เพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ
"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"
เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อย
ทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่น
มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ย
สรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…
ชีวิตช่างยากลำบากนัก!
จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้
"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"
แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!
เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจะฟังเสียงหัวใจอย่างมีสติ ไม่ว่าจะเรื่องใด นางล้วนพินิจพิเคราะห์อย่างเป็นกลาง เช่นกรณีของฉู่มู่ฉือ…
แม้ในสายตาของนาง ชายผู้นี้จะมีคุณสมบัติบางประการที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของความดีงาม แต่กระนั้น นางก็ยังต้องยอมรับอย่างหมดจดว่า รูปลักษณ์ของเขาช่างงดงามเกินต้าน มิผิดไปจากปีศาจที่แปลงกายมาในคราบมนุษย์!
หากจะมีสิ่งใดในตัวเขาที่ควรจดจำไว้ ก็คงเป็นใบหน้าหล่อเหลาและ…เท่านั้นจริงๆ
แน่นอนเป็นแค่มุมหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นจัดว่าแย่ทุกสิ่ง
"ฝ่าบาทช่างกระตือรือร้นเสียจริง อยู่ๆ ก็อยากมาเยี่ยมชิวสุ่ยของหม่อมฉัน เช่นนั้นเข้ามาดื่มชาสักถ้วยดีหรือไม่?"
"ท่านหญิงเสิ่นเชื้อเชิญเช่นนี้ มีหรือข้าจะปฏิเสธ? เพียงแต่ว่า..." ฉู่มู่ฉือหรี่ดวงตาหงส์ยาวเรียวของตนลง ยิ้มบางอย่างมีนัยยะ "จะกรุณาวางของมีคมที่อยู่ข้างคอข้าก่อนได้หรือไม่?"
เสิ่นอวี้เจาถอนมือกลับอย่างสงบนิ่ง เป่ากรรไกรในมือพลางใช้แขนเสื้อเช็ด ราวกับว่ามันเปื้อนอะไรบางอย่างที่ไม่สะอาด "ขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาท แต่ดวงของฝ่าบาทแข็งเกินไป พอเห็นพระพักต์แล้วรู้สึกเหมือนพลังหยินพุ่งเข้าใส่หน้า หม่อมฉันจำเป็นต้องหาสิ่งของไว้ป้องกันตัว"
"ท่านหญิงเสิ่นยังคงตลกขบขันเช่นเดิม ข้าชอบใจยิ่งนัก"
"นั่นเป็นความโชคร้ายของหม่อมฉันเอง ขอฝ่าบาทอภัยด้วย หม่อมฉันยังอยากมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปี"
แทนที่จะโกรธ ฉู่มู่ฉือกลับยิ้มกว้างมากขึ้น เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างไม่เร่งรีบ จนเกือบจะจับมือนางไว้ "ท่านหญิงเสิ่นมิใช่ว่าเชิญข้าดื่มชาหรือ? ไหนชาเล่า"
"ขออภัยฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งนึกได้ว่าชาเพิ่งหมดไป เพราะองครักษ์ใช้ล้างหน้า" เสิ่นอวี้เจายังคงใบหน้าขรึมเสียงหนักแน่น "นับว่าบกพร่องในการต้อนรับฝ่าบาท เช่นนั้นเชิญท่านกลับก่อนเถิด"
"ไม่ต้องมีชาหรอก แค่มีท่านหญิงก็เพียงพอแล้ว" ฉู่มู่ฉือไม่ใช่คนที่จะถูกไล่ต้อนง่ายๆ เขาหันหลังกลับไปพิงขอบประตูอย่างเกียจคร้าน ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มที่อดไม่ได้ "ข้าได้ยินมาจากเสด็จพ่อ ว่าท่านหญิงถึงกับหยุดงานทั้งหมด เพื่อช่วยงานใหญ่ให้กับข้า ในการเลือกพระชายา อีกทั้งยังเสนอให้เสด็จพ่อ ย้ายตัวเจ้ามาพักในตำหนักข้า เพื่อจะได้ใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน"
เสิ่นอวี้เจาแทบจะคว้ากรรไกรแถวนั้นมาเสียบปลายจมูกเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วถามให้กระจ่างกันไปเลยว่า ‘ใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน’ หมายถึงอะไรกันแน่?
