หลังการฝึกซ้อมมาหลายวัน งานแข่งขันขี่ม้าโปโลก็เริ่มต้นขึ้นตามกำหนดการเมื่อมองไปบนปะรำพิธีจะเห็นฮ่องเต้นั่งตรงกลาง ไทเฮานั่งอยู่ด้านขวาของเขา ส่วนคนที่เหลือนั่งตามลำดับศักดิ์รุ่ยอ๋องตรัสชมด้วยท่าทางอบอุ่น“นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานแข่งขันขี่ม้าโปโลในวัง ฮองเฮาทรงทุ่มเทความคิดอย่างมากจริง ๆ”ระหว่างที่พูดเขาก็มองไปทางฮ่องเต้อยู่หลายครั้งเซียวอวี้กล่าวตอบด้วยท่าทีเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง“นับเป็นคนแรกจริง ๆ เทียบกับฮองเฮาผู้เพียบพร้อมจากสกุลเฟิ่งทั้งหมดในประวัติศาสตร์ นับว่าไม่เคยมีมาก่อน”ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนฟังออกว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัยในตัวฮองเฮาเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น ไทเฮาจึงตรัสชมด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเมตตาว่า“ฮองเฮาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ งานแข่งขันขี่ม้าโปโลนี้ต้องเป็นรูปแบบใหม่เป็นแน่”คิ้วกริชของเซียวอวี้เลิกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของไทเฮารุ่ยอ๋องไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ยกแก้วสุราด้านหน้าขึ้นมาจิบเงียบ ๆ ด้วยตัวคนเดียวสนมนางอื่นไม่ได้สนใจในงานแข่งขันขี่ม้าโปโลเท่าไร พวกนางคิดเพียงแค่อยากเข้าใกล้ฮ่องเต้มากขึ้นอีกซักนิดเท่านั้นทว่าแม้จะอยู่บนปะ
เมื่องานแข่งขันขี่ม้าโปโลเริ่มต้นขึ้น เหล่าสนมผู้ร่วมการแข่งขันที่สวมชุดขี่ม้าก็ทยอยขี่ม้าเข้ามาในสนามไทเฮาแสร้งตรัสอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า“อายุยังน้อยช่างดีเสียจริง แต่ละคนล้วนดูต่างไปจากยามปกติ ดู ๆ ไปแล้วไม่เหมือนนางสนมที่อยู่ในส่วนลึกของวัง กลับเหมือนแม่ทัพหญิงเสียมากกว่า!”กุ้ยหมัวมัวค้อมกายรับพระดำรัสของไทเฮา“ไทเฮาทรงเป็นพระมารดาแห่งใต้หล้า ฝ่าบาททรงพระปรีชาญาณมากล้นด้วยคุณธรรม ในวังหลวงแห่งนี้ย่อมบ่มเพาะคนได้ดีเป็นธรรมดา”เซียวอวี้กวาดตามองที่สนาม พบว่าอยู่ห่างเกินไปจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใครใบหน้างดงามของเขาไม่ยินดียินร้าย“เสด็จแม่เพียงพูดเล่นก็แล้วไปเถิด”“ร้อยปีมานี้ แคว้นหนานฉียังไม่เคยปรากฏแม่ทัพหญิงมาก่อน”รุ่ยอ๋องยกแก้วสุราขึ้น“พระบารมีของฝ่าบาททรงคุ้มครองแคว้นหนานฉี ผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากความสามารถ”“เชื่อว่าอีกไม่นานแคว้นหนานฉีจะต้องปรากฏแม่ทัพหญิง ขยายอาณาเขตเพื่อแคว้นหนานฉีของเราให้เป็นมหาอำนาจแห่งจงหยวน[1] พ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ยกจอกสุราขึ้น ทำท่าชนจอกกับรุ่ยอ๋องกลางอากาศโหม่ง!เสียงฆ้องดังกังวาน การแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วสมาชิกของสอง
กุ้ยเฟยได้แต้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่นางขี่ม้าผ่านเข้ามาใกล้เฟิ่งจิ่วเหยียน นางก็หยุดม้า“ฮองเฮาเพคะ ทีมของท่านไม่มีคนแข่งได้แล้วหรือ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นปกติ หาได้สนใจนางไม่กุ้ยเฟยกลับไม่ยอมรามือ นางกดเสียงให้เบาแล้วพูดยั่วยุ“ข้ารู้นะ เจ้าอยากให้นางสนมเจียแย่งชิงความโปรดปราน แบ่งความรักความโปรดปรานของฝ่าบาทไปจากข้า“เฟิ่งเวยเฉียง ฮองเฮาอย่างเจ้าช่างน่าสมเพชเสียจริง!