ログインเพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ
"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"
เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อย
ทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่น
มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ย
สรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…
ชีวิตช่างยากลำบากนัก!
จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้
"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"
แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!
เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจะฟังเสียงหัวใจอย่างมีสติ ไม่ว่าจะเรื่องใด นางล้วนพินิจพิเคราะห์อย่างเป็นกลาง เช่นกรณีของฉู่มู่ฉือ…
แม้ในสายตาของนาง ชายผู้นี้จะมีคุณสมบัติบางประการที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของความดีงาม แต่กระนั้น นางก็ยังต้องยอมรับอย่างหมดจดว่า รูปลักษณ์ของเขาช่างงดงามเกินต้าน มิผิดไปจากปีศาจที่แปลงกายมาในคราบมนุษย์!
หากจะมีสิ่งใดในตัวเขาที่ควรจดจำไว้ ก็คงเป็นใบหน้าหล่อเหลาและ…เท่านั้นจริงๆ
แน่นอนเป็นแค่มุมหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นจัดว่าแย่ทุกสิ่ง
"ฝ่าบาทช่างกระตือรือร้นเสียจริง อยู่ๆ ก็อยากมาเยี่ยมชิวสุ่ยของหม่อมฉัน เช่นนั้นเข้ามาดื่มชาสักถ้วยดีหรือไม่?"
"ท่านหญิงเสิ่นเชื้อเชิญเช่นนี้ มีหรือข้าจะปฏิเสธ? เพียงแต่ว่า..." ฉู่มู่ฉือหรี่ดวงตาหงส์ยาวเรียวของตนลง ยิ้มบางอย่างมีนัยยะ "จะกรุณาวางของมีคมที่อยู่ข้างคอข้าก่อนได้หรือไม่?"
เสิ่นอวี้เจาถอนมือกลับอย่างสงบนิ่ง เป่ากรรไกรในมือพลางใช้แขนเสื้อเช็ด ราวกับว่ามันเปื้อนอะไรบางอย่างที่ไม่สะอาด "ขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาท แต่ดวงของฝ่าบาทแข็งเกินไป พอเห็นพระพักต์แล้วรู้สึกเหมือนพลังหยินพุ่งเข้าใส่หน้า หม่อมฉันจำเป็นต้องหาสิ่งของไว้ป้องกันตัว"
"ท่านหญิงเสิ่นยังคงตลกขบขันเช่นเดิม ข้าชอบใจยิ่งนัก"
"นั่นเป็นความโชคร้ายของหม่อมฉันเอง ขอฝ่าบาทอภัยด้วย หม่อมฉันยังอยากมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปี"
แทนที่จะโกรธ ฉู่มู่ฉือกลับยิ้มกว้างมากขึ้น เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างไม่เร่งรีบ จนเกือบจะจับมือนางไว้ "ท่านหญิงเสิ่นมิใช่ว่าเชิญข้าดื่มชาหรือ? ไหนชาเล่า"
"ขออภัยฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งนึกได้ว่าชาเพิ่งหมดไป เพราะองครักษ์ใช้ล้างหน้า" เสิ่นอวี้เจายังคงใบหน้าขรึมเสียงหนักแน่น "นับว่าบกพร่องในการต้อนรับฝ่าบาท เช่นนั้นเชิญท่านกลับก่อนเถิด"
"ไม่ต้องมีชาหรอก แค่มีท่านหญิงก็เพียงพอแล้ว" ฉู่มู่ฉือไม่ใช่คนที่จะถูกไล่ต้อนง่ายๆ เขาหันหลังกลับไปพิงขอบประตูอย่างเกียจคร้าน ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มที่อดไม่ได้ "ข้าได้ยินมาจากเสด็จพ่อ ว่าท่านหญิงถึงกับหยุดงานทั้งหมด เพื่อช่วยงานใหญ่ให้กับข้า ในการเลือกพระชายา อีกทั้งยังเสนอให้เสด็จพ่อ ย้ายตัวเจ้ามาพักในตำหนักข้า เพื่อจะได้ใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน"
เสิ่นอวี้เจาแทบจะคว้ากรรไกรแถวนั้นมาเสียบปลายจมูกเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วถามให้กระจ่างกันไปเลยว่า ‘ใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน’ หมายถึงอะไรกันแน่?
แต่ในที่สุดนางก็ขบฟันกรอด พยายามกลืนความคิดบาปนั้นกลับลงไปอย่างยากเย็น ดวงหน้างามยังคงเฉยชา หากมองให้ลึกสักนิดจะเห็นว่าเส้นเลือดตรงขมับนั้นเริ่มเต้นตุบตับ
"ฝ่าบาทคิดมากไปแล้ว หม่อมฉันเพียงแค่อยากลาพักงาน และถือโอกาสช่วยหาพระชายาให้ท่านไปด้วยเท่านั้น"
"ไม่เลว แค่คิดถึงเรื่องเลือกคู่ก็ทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นแล้ว"
นางแทบจะตาบอดเพราะรอยยิ้มที่น่าตีของเขา ฉู่มู่ฉือซึ่งตอนนี้กำลังยืนหมุนตัวไปมาด้วยท่าทางรื่นเริง จนสุดท้ายนางก็อดไม่ได้ ที่จะพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างใจจริง "ฝ่าบาทช่างไม่มีสำนึกเสียบ้างเลย รู้ว่าต้องทำกรรมใหญ่ถึงเพียงนี้ หม่อมฉันถึงได้ระวังตัวกลัวฟ้าผ่าหนักกว่าเดิม"
ฉู่มู่ฉือยิ้มรับคำเตือน และพยักหน้าอย่างพอใจ "เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าตัดสินใจจะมอบของกำนัลให้เจ้า ตั้งแต่วันนี้ เจ้าสามารถทำตัวอวดดีในตำหนักรัชทายาทได้ตามใจชอบ แม้แต่แอบเข้ามาในห้องหลักยามดึก เพื่อแอบดูข้าก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด?"
"หม่อมฉันยืนยันว่าไม่มีรสนิยมวิปริตเช่นนั้น!"
"ไม่คิดพิจารณาหน่อยหรือ? ข้ามีนิสัยนอนเปลือยกายทุกคืน"
"ถ้าฝ่าบาทรู้สึกเหงา เช่นนั้นสามารถย้ายตนเองไปนอนที่โถงใหญ่ ทุกคนจะมีโอกาสได้ชมความงามเปล่าเปลือยของท่าน แถมยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวอีกด้วย"
เจียงเฉินที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล มือถือดาบไว้ได้แต่กลืนน้ำลายกับคำสนทนาที่ได้ยิน มันเหมือนการเจรจาเป็นทางการ แต่ทุกคำกลับเหมือนปืนใหญ่ที่ถล่มลงบนจิตใจของเขา
ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ต้องตะโกนออกมา "ท่านหญิง! ตำหนักเริ่มรื้อถอนแล้วขอรับ"
จริงแท้! การดำเนินงานของกองทหารที่ถูกส่งมานั้นรวดเร็วมาก
"รื้อถอนน่ะดีแล้ว" ฉู่มู่ฉือถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ให้พวกเขาซ่อมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ช่วงนี้ข้าจะดูแลท่านหญิงเสิ่นเอง...มีใครอยู่บ้าง! นำสัมภาระของท่านหญิงมา!"
เหล่าคนรับใช้ในตำหนักรัชทายาท ที่เพิ่งโดนโกนหัวโดยเสิ่นอวี้เจา ได้ยินเสียงเรียกก็รีบวิ่งมา แต่ภาพศีรษะโล้นเป็นหย่อมๆ ที่ผมปลิวว่อนในสายลมนั้นช่างน่าเวทนาเสียจริง
ฉู่มู่ฉือยืนรออยู่อึดใจหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายยังยืนกอดอกนิ่ง ไม่ไหวติง รอยยิ้มตรงมุมปากก็บ่งบอกชัดว่า ไม่เป็นมิตร อย่างยิ่ง
เขาเอียงคอเล็กน้อย ยกคิ้วขึ้นอย่างถือดี “ท่านหญิงอย่าดื้อไปหน่อยเลย”
“ตำหนักของข้ากว้างขวางสะดวกสบาย มิได้ขาดตกบกพร่องสิ่งใด รับรองว่าเจ้าจะไม่อดอยากแน่นอน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นหู แต่ถ้อยคำนั้นฟังยังไงก็ไม่ต่างจากดักทาง
แต่เรื่องย้ายไปตำหนักอื่น...ไม่มีทาง! ข้าบอกพี่น้องไว้แล้ว ว่าใครที่กล้ารับเจ้าเข้าพัก ข้าจะไปอาศัยอยู่กับเขาด้วย หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น"
ในโลกนี้คงมีเพียงฉู่มู่ฉือเท่านั้น ที่สามารถแปลงเรื่องแย่ๆ ของดวงชะตาตน ให้กลายเป็นคุณสมบัติพิเศษที่น่าภาคภูมิใจ และยังเอาไปข่มขู่คนอื่นหน้าตาเฉย
ตอนนี้เสิ่นอวี้เจาเข้าใจแล้ว คำว่า "เอาตนเองเข้ากับดัก" มีความหมายอย่างไร ถ้าสวรรค์ให้โอกาสนางอีกครั้ง สาบานว่าจะปฏิเสธคำขอขององค์จักรพรรดิทันที และจะไม่หันหลังกลับมาให้คู่พ่อลูกคู่นี้กลั่นแกล้งอีก!
แต่มันสายไปแล้ว ตอนนี้นางต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
โชคดีที่ใบหน้าเย็นชาแต่หัวใจยังไม่แตกสลาย เมื่อถึงเวลาต้องเด็ดขาดนางก็จะเด็ดขาด หลังจากที่ต่อสู้กับฉู่มู่ฉือมาหลายปี มีทั้งชนะและแพ้ นางมั่นใจว่าในอนาคต จะมีการแก้มืออีกหลายครั้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พร้อมจะสู้กลับ
"ฝ่าบาท หม่อมฉันจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อตอบแทนความกรุณาของท่าน"
พูดจบ นางคว้ากรรไกรไปเสียบกับผนังอย่างแรง ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินจากไปอย่างสง่างาม
เจียงเฉินก้มหน้าเดินตามไป เมื่อเดินผ่านฉู่มู่ฉือเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่าย
"นายของเจ้าดูน่ารักดีตอนโกรธ"
เขาแทบสำลักน้ำลายตนเอง ดวงตาของรัชทายาทเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เห็นคำว่า "น่ารัก" บนใบหน้าของนางได้อย่างไร? ตลอดเวลาที่เขามองเจ้านายตนเอง เห็นแค่ใบหน้าเย็นชา! อย่าคาดเดาความคิดของผู้มีอำนาจ เพราะไม่ว่าจะเดายังไงก็ไม่มีทางเข้าใจ
ตำหนักรัชทายาท
ผ่านลานด้านหน้า ทางเดินที่คดเคี้ยวซับซ้อน มองเห็นห้องหนึ่งที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ นั่นคือที่พักใหม่ของเสิ่นอวี้เจา ห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อยไร้ฝุ่น เตาเผาทองแดงยังคงปล่อยควันจางๆ ผ้าห่มและที่นอนลายดอกโบตั๋นบนเตียงก็ดูใหม่เอี่ยม เห็นได้ชัดว่ามีการจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน
เจียงเฉินรีบจัดสัมภาระให้นาง ขณะนั้นก็ถอนหายใจ "องค์ไท่จื่อดูเหมือนแข็งกร้าวแต่จิตใจอ่อนโยน จริงๆ แล้วให้ความสำคัญกับท่านหญิงมาก ดูสิว่า…โอ้?"
ยังพูดไม่ทันจบ เสิ่นอวี้เจาก็หยิบไม้กวาด ที่โกยผง กล่องเย็บผ้า พู่กัน และแท่นฝนหมึกออกมาจากใต้ผ้าห่ม...นางวางของเหล่านั้นลงบนโต๊ะทีละชิ้น ใบหน้ายังคงนิ่งสนิท "ข้ารู้ว่าไท่จื่อต้องคิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่รู้สึกว่าเขาจริงใจต้องการต้อนรับข้า"
เจียงเฉิน: "..." ใช่แล้ว เขาคือคนโง่ในความหมายของท่านนั่นแหละ
แต่เล่นถึงขั้นนี้ รัชทายาทนี่เก่งจริงๆ เอาแรงมาจากไหน ถึงขยันหาเรื่องกลั่นแกล้งนางทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
"เฉินเฉิน"
"มีอะไรหรือขอรับ"
"พอเจ้ากลับไปแล้ว หาเวลานำสิ่งนี้ไปวางบนเตียงรัชทายาทด้วยนะ" นางยื่นถุงตะปูเหล็กแหลมมาให้ พร้อมกับออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ทำอย่างลับๆ ห้ามให้ใครจับได้"
ใครกันที่บอกเมื่อกี้ว่าไท่จื่อไร้เดียงสา? ชัดเจนว่านางเองไร้เดียงสากว่าอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงพูดคำว่า "หาเวลา" ได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้? ให้ไปเล่นสนุกบนเตียงองค์รัชทายาทแถมยังขอให้ไม่ถูกจับได้ ถ้าเขายังมีชีวิตกลับมาได้ ถือว่าเป็นพรจากสวรรค์แล้ว ท่านรู้ตัวไหม?!
"ท่านหญิง โปรดเมตตาให้ข้ามีทางรอดด้วยเถิด การลอบทำร้ายรัชทายาท ถือว่ามีความผิดร้ายแรงที่ถึงขั้นประหารชีวิตเลยนะขอรับ"
เสิ่นอวี้เจาพูดอย่างจริงจัง "เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ตายหรอก อย่างมากก็มีรูทะลุสองสามรูเท่านั้น"
"ได้โปรดอย่าพูดเรื่องน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงจริงใจ! ข้าไม่สามารถปฏิบัติตามได้จริงๆ"
นางถอนหายใจแทนที่จะเถียง พลางหยิบธนบัตรเงินสองใบออกมาจากอก แล้วยัดใส่เอวองครักษ์อย่างสนิทสนม "เฉินเฉิน เจ้าติดตามข้ามาก็เหนื่อยยาก กินก็ไม่ดี นอนก็ไม่พอ มันลำบากจริงๆ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนเจ้าได้ นอกจากเงิน..."
"ข้ายินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่าน!" เจียงเฉินโบกมือทันทีเพื่อหยุดนาง "อย่ากังวล ข้าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแน่นอนขอรับ!"
"เชื่อฟังดีมาก"
ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความท้อ"ยี่สิบปี...ข้าก็รอคอยมาถึงยี่สิบปี ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยความยากลำบากถึงเพียงนี้ แถมยังโง่เขลาอ่อนข้อให้เจ้า จนเกือบทำลายความสุขของคนรุ่นหลัง"เล่อเฟยหัวเราะลั่นราวกับคนเสียสติ นางหัวเราะไม่หยุดจนใบหน้าแดงระเรื่อ น้ำตาไหลพราก "ใช่เพคะ ฝ่าบาททรงโง่เขลาอย่างที่สุด! แล้วตอนนี้ทรงเสียพระทัยแล้วหรือ? หม่อมฉันไม่เสียใจ ไม่เคยเสียใจเลย แต่...หม่อมฉันก็ไม่อาจยกโทษให้ฝ่าบาทได้"เล่อเฟยจ้องมองฮ่องเต้เงียบๆ ชายที่นอนเคียงข้างนางมานาน ชายผู้ที่รักและโปรดปรานนางมาตลอด รู้ว่านางยังนึกถึงคนในอดีต แต่ไม่เคยโกรธเคืองแม้แต่น้อย ชายที่เคยละเลยนางสนมคนอื่นเพื่อเอาใจนาง ปฏิเสธการเลือกนางสนมใหม่เพื่อเห็นแก่นาง เดินทางไปยังเจียงหนานเพื่อสนองความต้องการของนาง และยอมรับความผิดพลาดของนางชายคนนี้คือฮ่องเต้ผู้โง่เขลาที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เพราะความโง่เขลานี้เอง นางจึงไม่อยากให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาต้องอับอายต่อคำถามของบุตรธิดา นางรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่มีทางลงโทษนางอย่างเด็ดขาดถ้าเช่นนั้น นางก็จะไม่เป็นหนี้บุญคุณของเขาอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ผิดก็ได้ทำลงไปแล้ว เล่อเฟยได้ปลดปล่อยความ
