LOGINทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือ
สำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้
ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วย
สำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือนำมามากพอสมควร ตั้งแต่วัยเด็กที่นางฝึกวรยุทธ์กับเหล่าองค์ชาย ทุกคนล้วนอยู่ร่วมกันได้ดี ยกเว้นแต่ไท่จื่อ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว เหตุร้ายก็ต้องตามมาไม่ว่าจะเป็นกิ่งไม้ที่หักตอนปีนเก็บไข่นก ม้าท้องเสียกลางคันตอนซ้อมยิงธนู หรือแม้กระทั่งจดหมายรัก ที่นางเขียนถึงองค์ชายห้า กลับไปตกอยู่ในมือของฉู่มู่ฉือ เขาอ่านออกเสียงต่อหน้าทุกคน ด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเหมือนจะยั่วโมโห
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่วัยเยาวน์ เสิ่นอวี้เจาจึงเกลียดฉู่มู่ฉือจนถึงกระดูกดำ เมื่อโตขึ้น ความเกลียดชังนี้ก็ไม่ลดลงเลย แถมกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ตำหนักเสิ่งจุ่ย
"อวี้เจา ไม่ว่าอย่างไร มู่ฉือก็ยังเป็นลูกแท้ๆ ของข้า ถึงเจ้าไม่อยากยุ่งด้วย อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่หน้าข้าบ้าง"
ขณะนั้น เสิ่นอวี้เจานั่งอยู่ในท้องพระโรง กำลังปอกแอปเปิ้ลด้วยท่าทางสบายๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยื่นชิ้นแอปเปิ้ลป้อนให้ฮ่องเต้อย่างไม่คิดมาก
"ก็เพราะเห็นแก่หน้าฝ่าบาท หม่อมฉันถึงได้อดกลั้น ไม่ถือมีดไปเชือดเขาเสียก่อน เดือนที่แล้วไท่จื่อยังส่งหีบใส่หนูตายมาเย้ยถึงตำหนัก ฮ่องเต้ทรงบอกได้หรือไม่ เรื่องนี้ควรแก้ไขอย่างไรดี"
ฮ่องเต้รีบถามด้วยสีหน้ากังวล "เจ้าไม่ได้ตกใจกลัวใช่หรือไม่?"
"หม่อมฉันมิได้ตกใจ" นางส่ายหน้าอย่างใจเย็น "แต่สั่งให้ห้องเครื่องทำอาหารจากหนูพวกนั้น แล้วส่งกลับไปให้ตำหนักองค์รัชทายาท ได้ยินว่าเขาชอบมากทีเดียว"
ทันทีที่ได้ยิน ฮ่องเต้ก็ทำหน้าเหมือนจะอาเจียน ก่อนจะรีบยกชาขึ้นจิบแก้อาการสะอึก "มู่ฉือขาดความอบอุ่นจากมารดา จึงมีพฤติกรรมแปลกๆ เจ้าก็เห็นใจเขาหน่อยเถิด"
"ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง พฤติกรรมไท่จื่อไม่ได้แปลกแต่อย่างไร หม่อมฉันเรียกพฤติกรรมนั้นว่า ไร้ยางอาย ถ้ามีการจัดอันดับความไม่เหมาะสมแล้ว หม่อมฉันคิดว่าไท่จื่อต้องได้อันดับหนึ่งแน่นอน"
"เจ้าพูดเช่นนี้ กำลังกล่าวหาว่าข้าไร้ความสามารถในการเลี้ยงดูบุตรธิดาหรือ อวี้เจาเจ้านี่มิรู้จักเกรงกลัวบ้างเลย"
เสิ่นอวี้เจาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ฝ่าบาททรงคิดถูกแล้ว ล้มเหลวก็ควรยอมรับว่าล้มเหลว หม่อมฉันกล่าวผิดหรืออย่างไร"
"..." ฮ่องเต้น้ำตาไหลพราก ใต้หล้านี้คงมีแค่เสิ่นอวี้เจาผู้เดียว ที่กล้าต่อปากต่อคำกับองค์จักรพรรดิ์ผู้เกียงไกร!
"เช่นนั้นฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันมา เพื่อปรึกษาเรื่องการอบรมองค์ไท่จื่อใช่หรือไม่?"