“เจ้าทุ่มเทกายใจสนับสนุนนางสนมเจียถึงเพียงนี้ สุดท้ายนางก็ยังถูกข้าเหยียบย่ำจนลุกไม่ขึ้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ?“เจ้าเองก็เช่นกัน อีกไม่นาน เจ้าก็ต้องคลานมาอยู่แทบเท้าข้า ขอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้า! เหมือนกับแม่ของเจ้าในวันนั้น...”เฟิ่งจิ่วเหยียนเลิกคิ้วขึ้นกุ้ยเฟยแอบสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้บนสีหน้าของนาง จึงแสดงความพึงพอใจออกมา“เป็นอะไรไป เจ้าไม่รู้หรอกหรือ?“หลังจากเจ้าถูกจับตัวไป ฮูหยินเฟิ่งเคยมาขอเข้าพบข้าอย่างไรเล่า!“ข้าให้นางทำอะไร นางก็ทำหมด กระทั่งให้นางคุกเข่าลงไปใส่รองเท้าให้ข้าก็ยังทำ สำเหนียกตัวกว่าเจ้ามากนัก!”เฟิ่งจิ่วเหยียนกุมบังเหียนแน่นจนข้อนิ้วซีดขาวกุ้ยเฟยมองออกไปข้างหน้
บนปะรำพิธี นางสนมทั้งหมดมีท่าทางตื่นเต้นภาพที่พวกนางเห็นคือกุ้ยเฟยกับนางสนมเจียกำลังแย่งลูกบอลกันอย่างดุเดือด ทุกคนล้วนคอยื่นคอยาวอยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไรทว่ากลับไม่รู้ว่าม้าของทั้งสองคนล้วนคลั่งไปแล้ว!เพียงได้ยินเสียงแหลมกรีดร้องเท่านั้นฉับพลันนั้นเองก็มีคนถูกสะบัดตกลงจากหลังม้า...ตั้งแต่ตอนที่กุ้ยเฟยพบว่าม้าผิดปกติจนถึงตอนที่ร่วงตกลงจากม้าใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นนางไม่มีทางควบคุมม้าทันได้เลยชั่วพริบตาที่ร่วงลงไป นางหวาดกลัวอย่างยิ่งข้างล่างล้วนเป็นหินแหลมคมทั้งนั้น ใบหน้าของนาง!นางพยายามปกป้องใบหน้าของตัวเองอย่างสุดชีวิต ทว่าหลังจากผ่านการกลิ้งพลิกไปมาอย่างรุนแรงหลายตลบ ใบหน้าของนางก็หลบไม่พ้นจนถูกกรีดเป็นแผลใหญ่!นอกจากนี้แขนข้างซ้ายยังส่งเสียง’กร๊อบ’ ดูเหมือนว่ากระดูกของนางจะหักแล้ว...“อ๊า” กุ้ยเฟยเจ็บปวดจนตะโกนออกมาเสียงดังใบหน้าของนาง แขนของนางทำไมกัน!ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!คนที่ล้มควรจะเป็นนางสนมเจีย ใยรวมไปถึงนางก็...เจ็บปวดมาก...ใครกันที่ทำร้ายนาง!บนร่างของนางมีกลิ่นดอกฟรีเซียเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแท้ ๆ ทำไมม้าของนางจึง
ตูม!ศีรษะของกุ้ยเฟยราวกับระเบิดในคราเดียวไม่ใช้หมาฝู่ส่าน? เย็บแผลสด?ไอ้หมอไร้ฝีมือนี่คิดจะทำให้นางเจ็บจนตายหรืออย่างไร!ยังมียาจู้หุนส่านนั่นอีก มันคืออะไรกัน!ยารักษาอาการปวดหัว...หรือจะเป็นเฟิ่งเวยเฉียง!ใช่ เป็นเฟิ่งเวยเฉียงที่ทำร้ายนาง!หมอหลวงคุกเข่าที่พื้นแล้วทูลฮ่องเต้ว่า“ฝ่าบาท หากยังไม่เย็บแผล กุ้ยเฟยจะเสียเลือดมากเกินไป ถึงเวลานั้นจะอันตรายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่น สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของกุ้ยเฟย“เย็บ!”“ไม่นะ! ฝ่าบาทเพคะ...” กุ้ยเฟยน้ำตาไหลรินจนผสมรวมกับเลือดนางต่อต้านโดยสัญชาตญาณหมอหลวงชราผู้ควบคุมดูแลการรักษาออกคำสั่ง “จับพระสนมเอาไว้ อย่าให้พระสนมขยับไปมา!”เมื่อเห็นหมอหลวงถือเข็มและด้ายเข้าใกล้ กุ้ยเฟยจึงกรีดร้อง“อย่าเข้ามานะ! อ๊า”ทันใดนั้นในกระโจมก็มีแต่เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาดังลั่นคนภายนอกที่ได้ยินล้วนรู้สึกขนพองสยองเกล้าเสียงนี้ดังกึกก้องออกไปไกลมากไทเฮาที่ทรงเป็นห่วงว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ จึงทรงประทับอยู่กับเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นี่พอดี พอได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของกุ้ยเฟย ในพระทัยพลันรู้สึกสบายอารม
