ทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือ
สำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้
ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วย
สำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือนำมามากพอสมควร ตั้งแต่วัยเด็กที่นางฝึกวรยุทธ์กับเหล่าองค์ชาย ทุกคนล้วนอยู่ร่วมกันได้ดี ยกเว้นแต่ไท่จื่อ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว เหตุร้ายก็ต้องตามมาไม่ว่าจะเป็นกิ่งไม้ที่หักตอนปีนเก็บไข่นก ม้าท้องเสียกลางคันตอนซ้อมยิงธนู หรือแม้กระทั่งจดหมายรัก ที่นางเขียนถึงองค์ชายห้า กลับไปตกอยู่ในมือของฉู่มู่ฉือ เขาอ่านออกเสียงต่อหน้าทุกคน ด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเหมือนจะยั่วโมโห
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่วัยเยาวน์ เสิ่นอวี้เจาจึงเกลียดฉู่มู่ฉือจนถึงกระดูกดำ เมื่อโตขึ้น ความเกลียดชังนี้ก็ไม่ลดลงเลย แถมกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ตำหนักเสิ่งจุ่ย
"อวี้เจา ไม่ว่าอย่างไร มู่ฉือก็ยังเป็นลูกแท้ๆ ของข้า ถึงเจ้าไม่อยากยุ่งด้วย อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่หน้าข้าบ้าง"
ขณะนั้น เสิ่นอวี้เจานั่งอยู่ในท้องพระโรง กำลังปอกแอปเปิ้ลด้วยท่าทางสบายๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยื่นชิ้นแอปเปิ้ลป้อนให้ฮ่องเต้อย่างไม่คิดมาก
"ก็เพราะเห็นแก่หน้าฝ่าบาท หม่อมฉันถึงได้อดกลั้น ไม่ถือมีดไปเชือดเขาเสียก่อน เดือนที่แล้วไท่จื่อยังส่งหีบใส่หนูตายมาเย้ยถึงตำหนัก ฮ่องเต้ทรงบอกได้หรือไม่ เรื่องนี้ควรแก้ไขอย่างไรดี"
ฮ่องเต้รีบถามด้วยสีหน้ากังวล "เจ้าไม่ได้ตกใจกลัวใช่หรือไม่?"
"หม่อมฉันมิได้ตกใจ" นางส่ายหน้าอย่างใจเย็น "แต่สั่งให้ห้องเครื่องทำอาหารจากหนูพวกนั้น แล้วส่งกลับไปให้ตำหนักองค์รัชทายาท ได้ยินว่าเขาชอบมากทีเดียว"
ทันทีที่ได้ยิน ฮ่องเต้ก็ทำหน้าเหมือนจะอาเจียน ก่อนจะรีบยกชาขึ้นจิบแก้อาการสะอึก "มู่ฉือขาดความอบอุ่นจากมารดา จึงมีพฤติกรรมแปลกๆ เจ้าก็เห็นใจเขาหน่อยเถิด"
"ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง พฤติกรรมไท่จื่อไม่ได้แปลกแต่อย่างไร หม่อมฉันเรียกพฤติกรรมนั้นว่า ไร้ยางอาย ถ้ามีการจัดอันดับความไม่เหมาะสมแล้ว หม่อมฉันคิดว่าไท่จื่อต้องได้อันดับหนึ่งแน่นอน"
"เจ้าพูดเช่นนี้ กำลังกล่าวหาว่าข้าไร้ความสามารถในการเลี้ยงดูบุตรธิดาหรือ อวี้เจาเจ้านี่มิรู้จักเกรงกลัวบ้างเลย"
เสิ่นอวี้เจาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ฝ่าบาททรงคิดถูกแล้ว ล้มเหลวก็ควรยอมรับว่าล้มเหลว หม่อมฉันกล่าวผิดหรืออย่างไร"
"..." ฮ่องเต้น้ำตาไหลพราก ใต้หล้านี้คงมีแค่เสิ่นอวี้เจาผู้เดียว ที่กล้าต่อปากต่อคำกับองค์จักรพรรดิ์ผู้เกียงไกร!
"เช่นนั้นฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันมา เพื่อปรึกษาเรื่องการอบรมองค์ไท่จื่อใช่หรือไม่?"