"จริงๆ แล้ว ข้าแค่ต้องการบอกเจ้าว่า ข้าจะอนุมัติการลาที่เจ้าร้องขอก็เท่านั้น"
เสิ่นอวี้เจารู้จักนิสัยของฮ่องเต้เป็นอย่างดี นางจึงไม่กล่าวขอบคุณ แต่กลับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง "ฝ่าบาทมีอะไรอยากพูดก็พูดเถิด คิดว่าหม่อมฉันมองมิออกหรือ"
คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำเอาฮ่องเต้สะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าของพระองค์ยิ่งดูกระอักกระอ่วนขึ้นไปอีก ทรงทำทีเป็นครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะอ้ำอึ้งกล่าวว่า "ถ้าจะลาพัก ก็ควรทำบางอย่างก่อนมิใช่หรือ?"
"ตราบใดที่ไม่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท หม่อมฉันก็อาจพิจารณา"
ทันใดนั้น ใบหน้าหล่อเหลาและได้รับการดูแลอย่างดีของฮ่องเต้ ก็เหมือนโดนบีบให้ยับยุ่ง ทรงแสร้งทำเป็นโศกเศร้า เอามือจับหน้าผากไว้ "เจ้าตัดทางถอยของข้าเสียสิ้นเช่นนี้เชียวหรือ อวี้เจา ใยเจ้าใจร้ายกับข้าเช่นนี้เล่า ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ของแผ่นดิน เจ้าไม่มีท่าทางนอบน้อมก็แล้วไป แต่ทำเช่นนี้มิเกินไปหน่อยหรือ"
ดูเหมือนเรื่องที่ต้องพูดคุยนั้นจะวนกลับมาที่ฉู่มู่ฉืออีกแล้ว
ใบหน้าเย็นชาของเสิ่นอวี้เจาไม่มีแววอารมณ์ใดๆ นางยังคงปอกผลไม้อย่างช้าๆ ทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้พูด
"อวี้เจา อา...อวี้เจาตัวน้อยของข้า"
"ฝ่าบาท อายุอานามปูนนี้แล้ว อย่าทรงทำเช่นนี้เลย" นางพยายามพูดเตือนสติ ให้ฮ่องเต้เลิกคิดฝันลมๆ แล้งๆ "ถ้าหากคิดจะจับคู่ให้องค์รัชทายาท ก็ขอให้ทรงล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย เพราะไท่จื่ออาจต้องจบชีวิตอย่างเดียวดาย หม่อมฉันมีสามัญสำนักมากพอ ไม่ปล่อยให้เขาไปเหยียบย่ำชีวิตหญิงบริสุทธิ์"
ฮ่องเต้ทรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ตอนนี้เขาเอาแต่แอบหยอกล้อกับนางกำนัลในวัง แถมยังไปเที่ยวคณะแสดงร้องรำในเมือง เจ้าควรช่วยเฟ้นหาพระชายาให้เขาเสียแต่เนิ่นๆ สอนให้เขารู้จักเหยียบย่ำแค่คนคนเดียวก็พอ จะได้ถือว่าเป็นการช่วยกำจัดภัยให้ปวงประชา!"
"ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ ว่ากำลังตรัสเรื่องเหลวไหลอยู่”
ความเสี่ยงในตัวฉู่มู่ฉือแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก ไหนจะโชคชะตาแบบดาวหางที่ใครเข้าใกล้ต้องพบภัย การช่วยจับคู่ให้เขาก็เหมือนฆ่าคนให้ตาย ถ้าไม่ระวังตัวดีๆ อาจถูกฟ้าผ่าได้
"เจ้าอยากช่วยข้าหรือไม่?" ฮ่องเต้ที่เอ็นดูนางมาก ในที่สุดพูดเสียงอ้อน อำนาจราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่กลับดูไร้ค่าเมื่อเทียบกับความสุขของไท่จื่อ "ลองสักครั้ง ลองดูสักครั้งเถิด ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องลอง! ตราบใดที่เจ้าตกลง ข้าจะให้ทุกอย่างตามที่เจ้าขอ!"
เสิ่นอวี้เจายกมือขึ้นจับคางพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบนาบ "หม่อมฉันมีความรู้สึกว่า ตำหนักชิวสุ่ยคับแคบเกินไป อยู่แล้วไม่ค่อยสบายตัว..."
"ได้ๆ ข้าจะซ่อมแซมให้ จนกว่าจะทำให้เจ้าพอใจ!"