พวกหมอหลวงกำลังเย็บบาดแผลให้กับกุ้ยเฟย เซียวอวี้ให้เฟิ่งจิ่วเหยียนมาเข้าเฝ้าในกระโจมด้านข้างข้างในมีเพียงหลิวซื่อเหลียงคอยปรนนิบัติอยู่คนเดียว บรรยากาศหดหู่กดดันกุ้ยเฟยได้รับบาดเจ็บสาหัส การแข่งขันขี่ม้าโปโลถูกสั่งหยุดชะงักในฐานะที่ฮองเฮาเป็นผู้รับผิดชอบจัดงาน ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบเฟิ่งจิ่วเหยียนถวายบังคม สีหน้าสงบสุขุม“หม่อมฉัน ถวายบังคมฝ่าบาท”ทั่วร่างกายเซียวอวี้ เหมือนปกคลุมไปด้วยอายหนาวเหน็บ ทั้งที่เป็นฤดูใบไม้ผลิแสงแดดสดใส กลับทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บหลิวซื่อเหลียงที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาเงียบสงบ ไม่กล้าแม้แต่จะยกหนังตาขึ้นมากระโจมด้านข้าง มีเสียงร้องเรียกอย่างเจ็บปวดของกุ้ยเฟยดังขึ้นมาเป็นระยะสีหน้าจักรพรรดิบูดบึ้ง ขมวดคิ้วชนกันเป็นเหมือนยอดเขา“คุกเข่าลง!”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาสีเข้มทั้งคู่ราวกับเหวลึกเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ตื่นตระหนก ยกกระโปรงขึ้นมา คุกเข่าลงอย่างมั่นคงเจ้านายคุกเข่า เหลียนซวงก็รีบคุกเข่าตามเหลียนซวงก้มหน้าลงต่ำ เนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อยสายตาของฝ่าบาท ราวกับจะฆ่าคน น่ากลัวอย่างมาก!คิ้วตาเซียวอวี้เยื
เผชิญกับการเค้นถามของจักรพรรดิ ริมฝีปากเฟิ่งจิ่วเหยียนอ้าเล็กน้อย“หม่อมฉันคิดอยากสืบ คือใครกันที่ต้องการลงมือทำร้ายนางสนมเจีย”สายตาเซียวอวี้เยือกเย็นเฉียบคม“พูดต่อ”“ก่อนหน้าหม่อมฉันตั้งใจปกปิดบ้างก็จริง”“หลังจากพบว่าเกราะหวายของนางสนมเจียมีปัญหานั้น ที่หม่อมฉันตั้งใจเงียบ เพื่อเป็นการล่องูออกจากถ้ำ”“ครึ่งแรกของการแข่งขัน หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจแข่งขันโปโล ก็เพื่อคอยสังเกตคนข้างนอกข้างในสนามตลอดเวลา”“ม้าของนางสนมเจียสูญเสียการควบคุม หม่อมฉันคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงสามารถช่วยนางไว้ได้ทันเวลา”“แต่กุ้ยเฟยตกม้า อยู่นอกความคาดหมายของหม่อมฉัน”คำอธิบายของนาง ไม่มีข้อพิรุธใดเซียวอวี้ก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า เพื่อสืบหาตัวคนร้าย นางถึงขั้นใช้นางสนมเจียไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้ค่อยสอดคล้องกับเจตนาอันเลวทรามต่ำช้าของนาง!เหมือนอย่างตอนนั้น นางใช้ยาแก้ปวดหัว บีบบังคับให้เขาปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน...แต่เขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรเทียบกับฝีมือโหดเหี้ยมของฮองเฮา เขายิ่งเกลียดชังกับการที่นางพูดโกหกหลอกลวงกษัตริย์สอบถามนาง เพียงเพื่อต้องการฟังนางพูดความจริงเห็นสีหน้าของนางยิ่งอยู่ยิ่งขาวซ
ภายในกระโจม ต่างจากความอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยเช่นรุ่ยอ๋อง ที่นี่มีแต่การถือโทษของฮ่องเต้“ดูหินกรวดพวกนี้ กุ้ยเฟยถูกพวกมันทำร้ายจนบาดเจ็บ”“การแข่งขันขี่ม้าโปโล เจ้าเป็นคนรับผิดชอบจัดงาน สนามหญ้าดี ๆ มีสิ่งของทำอันตรายคนแบบนี้ปรากฏได้อย่างไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็แสดงท่าทีเหมือนเพิ่งรู้เรื่องนี้เช่นกันนางยกมือประสาน ขอทรงโปรดลงโทษ“ฝ่าบาท หม่อมฉันบกพร่องในการตรวจสอบ”ท่าทีเซียวอวี้เยือกเย็นชา“บกพร่องในการตรวจสอบจริง หรือตั้งใจให้เกิดขึ้น”“ฮองเฮา จะเป็นการดีที่สุดที่เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเรียบเฉย“เป็นเพราะการแข่งขันขี่ม้าโปโลนี้ หม่อมฉันเป็นคนรับผิดชอบจัดงาน หม่อมฉันจึงไม่อยากให้การแข่งขันในวันนี้ เกิดเหตุผิดพลาดใด“กุ้ยเฟยกับนางสนมเจียเผชิญอันตราย ไม่เป็นผลดีกับหม่อมฉันเลย”ซึ่งก็จริงนางทำร้ายกุ้ยเฟยนั้นก็เถอะ ทั้งสองเป็นคู่อริเก่าแต่นางสนมเจีย...