"จริงๆ แล้ว ข้าแค่ต้องการบอกเจ้าว่า ข้าจะอนุมัติการลาที่เจ้าร้องขอก็เท่านั้น"
เสิ่นอวี้เจารู้จักนิสัยของฮ่องเต้เป็นอย่างดี นางจึงไม่กล่าวขอบคุณ แต่กลับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง "ฝ่าบาทมีอะไรอยากพูดก็พูดเถิด คิดว่าหม่อมฉันมองมิออกหรือ"
คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำเอาฮ่องเต้สะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าของพระองค์ยิ่งดูกระอักกระอ่วนขึ้นไปอีก ทรงทำทีเป็นครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะอ้ำอึ้งกล่าวว่า "ถ้าจะลาพัก ก็ควรทำบางอย่างก่อนมิใช่หรือ?"
"ตราบใดที่ไม่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท หม่อมฉันก็อาจพิจารณา"
ทันใดนั้น ใบหน้าหล่อเหลาและได้รับการดูแลอย่างดีของฮ่องเต้ ก็เหมือนโดนบีบให้ยับยุ่ง ทรงแสร้งทำเป็นโศกเศร้า เอามือจับหน้าผากไว้ "เจ้าตัดทางถอยของข้าเสียสิ้นเช่นนี้เชียวหรือ อวี้เจา ใยเจ้าใจร้ายกับข้าเช่นนี้เล่า ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ของแผ่นดิน เจ้าไม่มีท่าทางนอบน้อมก็แล้วไป แต่ทำเช่นนี้มิเกินไปหน่อยหรือ"
ดูเหมือนเรื่องที่ต้องพูดคุยนั้นจะวนกลับมาที่ฉู่มู่ฉืออีกแล้ว
ใบหน้าเย็นชาของเสิ่นอวี้เจาไม่มีแววอารมณ์ใดๆ นางยังคงปอกผลไม้อย่างช้าๆ ทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้พูด
"อวี้เจา อา...อวี้เจาตัวน้อยของข้า"
"ฝ่าบาท อายุอานามปูนนี้แล้ว อย่าทรงทำเช่นนี้เลย" นางพยายามพูดเตือนสติ ให้ฮ่องเต้เลิกคิดฝันลมๆ แล้งๆ "ถ้าหากคิดจะจับคู่ให้องค์รัชทายาท ก็ขอให้ทรงล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย เพราะไท่จื่ออาจต้องจบชีวิตอย่างเดียวดาย หม่อมฉันมีสามัญสำนักมากพอ ไม่ปล่อยให้เขาไปเหยียบย่ำชีวิตหญิงบริสุทธิ์"
ฮ่องเต้ทรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ตอนนี้เขาเอาแต่แอบหยอกล้อกับนางกำนัลในวัง แถมยังไปเที่ยวคณะแสดงร้องรำในเมือง เจ้าควรช่วยเฟ้นหาพระชายาให้เขาเสียแต่เนิ่นๆ สอนให้เขารู้จักเหยียบย่ำแค่คนคนเดียวก็พอ จะได้ถือว่าเป็นการช่วยกำจัดภัยให้ปวงประชา!"
"ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ ว่ากำลังตรัสเรื่องเหลวไหลอยู่”
ความเสี่ยงในตัวฉู่มู่ฉือแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก ไหนจะโชคชะตาแบบดาวหางที่ใครเข้าใกล้ต้องพบภัย การช่วยจับคู่ให้เขาก็เหมือนฆ่าคนให้ตาย ถ้าไม่ระวังตัวดีๆ อาจถูกฟ้าผ่าได้
"เจ้าอยากช่วยข้าหรือไม่?" ฮ่องเต้ที่เอ็นดูนางมาก ในที่สุดพูดเสียงอ้อน อำนาจราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่กลับดูไร้ค่าเมื่อเทียบกับความสุขของไท่จื่อ "ลองสักครั้ง ลองดูสักครั้งเถิด ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องลอง! ตราบใดที่เจ้าตกลง ข้าจะให้ทุกอย่างตามที่เจ้าขอ!"
เสิ่นอวี้เจายกมือขึ้นจับคางพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบนาบ "หม่อมฉันมีความรู้สึกว่า ตำหนักชิวสุ่ยคับแคบเกินไป อยู่แล้วไม่ค่อยสบายตัว..."