"และระหว่างรอซ่อมแซม สถานที่พักของหม่อมฉันก็ต้องไม่ธรรมดา อย่างน้อยต้องเทียบเท่ามาตรฐานของวังหลวง" ไม่ว่านางจะแกล้งขู่หรือรีดไถอย่างไร ก็ยังรักษาท่าที "เพื่อความสุขของฝ่าบาท หม่อมฉันยอมทำทุกอย่างให้ลุล่วง" ใบหน้าเย็นชาทำให้ดูน่าเชื่อถือ แม้นางจะพูดเหลวไหลหรือเรียกราคาสูงลิ่ว ก็ไม่เคยหน้าแดงหรือหลุดหัวเราะ
ฮ่องเต้ผู้เคารพนางอย่างจริงใจ ไม่ใส่ใจว่าจะเรียกร้องเกินไปแค่ไหน ทรงตอบตกลงทันที "ข้ารับรองว่าจะหาตำหนักที่ดีที่สุดให้เจ้าอยู่ชั่วคราว!"
"ถ้าฝ่าบาทมีความจริงใจเช่นนี้ หม่อมฉันก็ไม่มีทางปฏิเสธ รอย้ายออกจากชิวสุ่ยก่อน แล้วจะจัดการเรื่องคู่ครองให้รัชทายาทเอง ฝ่าบาทโปรดวางใจ"
"เจ้านี่แหละบุตรสาวที่ดีที่สุดของข้า!"
นี่คงเรียกได้ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" ด้วยบิดาที่ไร้ยางอายอย่างฮ่องเต้ คงแปลกหากจะมีลูกหลานที่คนทั่วไปไว้ใจได้ ฉู่มู่ฉือคือหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เสิ่นอวี้เจาเคยเดาเล่นๆ ว่าบางทีฮ่องเต้อาจแต่งตั้งฉู่มู่ฉือเป็นรัชทายาท เพื่อระลึกถึงฮองเฮาต้วนฮุ่ย หรือเพราะคุณสมบัติพิเศษอย่าง "ใครเข้าใกล้ต้องตาย" หากมีศึกสงครามเกิดขึ้นในอนาคต ฉู่มู่ฉืออาจสามารถแก้ไขปัญหาด้วยการเดินออกไปแนวหน้า กอดศัตรูเล็กน้อย หรือถ้าจำเป็นก็มอบจุมพิตให้ แน่นอนว่าศัตรูทุกคนจะยอมจำนนทันที
แม้แต่ในสงครามระหว่างสองแคว้น ถ้าให้เขาไปเพียงตัวเปล่า ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน ประหยัดงบประมาณได้มากกว่าการเลี้ยงกองทัพแสนคน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ ระหว่างวันที่เบื่อหน่าย ตอนนี้นางเพียงรอให้ฮ่องเต้เตรียมที่พักใหม่
เงื่อนไขถูกระบุชัดเจน หากโชคดีพอ นางอาจได้ไปอยู่ในตำหนักขององค์ชายห้า การได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับคนที่นางพึงใจ มองใบหน้าอันอ่อนโยนของเขาทั้งเช้าและเย็น เพียงแค่คิดก็ทำให้หัวใจเต้นรัว
แต่ดูเหมือนว่าเจียงเฉินจะดับความฝันของนางเสียก่อน
"ท่านหญิง ตำหนักชิวสุ่ยจะเริ่มซ่อมแซมในวันพรุ่งนี้ คนที่มาช่วยย้ายสัมภาระ รออยู่ที่ประตูหลังแล้วขอรับ"
"ข้าได้ไปอยู่ตำหนักไหนหรือ?"
นางเพียงถามเล่นๆ แต่เจียงเฉินดูเหมือนมีอะไรติดคอ ลังเลอยู่นานก่อนจะตอบตะกุกตะกักด้วยเสียงแผ่วเบา "...ตำหนักองค์รัชทายาทขอรับ"
"...พูดอีกครั้งสิ ใครนะ?"