แต่ก็ไม่สามารถยกเว้นได้ นางจะส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมทำให้ผู้คนงวยงงบางทีเป้าหมายตั้งแต่แรกของนางก็คือกุ้ยเฟยเพราะนางสนมเจีย ถูกนางช่วยไว้แล้วไม่ใช่หรือภาพเหตุการณ์นั้น
องค์ชายเจ็ดทรงนำทัพออกศึกแล้ว ยามดึกเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปค้นหาที่จวนขององค์ชาย ก็ไม่มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากนักค้นหาติดต่อกันสามคืนแล้ว ก็ยังไม่มีเบาะแสใดเลยพวกอู๋ไป๋ก็ไปค้นหาที่จวนขององค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าก็ไม่มีข่าวดีเช่นเดียวกันทางด้านวังหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการคุมขังคนหยิ่นลิ่วไปสืบหาในจวนองค์ชายสี่ ก็แอบได้ยินองค์ชายสี่ทรงเอ่ยตัดพ้อกับที่ปรึกษา“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเจ็ด ข้าจะแย่งชิงได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังมีฮ่องเต้ฉีคอยแนะนำข้า ตอนนี้แม้แต่จะพบฮ่องเต้ฉีก็ยังไม่อาจทำได้เลย!”หยิ่นลิ่วจับจุดสำคัญนี้ได้ จึงรีบกลับไปที่โรงพักแรมเพื่อทูลรายงาน“ฮองเฮา มิต้องสงสัยเลยว่า องค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องทราบว่าฝ่าบาททรงถูกขังอยู่ที่ใด!”เมื่อเทียบกับหยิ่นลิ่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเย็นยิ่งกว่านางต้องการยืนยันอีกครั้ง “องค์ชายสี่ทรงเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงหรือ”หยิ่นลิ่วมั่นใจอย่างยิ่งอู๋ไป๋เริ่มรู้สึกร้อนใจ“นายท่าน ข้าน้อยจะไปจับตัวองค์ชายสี่ และสอบสวนอย่างลับ ๆ !”ด้วยการทรมานอย่างหนัก องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนไม่มีทางที่จะไม่บอกความจริงเฟิ่งจิ่วเหยียนยกม
ช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดน เหล่าทหารมีจิตใจที่ฮึกเหิม ใช้การยึดคืนเมืองที่เสียไปเป็นเป้าหมาย และแย่งกรูกันเข้าไปทางเมืองชายแดนของหนานฉีองค์ชายเจ็ดของเป่ยเยี่ยนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทั้งสามกองทัพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนทรงคาดหวังต่อเขาอย่างมาก ก่อนออกรบทรงตักเตือนและกำชับไว้มากมาย“เจ้าเจ็ด หากชนะสงครามครั้งนี้ ตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ก็ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว! เหล่าพี่น้องของเจ้าก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน!”องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างนอบน้อม“กระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”ฮ่องเต้เยี่ยนมองบุตรชายด้วยความพึงพอใจ ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่เหลืออยู่ มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่มีลักษณะของความเป็นจักรพรรดิมากที่สุดองค์ชายสี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูฉากเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาอันคมกริบฮ่องเต้ฉีเอ่ยไว้ถูกต้องจริง ๆ เสด็จพ่อดีต่อน้องเจ็ดเหลือเกิน!ขอเพียงทหารสามารถรบชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็จะได้รับความดีความชอบไปด้วยชัดเจนว่าเสด็จพ่อทรงให้โอกาสกับน้องเจ็ดแล้วเขาเล่า? เขาเป็นองค์ชายสี่นะ?เหตุใดเสด็จพ่อทรงมองไม่เห็นเข