"ได้ๆ ข้าจะซ่อมแซมให้ จนกว่าจะทำให้เจ้าพอใจ!"
"และระหว่างรอซ่อมแซม สถานที่พักของหม่อมฉันก็ต้องไม่ธรรมดา อย่างน้อยต้องเทียบเท่ามาตรฐานของวังหลวง" ไม่ว่านางจะแกล้งขู่หรือรีดไถอย่างไร ก็ยังรักษาท่าที "เพื่อความสุขของฝ่าบาท หม่อมฉันยอมทำทุกอย่างให้ลุล่วง" ใบหน้าเย็นชาทำให้ดูน่าเชื่อถือ แม้นางจะพูดเหลวไหลหรือเรียกราคาสูงลิ่ว ก็ไม่เคยหน้าแดงหรือหลุดหัวเราะ
ฮ่องเต้ผู้เคารพนางอย่างจริงใจ ไม่ใส่ใจว่าจะเรียกร้องเกินไปแค่ไหน ทรงตอบตกลงทันที "ข้ารับรองว่าจะหาตำหนักที่ดีที่สุดให้เจ้าอยู่ชั่วคราว!"
"ถ้าฝ่าบาทมีความจริงใจเช่นนี้ หม่อมฉันก็ไม่มีทางปฏิเสธ รอย้ายออกจากชิวสุ่ยก่อน แล้วจะจัดการเรื่องคู่ครองให้รัชทายาทเอง ฝ่าบาทโปรดวางใจ"
"เจ้านี่แหละบุตรสาวที่ดีที่สุดของข้า!"
นี่คงเรียกได้ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" ด้วยบิดาที่ไร้ยางอายอย่างฮ่องเต้ คงแปลกหากจะมีลูกหลานที่คนทั่วไปไว้ใจได้ ฉู่มู่ฉือคือหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เสิ่นอวี้เจาเคยเดาเล่นๆ ว่าบางทีฮ่องเต้อาจแต่งตั้งฉู่มู่ฉือเป็นรัชทายาท เพื่อระลึกถึงฮองเฮาต้วนฮุ่ย หรือเพราะคุณสมบัติพิเศษอย่าง "ใครเข้าใกล้ต้องตาย" หากมีศึกสงครามเกิดขึ้นในอนาคต ฉู่มู่ฉืออาจสามารถแก้ไขปัญหาด้วยการเดินออกไปแนวหน้า กอดศัตรูเล็กน้อย หรือถ้าจำเป็นก็มอบจุมพิตให้ แน่นอนว่าศัตรูทุกคนจะยอมจำนนทันที
แม้แต่ในสงครามระหว่างสองแคว้น ถ้าให้เขาไปเพียงตัวเปล่า ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน ประหยัดงบประมาณได้มากกว่าการเลี้ยงกองทัพแสนคน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ ระหว่างวันที่เบื่อหน่าย ตอนนี้นางเพียงรอให้ฮ่องเต้เตรียมที่พักใหม่
เงื่อนไขถูกระบุชัดเจน หากโชคดีพอ นางอาจได้ไปอยู่ในตำหนักขององค์ชายห้า การได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับคนที่นางพึงใจ มองใบหน้าอันอ่อนโยนของเขาทั้งเช้าและเย็น เพียงแค่คิดก็ทำให้หัวใจเต้นรัว
แต่ดูเหมือนว่าเจียงเฉินจะดับความฝันของนางเสียก่อน
"ท่านหญิง ตำหนักชิวสุ่ยจะเริ่มซ่อมแซมในวันพรุ่งนี้ คนที่มาช่วยย้ายสัมภาระ รออยู่ที่ประตูหลังแล้วขอรับ"
"ข้าได้ไปอยู่ตำหนักไหนหรือ?"
นางเพียงถามเล่นๆ แต่เจียงเฉินดูเหมือนมีอะไรติดคอ ลังเลอยู่นานก่อนจะตอบตะกุกตะกักด้วยเสียงแผ่วเบา "...ตำหนักองค์รัชทายาทขอรับ"
"...พูดอีกครั้งสิ ใครนะ?"