"คือ...คนจากจวนไท่จื่อขอรับ"
คำตอบครั้งนี้ไม่ใช่คำที่ฟังแล้วรื่นหู ชาร้อนที่เพิ่งชงสดถูกเขวี้ยงออกจากมือทันที ถ้าเจียงเฉินไม่ไวพอที่จะหลบเอียงตัวในเวลาที่เหมาะสม คงถูกชาในถ้วยราดรดบนใบหน้าของเขา โชคดีที่หลบได้ทัน แต่ความร้อนก็ทำให้เขากระโดดถอยหลังไปไกลถึงสามศอกในทันที
เสิ่นอวี้เจาลุกขึ้นยืนอย่างไร้อารมณ์บนใบหน้า หยิบกรรไกรจากกล่องเย็บผ้าข้างตัวอย่างไม่รีบร้อน แม้ว่าท่าทีของนางจะดูสงบนิ่งดั่งสายน้ำ แต่ใครๆ ก็เดาได้ว่านางกำลังหาเรื่องสร้างปัญหา
"ท่านหญิง! โปรดใจเย็น! ท่านไม่สามารถละเมิดกฎหมายของแคว้นฉีได้!"
เพียงชั่วพริบตาเสียงร้องขอชีวิตที่น่าเวทนา เหมือนเสียงหมูถูกเชือดก็ดังมาจากด้านนอก เจียงเฉินลูบใบหน้าหล่อเหลา ที่เกือบถูกเฉือนออกด้วยความรู้สึกหมดหวัง
ไม่มีคำพูดใดอธิบายความโกรธของเสิ่นอวี้เจาได้ ณ เวลานั้น นางไม่เคยคิดมาก่อน ว่าถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นโดยฮ่องเต้ผู้นั้น
ซ่อมแซมตำหนักชิวสุ่ย? ใช่แล้ว
หาที่พักชั่วคราวที่มีมาตรฐานเท่ากับวังหลวง? ก็ใช่อีกแต่สุดท้ายฮ่องเต้กลับยัดนาง เข้าไปอยู่ในจวนขององค์รัชทายาท!
-------------------------------------
แม่สื่อผู้เย็นชาราวน้ำแข็ง มีหรือจะสู้ฮ่องเต้เจ้าแผนการได้
ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความท้อ"ยี่สิบปี...ข้าก็รอคอยมาถึงยี่สิบปี ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยความยากลำบากถึงเพียงนี้ แถมยังโง่เขลาอ่อนข้อให้เจ้า จนเกือบทำลายความสุขของคนรุ่นหลัง"เล่อเฟยหัวเราะลั่นราวกับคนเสียสติ นางหัวเราะไม่หยุดจนใบหน้าแดงระเรื่อ น้ำตาไหลพราก "ใช่เพคะ ฝ่าบาททรงโง่เขลาอย่างที่สุด! แล้วตอนนี้ทรงเสียพระทัยแล้วหรือ? หม่อมฉันไม่เสียใจ ไม่เคยเสียใจเลย แต่...หม่อมฉันก็ไม่อาจยกโทษให้ฝ่าบาทได้"เล่อเฟยจ้องมองฮ่องเต้เงียบๆ ชายที่นอนเคียงข้างนางมานาน ชายผู้ที่รักและโปรดปรานนางมาตลอด รู้ว่านางยังนึกถึงคนในอดีต แต่ไม่เคยโกรธเคืองแม้แต่น้อย ชายที่เคยละเลยนางสนมคนอื่นเพื่อเอาใจนาง ปฏิเสธการเลือกนางสนมใหม่เพื่อเห็นแก่นาง เดินทางไปยังเจียงหนานเพื่อสนองความต้องการของนาง และยอมรับความผิดพลาดของนางชายคนนี้คือฮ่องเต้ผู้โง่เขลาที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เพราะความโง่เขลานี้เอง นางจึงไม่อยากให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาต้องอับอายต่อคำถามของบุตรธิดา นางรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่มีทางลงโทษนางอย่างเด็ดขาดถ้าเช่นนั้น นางก็จะไม่เป็นหนี้บุญคุณของเขาอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ผิดก็ได้ทำลงไปแล้ว เล่อเฟยได้ปลดปล่อยความ
"หม่อม...หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้"คนแซ่จูถึงกับถอนหายใจ "เจ้าจะไม่อยากเกี่ยวข้องกับข้า ก็ถือเป็นเรื่องที่ฝืนใจไม่ได้ แต่ข้าไม่คิดเลย ว่าตอนแรกข้าคิดว่าที่เจ้าทิ้งข้าไป เพราะข้าดูแลเจ้าไม่ดีพอ แต่มาตอนนี้กลับเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะเจ้าเห็นแก่ลาภยศสมบัติ...ความรักที่ข้ามีให้เจ้ามาหลายปี กลับกลายเป็นข้าทุ่มเทผิดคน"ฮ่องเต้แทบประทับไม่ติด พระองค์ทอดพระเนตรสองคน ที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลด้วยความตกตะลึง แล้วหันถามฉู่มู่ฉือหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง "เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?""เรื่องนี้อธิบายยาวพ่ะย่ะค่ะ" ฉู่มู่ฉือตอบอย่างสงบนิ่ง "ลูกได้ยินข่าวมาว่า สหายสนิทของราชครูซูซึ่งก็คือเจ้าของโรงสุราจุ้ยเซียนเป็นชาวเจียงหนาน ในอดีตนางเคยท่องยุทธภพ ลูกจึงขอให้ราชครูซูช่วยฝากฝังให้นางเดินทางไปเจียงหนานพร้อมกับเจียงเฉิน เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด"เจียงเฉินก้มตัวคารวะด้วยความเคารพและกล่าว "ข้าน้อยสามารถยืนยันได้ว่าทุกคำที่องค์รัชทายาทกล่าวเป็นความจริง อีกทั้งยังได้ตรวจสอบพบว่า ท่านหญิงอวี้หนี่ว์ก่อนที่จะรู้จักองค์รัชทายาท นางหาใช่หญิงบริสุทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้เถ้าแก่จูเจ้าของร้านสามารถเป็นพยานได้"เยว่
"บังอาจ!" ฮ่องเต้ที่เหมือนโดนแทงจุดเจ็บ ทรงโยนถ้วยชาใบที่สองลงพื้น จนแตกกระจายใต้เท้าของฉู่หยุนชิง เสียงแตกดังก้องสะท้อนทั่วห้อง "ข้าไม่อนุญาต! เจ้าจงเลิกล้มความคิดนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้!"พระสนมเล่อเฟยเห็นฮ่องเต้แสดงท่าทีแน่วแน่ ก็เหมือนจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้สติกลับคืน นางรีบไล่ทั้งสองคนออกไปจากตำหนักทันที"อย่าให้ความวู่วามชั่วครู่ ทำให้เจ้าตัดสินใจผิดพลาด อย่าทำให้เสด็จพ่อของเจ้าขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ รีบพาท่านหญิงเสิ่นกลับไป...โอ้ข้าเกือบลืมไป เสิ่นอวี้เจามิใช่ข้าราชบริพารฝ่ายในแล้ว" แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ นางยังไม่ลืมที่จะพูดเสียดสีเสิ่นอวี้เจาแม่สื่อเสิ่นได้ยินดังนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่คิดแม้แต่จะตอบโต้"อวี้เจา รอข้าก่อน ข้ามีบางสิ่งที่ต้องบอกกับเจ้า""หวู่อ๋องพูดมาเถิด""มีความจริงบางอย่าง ที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่เก็บงำเอาไว้ไม่เคยบอกเรา แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว การปิดบังต่อไปคงไม่ยุติธรรมกับเจ้าอีก"เสิ่นอวี้เจาหันกลับมาอย่างตื่นตะลึง และแทบจะพร้อมกันนั้น สีหน้าของพระสนมเล่อเฟยก็ซีดเผือดลงทันที ฉู่หยุนชิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ปลายชายเสื้อออกอย่างสงบ จาก
"เสิ่นอวี้เจา เจ้าอยู่กับฉู่หยุนชิงได้อย่างไร...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เสิ่นอวี้เจาทำหน้าเรียบเฉย ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ"ทูลเสด็จพ่อ ลูกพาตัวเสิ่นอวี้เจากลับมาเอง ความจริงแล้วช่วงนี้ เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอด""..." ความรู้สึกไม่ดีแล่นเข้ามาในใจอย่างรุนแรง นางชำเลืองมองฉู่หยุนชิงด้วยความกังวล รู้สึกว่าคำพูดต่อจากนี้คงยิ่งน่าตกใจและเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่นี่ใช่ชายผู้สูงส่งที่นางรู้จักจริงหรือ?ดูเหมือนว่าฮ่องเต้เองก็เริ่มจะงุนงงไม่น้อย พระองค์ทรงคิดไม่ออกเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ "อยู่ด้วยกัน" อย่างไม่น่าเชื่อ และเหตุใดถึงพากันมาที่ตำหนักกวนซือ เพื่อรายงานสถานการณ์"เรื่องนี้...เจ้าหมายถึงอยู่ด้วยกัน ในความหมายเดียวกับที่เราคิดหรือไม่?"ฉู่หยุนชิงเหลือบมองไปทางเล่อเฟย โดยไม่เผยอารมณ์ใดๆ พระมารดาก็จ้องตอบเขาอย่างแน่วแน่ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและความโกรธที่ซ่อนอยู่ คล้ายจะส่งคำเตือนทั้งสองแม่ลูกดูเหมือนจะใช้สายตาเป็นอาวุธ แข่งกันสร้างแนวป้องกันทางจิตใจ ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวบรรยากาศที่เงียบงันและอึดอัดนั้น ทำให้ทุกคนแทบลืมหายใจ เ
แม้เสิ่นอวี้เจาไม่มีคำอธิษฐานขอพร แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของฉู่หยุนชิง นางจึงพยักหน้าเบาๆ และก้าวไปยังต้นไม้ใหญ่แห่งวาสนา เลียนแบบท่าทางของคนอื่นๆ ยกมือประนมไหว้ใต้แสงจันทร์ ก่อนจะก้มลงกราบสามครั้งใต้ต้นไม้มีชายชราผู้ดูสง่างามในอาภรณ์นักพรต ส่งเครื่องรางคู่หนึ่งที่ร้อยด้วยด้ายทองให้ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น“จากรูปโฉมของคุณหนู ข้ามั่นใจว่าท่านมีคนในใจอยู่แล้ว”“ท่านนักพรตน่าเลื่อมใสยิ่งนัก แต่ข้าคงต้องบอกว่าเครื่องรางนี้คงไม่มีความหมายสำหรับข้าอีกแล้ว”นักพรตชราเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเมตตา “เก็บมันไว้เถิด อะไรที่เป็นของท่าน ท้ายที่สุดก็จะกลับมา”คำพูดนี้ทำให้เสิ่นอวี้เจายิ้มออกมาเล็กน้อย แม้เป็นรอยยิ้มขมขื่น แต่ลึกๆ ในใจ นางรู้สึกขอบคุณต่อความหวังเล็กๆ นั้น เมื่อกลับมา ฉู่หยุนชิงยังรออยู่ที่เดิม ในมือของเขามีถุงขนมสนอบน้ำตาล องค์ชายห้ายิ้มพร้อมยื่นขนมชิ้นหนึ่งส่งให้ “รู้ว่าเจ้าชอบกินที่สุด”“องค์ชายห้ารู้ใจข้าเสียจริง” รสหวานล้ำละลายในปาก แต่ใจของนางยังคงลังเล “ข้าขอถามได้หรือไม่ ทำไมท่านพาข้ามาที่นี่?”“ไม่มีเหตุผล เพียงแค่อยากอยู่กับเจ้าในคืนฉงเฉียวเท่านั้น” ฉู่หยุนชิงตอ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ จึงมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงดังมาจากด้านใน คนที่มีประสบการณ์ย่อมทราบได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์ ประตูเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของสตรีที่คิ้วคมตาดูสง่างามสายตาสองคู่ประสานกัน คนหนึ่งแปลกใจ อีกคนหนึ่งสงบนิ่ง"ไม่ได้พบกันนานเลยนะ ท่านหญิงเสิ่น"เสิ่นอวี้เจาแสดงท่าทางสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะก้มสายตาลง พลางผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ "เชิญองค์ชายห้าเข้ามาก่อน ข้าได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว จึงไม่เหมาะกับคำเรียก 'ท่านหญิง' อีกต่อไป หากไม่รังเกียจ โปรดเรียกข้าว่าเสิ่นอวี้เจาก็พอ"จากนั้นทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างเงียบๆ ทางเดินที่ปูด้วยหินเย็นเฉียบ ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังสวนหลังเรือน ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ยังไม่ออกดอก แต่กิ่งใบเขียวชอุ่มชวนให้ชื่นชมฉู่หยุนชิงถอนหายใจเบาๆ "ทุกสิ่งที่นี่ได้รับการรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม"เสิ่นอวี้เจาตอบอย่างธรรมชาติ "ทุกปีข้าจะกลับมาทำความสะอาดเอง หากไม่มีเวลาก็จะมอบหมายให้เฉินเฉินกลับมาดูแลให้ ไม่อาจปล่อยให้จวนแม่ทัพรกร้างได้""เจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ถาวรงั้นหรือ?""ที่นี่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้า บางทีอาจเปิดร้านบนถนนใหญ่ เพื่อช่วยจัดหาคู่ให้ประ