แต่ในที่สุดนางก็ขบฟันกรอด พยายามกลืนความคิดบาปนั้นกลับลงไปอย่างยากเย็น ดวงหน้างามยังคงเฉยชา หากมองให้ลึกสักนิดจะเห็นว่าเส้นเลือดตรงขมับนั้นเริ่มเต้นตุบตับ
"ฝ่าบาทคิดมากไปแล้ว หม่อมฉันเพียงแค่อยากลาพักงาน และถือโอกาสช่วยหาพระชายาให้ท่านไปด้วยเท่านั้น"
"ไม่เลว แค่คิดถึงเรื่องเลือกคู่ก็ทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นแล้ว"
นางแทบจะตาบอดเพราะรอยยิ้มที่น่าตีของเขา ฉู่มู่ฉือซึ่งตอนนี้กำลังยืนหมุนตัวไปมาด้วยท่าทางรื่นเริง จนสุดท้ายนางก็อดไม่ได้ ที่จะพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างใจจริง "ฝ่าบาทช่างไม่มีสำนึกเสียบ้างเลย รู้ว่าต้องทำกรรมใหญ่ถึงเพียงนี้ หม่อมฉันถึงได้ระวังตัวกลัวฟ้าผ่าหนักกว่าเดิม"
ฉู่มู่ฉือยิ้มรับคำเตือน และพยักหน้าอย่างพอใจ "เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าตัดสินใจจะมอบของกำนัลให้เจ้า ตั้งแต่วันนี้ เจ้าสามารถทำตัวอวดดีในตำหนักรัชทายาทได้ตามใจชอบ แม้แต่แอบเข้ามาในห้องหลักยามดึก เพื่อแอบดูข้าก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด?"
"หม่อมฉันยืนยันว่าไม่มีรสนิยมวิปริตเช่นนั้น!"
"ไม่คิดพิจารณาหน่อยหรือ? ข้ามีนิสัยนอนเปลือยกายทุกคืน"
"ถ้าฝ่าบาทรู้สึกเหงา เช่นนั้นสามารถย้ายตนเองไปนอนที่โถงใหญ่ ทุกคนจะมีโอกาสได้ชมความงามเปล่าเปลือยของท่าน แถมยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวอีกด้วย"
เจียงเฉินที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล มือถือดาบไว้ได้แต่กลืนน้ำลายกับคำสนทนาที่ได้ยิน มันเหมือนการเจรจาเป็นทางการ แต่ทุกคำกลับเหมือนปืนใหญ่ที่ถล่มลงบนจิตใจของเขา
ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ต้องตะโกนออกมา "ท่านหญิง! ตำหนักเริ่มรื้อถอนแล้วขอรับ"
จริงแท้! การดำเนินงานของกองทหารที่ถูกส่งมานั้นรวดเร็วมาก
"รื้อถอนน่ะดีแล้ว" ฉู่มู่ฉือถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ให้พวกเขาซ่อมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ช่วงนี้ข้าจะดูแลท่านหญิงเสิ่นเอง...มีใครอยู่บ้าง! นำสัมภาระของท่านหญิงมา!"
เหล่าคนรับใช้ในตำหนักรัชทายาท ที่เพิ่งโดนโกนหัวโดยเสิ่นอวี้เจา ได้ยินเสียงเรียกก็รีบวิ่งมา แต่ภาพศีรษะโล้นเป็นหย่อมๆ ที่ผมปลิวว่อนในสายลมนั้นช่างน่าเวทนาเสียจริง
ฉู่มู่ฉือยืนรออยู่อึดใจหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายยังยืนกอดอกนิ่ง ไม่ไหวติง รอยยิ้มตรงมุมปากก็บ่งบอกชัดว่า ไม่เป็นมิตร อย่างยิ่ง
เขาเอียงคอเล็กน้อย ยกคิ้วขึ้นอย่างถือดี “ท่านหญิงอย่าดื้อไปหน่อยเลย”
“ตำหนักของข้ากว้างขวางสะดวกสบาย มิได้ขาดตกบกพร่องสิ่งใด รับรองว่าเจ้าจะไม่อดอยากแน่นอน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นหู แต่ถ้อยคำนั้นฟังยังไงก็ไม่ต่างจากดักทาง
แต่เรื่องย้ายไปตำหนักอื่น...ไม่มีทาง! ข้าบอกพี่น้องไว้แล้ว ว่าใครที่กล้ารับเจ้าเข้าพัก ข้าจะไปอาศัยอยู่กับเขาด้วย หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น"
ในโลกนี้คงมีเพียงฉู่มู่ฉือเท่านั้น ที่สามารถแปลงเรื่องแย่ๆ ของดวงชะตาตน ให้กลายเป็นคุณสมบัติพิเศษที่น่าภาคภูมิใจ และยังเอาไปข่มขู่คนอื่นหน้าตาเฉย
ตอนนี้เสิ่นอวี้เจาเข้าใจแล้ว คำว่า "เอาตนเองเข้ากับดัก" มีความหมายอย่างไร ถ้าสวรรค์ให้โอกาสนางอีกครั้ง สาบานว่าจะปฏิเสธคำขอขององค์จักรพรรดิทันที และจะไม่หันหลังกลับมาให้คู่พ่อลูกคู่นี้กลั่นแกล้งอีก!