อาจือถูกส่งเข้าวังมาตั้งแต่เล็ก และคอยรับใช้ข้างกายองค์หญิงเซี่ยนอี๋ที่จริงนางถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง ทว่าคนในตระกูลทำผิด จึงกลายมาอยู่ในสถานะต่ำต้อยอาจือคอยติดตามรับใช้องค์หญิง ทว่ากลับมองตนเองว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปอาจารย์สอนศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับองค์หญิง ไม่ว่าทำอย่างไรองค์หญิงก็ทรงร่ำเรียนไม่สำเร็จ ส่วนนางเรียนรู้ไม่นานก็ทำได้หมัวมัวในวังก็มักจะมองนางด้วยความเสียดาย---อาจือ หากเจ้าไม่อยู่ในสถานะต่ำต้อย ก็คงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์กว่าองค์หญิงเป็นแน่ทว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจนอาจือฉลาดก็จริง ทว่าไม่ถือว่าฉลาดถึงขั้นสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างเซียวอวี้ จึงกลายเป็นคนฉลาดเพียงเล็กน้อยคนที่มีทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กลับมั่นใจเกินไป เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำเป็นกลับจมน้ำอาจือก็มีจุดอ่อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นกันนางเข้าใจว่าตนเองพูดไม่กี่คำ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีแล้ว กลับไม่รู้ว่า อีกฝ่ายวางแผนลวงไว้ตั้งแต่แรกแล้วเมื่อมองจักรพรรดิรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ในใจอาจือเริ่มว้าวุ่นเมื่อใจเริ่มว้าวุ่น แม้จะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อ
ณ เป่ยเยี่ยนจวนขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับพระราชทานแล้ว นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงย้ายเข้าไปในเรือนหลังใหม่มิใช่ว่าองค์หญิงทุกพระองค์จะสามารถเปิดจวนได้ นี่เป็นความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อนางเป็นพิเศษและสิ่งที่นางยินดีเป็นอย่างยิ่งคือ ฮ่องเต้ฉีก็ถูกส่งมาที่จวนของนางด้วยเช่นกันถึงแม้เสด็จพ่อจะส่งคนมาคุ้มกัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกห้องลับที่คุมขังฮ่องเต้ฉีตามอำเภอใจ ทว่า นี่คือจวนของนาง นางย่อมต้องหาโอกาสได้จากคุกลับมาที่จวนองค์หญิง เซียวอวี้ถูกคนคลุมศีรษะมาตลอดทางบวกกับเป็นเวลาค่ำคืน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้องค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง โดยยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องลับ ราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามาติดกับ และยิ่งเหมือนนายพรานที่สร้างกรงขัง กำลังมองดูเหยื่อเดินเข้ามาในกรงด้วยความพอใจขณะที่เซียวอวี้เดินผ่านตัวนาง นางก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี“ฮ่องเต้ฉี พวกเรายังมีอนาคตร่วมกันอีกยาวไกล”เซียวอวี้มีท่าทีเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าเป็นมิตรแม้แต่น้อยทว่านางก็ชอบท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของเขาและว่ากันตามตรง ห้องลับก็ดูสะอาดกว่าคุกลับองค์หญิงเซี่ยนอี๋ทรงเกเรเอาแต่ใจ ทว่าก็มีความจริงใจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต