอย่างไรอิงเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ลูกของเขาแล้ว เขาจะเป็นพ่อคนแล้ว พอคิดเช่นนี้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องร้ายไปซะหมดต่อให้ภายนอกเขาไม่ใช่คนตระกูลเฟิ่งแล้ว ทว่าเขามีสายเลือดตระกูลเฟิ่งไหลเวียนอยู่ หากอนาคตเขาต้องการความช่วยเหลือ ท่านพ่อและพี่ใหญ่ไม่มีทางนิ่งเฉยเป็นแน่เฟิ่งหมิงเซวียนพูดโน้มน้าวตัวเองเรียบร้อยยามนี้เขาต้องพูดโน้มน้าวท่านแม่ ให้นางยอมรับความจริงให้ได้อี๋เหนียงหลินร้องไห้ไม่หยุด และไม่ฟังที่เขาพูดในหัวของนางคิดเพียงว่า ทำไมตนไม่ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดก่อนที่ท่านพี่จะไปยังกำชับนางว่าให้ดูแลเรือนในและบ
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเริ่มผิดปกติอีกครั้ง รุ่ยอ๋องก็หันกายจากไปหร่วนฝูอวี้จงใจเรียกเขาเอาไว้“ท่านอ๋องเพคะ ~อย่าไป”สีหน้ารุ่ยอ๋องมืดครึ้มสตรีนางนี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริง!เขาจะต้องเอากู่เสน่ห์นี่ออกไปให้ได้!......ณ จวนพลทหารนายหญิงเฟิ่งกลับมาจากจางโจวแล้วนึกไม่ถึงเลยว่าสองเดือนที่นางจากเมืองหลวงไป จะเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เดิมนายหญิงเฟิ่งคิดว่า อาอิ๋งจะแต่งให้กับเฟิ่งหลินได้อย่างราบรื่นใครเล่าจะรู้ว่าจิ่วเหยียน เด็กคนนี้จะหัวรั้นเช่นนี้ จะต้องสอดมือเข้าไปยุ่งให้ได้ตระกูลเฟิ่งถอนหมั้น อาอิ๋งก็หายตัวไป“อาอิ๋งไปอยู่ที่ไหนกันแน่? ฮองเฮาเล่า? ข้าจะเข้าเฝ้าฮองเฮาได้อย่างไร?”สะใภ้โจวซื่อประคองนางให้นั่งลง แล้วบอกนางอย่างอดทนว่า“ท่านแม่ ท่านอย่าได้รีบร้อนไป ท่านน้าจะต้องกลับเจียงโจวอย่างปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ฮองเฮาทรงเสด็จออกไปท่องเที่ยวที่เมืองต่าง ๆ กับฝ่าบาทแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเสด็จกลับมาเมื่อใด“อีกซักครู่พอท่านพี่ออกเวรกลับมาที่จวนแล้ว ท่านค่อยคุยกับเขาอย่างละเอียดนะเจ้าคะ”ยามเย็น เฟิ่งเหยียนเฉินกลับมาถึงจวนนายหญิงเฟิ่งร้อนใจดั่งไฟสุม ขมวดคิ้วด้วยความกังวล“
ณ แคว้นซีหนี่ว์หลายวันมานี้มีหมอเทวดาท่านหนึ่งมา ด้วยการรักษาของเขา อาการป่วยของประมุขแคว้นเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นคนล้วนพูดกันว่าเรื่องน่ายินดีทำให้จิตใจเบิกบาน พอท่านประมุขแคว้นหาใต้เท้าซู่ยวนผู้เป็นน้องสาวพบ อาการป่วยก็ดีขึ้นภายในห้องโถงด้านข้างสีหน้าของหลิวอิ๋งดูดำมืดอย่างยิ่งเดิมคิดว่าประมุขแคว้นนี่ใกล้จะตายแล้วนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะอาการดีขึ้นเช่นนี้!หมอสมควรตายนี่โผล่มาจากที่ใดกัน!ยามนี้ดูไปแล้ว ประมุขแคว้นนั่นคงจะไม่ตายในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่จะถึงคราวที่นางได้เป็นประมุขแคว้นล่ะ?ความทะเยอทะยานในดวงตาของหลิวอิ๋งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆไม่ได้!นางจะรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นางต้องทำอะไรซักอย่างหลิวอิ๋งลุกขึ้นยืนทันที แล้วไปขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้นภายในตำหนักบรรทมประมุขแคว้นเพิ่งจะดื่มยาเสร็จหลิวอิ๋งเดินเข้าไปด้านหน้าแท่นบรรทม แล้วโค้งกายคารวะ“ท่านพี่”ประมุขแคว้นเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาแฝงด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยน“ซู่ยวน เจ้ามาแล้วหรือ ทำไม มีเรื่องอะไรหรือ?”สาวใช้ยกเก้าอี้กลมเข้ามา หลิวอิ๋งนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาตินางเริ่มพูดอย่า
……กลางเดือนสิบอากาศหนาวเย็นบนภูเขาหวูหยาเริ่มทวีความเข้มข้น ราวกับเข้าสู่ช่วงหนาวเย็นแห่งเหมันต์บนภูเขาหวูหยาแห่งนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ห่างหายจากการฝึกวิชายุทธ์ต่อให้อากาศจะหนาวเหน็บ นางก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าทุกวันวันนี้ นางได้เจอเสวียนหลิงเฟิง ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางลมหนาว ในอาภรณ์ตัวบาง กลับไม่เห็นความอิดโรยใด ๆ ทั่วสรรค์พางกายเหมือนเซียนเฒ่าลงมาจุติโลกมนุษย์ เปล่งประกายออกมาเดิมนางอยากไปฝึกที่อื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสวียนหลิงเฟิงพูดคำปริศนาออกมา“มันเป็นโชคชะตา ย่อมหลีกหนีไม่พ้น” เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยโชคชะตาอะไร?หรือหมายถึง ชั่วชีวิตนี้นางจะไม่มีลูกอีก อย่าฝืนโชคชะตาอย่างนั้นหรือ?ไม่นาน เซียวอวี้ก็ตามมาเช้านี้เขาได้รับสาส์นลับจากเมืองหลวง จึงเสียเวลาไปหน่อยเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางลมหนาว ไม่ไหวติง เขาก็รีบเดินเข้าไป“เป็นอะไรไป?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมาหาเขา นัยน์ตาก่อเกิดความเด็ดเดี่ยว“ฝ่าบาท หลังจากกลับไปที่วังหลวง ขอให้ท่านกระจายความโปรดปรานให้เหล่านางสนมอย่างทั่วถึง”สีหน้าของเซียวอวี้อึมครึมเล็กน้อย“เจ้าพูดไร้
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้