แต่มันสายไปแล้ว ตอนนี้นางต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
โชคดีที่ใบหน้าเย็นชาแต่หัวใจยังไม่แตกสลาย เมื่อถึงเวลาต้องเด็ดขาดนางก็จะเด็ดขาด หลังจากที่ต่อสู้กับฉู่มู่ฉือมาหลายปี มีทั้งชนะและแพ้ นางมั่นใจว่าในอนาคต จะมีการแก้มืออีกหลายครั้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พร้อมจะสู้กลับ
"ฝ่าบาท หม่อมฉันจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อตอบแทนความกรุณาของท่าน"
พูดจบ นางคว้ากรรไกรไปเสียบกับผนังอย่างแรง ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินจากไปอย่างสง่างาม
เจียงเฉินก้มหน้าเดินตามไป เมื่อเดินผ่านฉู่มู่ฉือเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่าย
"นายของเจ้าดูน่ารักดีตอนโกรธ"
เขาแทบสำลักน้ำลายตนเอง ดวงตาของรัชทายาทเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เห็นคำว่า "น่ารัก" บนใบหน้าของนางได้อย่างไร? ตลอดเวลาที่เขามองเจ้านายตนเอง เห็นแค่ใบหน้าเย็นชา! อย่าคาดเดาความคิดของผู้มีอำนาจ เพราะไม่ว่าจะเดายังไงก็ไม่มีทางเข้าใจ
ตำหนักรัชทายาท
ผ่านลานด้านหน้า ทางเดินที่คดเคี้ยวซับซ้อน มองเห็นห้องหนึ่งที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ นั่นคือที่พักใหม่ของเสิ่นอวี้เจา ห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อยไร้ฝุ่น เตาเผาทองแดงยังคงปล่อยควันจางๆ ผ้าห่มและที่นอนลายดอกโบตั๋นบนเตียงก็ดูใหม่เอี่ยม เห็นได้ชัดว่ามีการจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน
เจียงเฉินรีบจัดสัมภาระให้นาง ขณะนั้นก็ถอนหายใจ "องค์ไท่จื่อดูเหมือนแข็งกร้าวแต่จิตใจอ่อนโยน จริงๆ แล้วให้ความสำคัญกับท่านหญิงมาก ดูสิว่า…โอ้?"
ยังพูดไม่ทันจบ เสิ่นอวี้เจาก็หยิบไม้กวาด ที่โกยผง กล่องเย็บผ้า พู่กัน และแท่นฝนหมึกออกมาจากใต้ผ้าห่ม...นางวางของเหล่านั้นลงบนโต๊ะทีละชิ้น ใบหน้ายังคงนิ่งสนิท "ข้ารู้ว่าไท่จื่อต้องคิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่รู้สึกว่าเขาจริงใจต้องการต้อนรับข้า"
เจียงเฉิน: "..." ใช่แล้ว เขาคือคนโง่ในความหมายของท่านนั่นแหละ
แต่เล่นถึงขั้นนี้ รัชทายาทนี่เก่งจริงๆ เอาแรงมาจากไหน ถึงขยันหาเรื่องกลั่นแกล้งนางทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
"เฉินเฉิน"
"มีอะไรหรือขอรับ"
"พอเจ้ากลับไปแล้ว หาเวลานำสิ่งนี้ไปวางบนเตียงรัชทายาทด้วยนะ" นางยื่นถุงตะปูเหล็กแหลมมาให้ พร้อมกับออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ทำอย่างลับๆ ห้ามให้ใครจับได้"
ใครกันที่บอกเมื่อกี้ว่าไท่จื่อไร้เดียงสา? ชัดเจนว่านางเองไร้เดียงสากว่าอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงพูดคำว่า "หาเวลา" ได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้? ให้ไปเล่นสนุกบนเตียงองค์รัชทายาทแถมยังขอให้ไม่ถูกจับได้ ถ้าเขายังมีชีวิตกลับมาได้ ถือว่าเป็นพรจากสวรรค์แล้ว ท่านรู้ตัวไหม?!
"ท่านหญิง โปรดเมตตาให้ข้ามีทางรอดด้วยเถิด การลอบทำร้ายรัชทายาท ถือว่ามีความผิดร้ายแรงที่ถึงขั้นประหารชีวิตเลยนะขอรับ"
เสิ่นอวี้เจาพูดอย่างจริงจัง "เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ตายหรอก อย่างมากก็มีรูทะลุสองสามรูเท่านั้น"
"ได้โปรดอย่าพูดเรื่องน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงจริงใจ! ข้าไม่สามารถปฏิบัติตามได้จริงๆ"
นางถอนหายใจแทนที่จะเถียง พลางหยิบธนบัตรเงินสองใบออกมาจากอก แล้วยัดใส่เอวองครักษ์อย่างสนิทสนม "เฉินเฉิน เจ้าติดตามข้ามาก็เหนื่อยยาก กินก็ไม่ดี นอนก็ไม่พอ มันลำบากจริงๆ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนเจ้าได้ นอกจากเงิน..."
"ข้ายินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่าน!" เจียงเฉินโบกมือทันทีเพื่อหยุดนาง "อย่ากังวล ข้าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแน่นอนขอรับ!"
"เชื่อฟังดีมาก"
การกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่"ฝะ...ฝ่าบาท..."" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมาปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?""กระหม่อมเพีย
เพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อยทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…ชีวิตช่างยากลำบากนัก!จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือสำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วยสำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือ
วันหนึ่งที่โรงน้ำชาร้านยอดนิยม ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าในเมืองหลวงของแคว้นฉี นักเล่าเรื่องเจ้าของป้ายแดงนำพัดออกมาเคาะโต๊ะเสียง "ปัง" พร้อมหมุนเคราบางๆ อย่างตั้งใจ เล่าเรื่องราวอย่างออกรสจนใบหน้าขึ้นสี"โบราณว่าไว้ว่า ‘รถกวาง วิ่งไปไหนมาไหนอย่างอิสระ เล่นหมากรุก ดื่มเหล้าใต้ร่มต้นอบเชย ความรักของโลกีย์ ความสุขและความเศร้าของการพบและจาก มือที่ถือด้ายแดง’ คำพูดนี้บรรยายถึงเฒ่าจันทรา ซึ่งเปรียบเทียบเท่าแม่สื่อวันนี้เราจะมาพูดถึงแม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เสิ่นอวี้เจา!""อยากรู้เกี่ยวกับพื้นเพของ เสิ่นอวี้เจา หรือไม่ ต้องเริ่มต้นจากพี่น้องร่วมสาบานของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน เสิ่นหยุนเซียว บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบิดาของเสิ่นอวี้เจาด้วย! เมื่อครั้งที่ทั้งสองแคว้นทำสงครามกัน แม่ทัพเสิ่นเสียชีวิตในสนามรบ และเสิ่นฮูหยินก็ฆ่าตัวตายเพราะความรัก ครอบครัวของนางจึงล่มสลาย ฮ่องเต้ทรงสงสารและรับตัวเด็กหญิงเข้าวังไปเลี้ยงดู ราวกับเป็นลูกสาวของพระองค์เอง! นางได้รับการปฏิบัติเหมือนองค์หญิงทุกประการ เมื่อเติบโตขึ้นและต้องการเป็นแม่สื่อของราชวงศ์ ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตอย่างเต็มใจ!