"คือ...คนจากจวนไท่จื่อขอรับ"
คำตอบครั้งนี้ไม่ใช่คำที่ฟังแล้วรื่นหู ชาร้อนที่เพิ่งชงสดถูกเขวี้ยงออกจากมือทันที ถ้าเจียงเฉินไม่ไวพอที่จะหลบเอียงตัวในเวลาที่เหมาะสม คงถูกชาในถ้วยราดรดบนใบหน้าของเขา โชคดีที่หลบได้ทัน แต่ความร้อนก็ทำให้เขากระโดดถอยหลังไปไกลถึงสามศอกในทันที
เสิ่นอวี้เจาลุกขึ้นยืนอย่างไร้อารมณ์บนใบหน้า หยิบกรรไกรจากกล่องเย็บผ้าข้างตัวอย่างไม่รีบร้อน แม้ว่าท่าทีของนางจะดูสงบนิ่งดั่งสายน้ำ แต่ใครๆ ก็เดาได้ว่านางกำลังหาเรื่องสร้างปัญหา
"ท่านหญิง! โปรดใจเย็น! ท่านไม่สามารถละเมิดกฎหมายของแคว้นฉีได้!"
เพียงชั่วพริบตาเสียงร้องขอชีวิตที่น่าเวทนา เหมือนเสียงหมูถูกเชือดก็ดังมาจากด้านนอก เจียงเฉินลูบใบหน้าหล่อเหลา ที่เกือบถูกเฉือนออกด้วยความรู้สึกหมดหวัง
ไม่มีคำพูดใดอธิบายความโกรธของเสิ่นอวี้เจาได้ ณ เวลานั้น นางไม่เคยคิดมาก่อน ว่าถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นโดยฮ่องเต้ผู้นั้น
ซ่อมแซมตำหนักชิวสุ่ย? ใช่แล้ว
หาที่พักชั่วคราวที่มีมาตรฐานเท่ากับวังหลวง? ก็ใช่อีกแต่สุดท้ายฮ่องเต้กลับยัดนาง เข้าไปอยู่ในจวนขององค์รัชทายาท!
-------------------------------------
แม่สื่อผู้เย็นชาราวน้ำแข็ง มีหรือจะสู้ฮ่องเต้เจ้าแผนการได้
การกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่"ฝะ...ฝ่าบาท..."" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมาปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?""กระหม่อมเพีย
เพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อยทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…ชีวิตช่างยากลำบากนัก!จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือสำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วยสำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือ
วันหนึ่งที่โรงน้ำชาร้านยอดนิยม ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าในเมืองหลวงของแคว้นฉี นักเล่าเรื่องเจ้าของป้ายแดงนำพัดออกมาเคาะโต๊ะเสียง "ปัง" พร้อมหมุนเคราบางๆ อย่างตั้งใจ เล่าเรื่องราวอย่างออกรสจนใบหน้าขึ้นสี"โบราณว่าไว้ว่า ‘รถกวาง วิ่งไปไหนมาไหนอย่างอิสระ เล่นหมากรุก ดื่มเหล้าใต้ร่มต้นอบเชย ความรักของโลกีย์ ความสุขและความเศร้าของการพบและจาก มือที่ถือด้ายแดง’ คำพูดนี้บรรยายถึงเฒ่าจันทรา ซึ่งเปรียบเทียบเท่าแม่สื่อวันนี้เราจะมาพูดถึงแม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เสิ่นอวี้เจา!""อยากรู้เกี่ยวกับพื้นเพของ เสิ่นอวี้เจา หรือไม่ ต้องเริ่มต้นจากพี่น้องร่วมสาบานของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน เสิ่นหยุนเซียว บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบิดาของเสิ่นอวี้เจาด้วย! เมื่อครั้งที่ทั้งสองแคว้นทำสงครามกัน แม่ทัพเสิ่นเสียชีวิตในสนามรบ และเสิ่นฮูหยินก็ฆ่าตัวตายเพราะความรัก ครอบครัวของนางจึงล่มสลาย ฮ่องเต้ทรงสงสารและรับตัวเด็กหญิงเข้าวังไปเลี้ยงดู ราวกับเป็นลูกสาวของพระองค์เอง! นางได้รับการปฏิบัติเหมือนองค์หญิงทุกประการ เมื่อเติบโตขึ้นและต้องการเป็นแม่สื่อของราชวงศ์ ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตอย่างเต็มใจ!