"หม่อม...หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้"คนแซ่จูถึงกับถอนหายใจ "เจ้าจะไม่อยากเกี่ยวข้องกับข้า ก็ถือเป็นเรื่องที่ฝืนใจไม่ได้ แต่ข้าไม่คิดเลย ว่าตอนแรกข้าคิดว่าที่เจ้าทิ้งข้าไป เพราะข้าดูแลเจ้าไม่ดีพอ แต่มาตอนนี้กลับเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะเจ้าเห็นแก่ลาภยศสมบัติ...ความรักที่ข้ามีให้เจ้ามาหลายปี กลับกลายเป็นข้าทุ่มเทผิดคน"ฮ่องเต้แทบประทับไม่ติด พระองค์ทอดพระเนตรสองคน ที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลด้วยความตกตะลึง แล้วหันถามฉู่มู่ฉือหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง "เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?""เรื่องนี้อธิบายยาวพ่ะย่ะค่ะ" ฉู่มู่ฉือตอบอย่างสงบนิ่ง "ลูกได้ยินข่าวมาว่า สหายสนิทของราชครูซูซึ่งก็คือเจ้าของโรงสุราจุ้ยเซียนเป็นชาวเจียงหนาน ในอดีตนางเคยท่องยุทธภพ ลูกจึงขอให้ราชครูซูช่วยฝากฝังให้นางเดินทางไปเจียงหนานพร้อมกับเจียงเฉิน เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด"เจียงเฉินก้มตัวคารวะด้วยความเคารพและกล่าว "ข้าน้อยสามารถยืนยันได้ว่าทุกคำที่องค์รัชทายาทกล่าวเป็นความจริง อีกทั้งยังได้ตรวจสอบพบว่า ท่านหญิงอวี้หนี่ว์ก่อนที่จะรู้จักองค์รัชทายาท นางหาใช่หญิงบริสุทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้เถ้าแก่จูเจ้าของร้านสามารถเป็นพยานได้"เยว่
"บังอาจ!" ฮ่องเต้ที่เหมือนโดนแทงจุดเจ็บ ทรงโยนถ้วยชาใบที่สองลงพื้น จนแตกกระจายใต้เท้าของฉู่หยุนชิง เสียงแตกดังก้องสะท้อนทั่วห้อง "ข้าไม่อนุญาต! เจ้าจงเลิกล้มความคิดนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้!"พระสนมเล่อเฟยเห็นฮ่องเต้แสดงท่าทีแน่วแน่ ก็เหมือนจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้สติกลับคืน นางรีบไล่ทั้งสองคนออกไปจากตำหนักทันที"อย่าให้ความวู่วามชั่วครู่ ทำให้เจ้าตัดสินใจผิดพลาด อย่าทำให้เสด็จพ่อของเจ้าขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ รีบพาท่านหญิงเสิ่นกลับไป...โอ้ข้าเกือบลืมไป เสิ่นอวี้เจามิใช่ข้าราชบริพารฝ่ายในแล้ว" แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ นางยังไม่ลืมที่จะพูดเสียดสีเสิ่นอวี้เจาแม่สื่อเสิ่นได้ยินดังนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่คิดแม้แต่จะตอบโต้"อวี้เจา รอข้าก่อน ข้ามีบางสิ่งที่ต้องบอกกับเจ้า""หวู่อ๋องพูดมาเถิด""มีความจริงบางอย่าง ที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่เก็บงำเอาไว้ไม่เคยบอกเรา แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว การปิดบังต่อไปคงไม่ยุติธรรมกับเจ้าอีก"เสิ่นอวี้เจาหันกลับมาอย่างตื่นตะลึง และแทบจะพร้อมกันนั้น สีหน้าของพระสนมเล่อเฟยก็ซีดเผือดลงทันที ฉู่หยุนชิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ปลายชายเสื้อออกอย่างสงบ จาก
"เสิ่นอวี้เจา เจ้าอยู่กับฉู่หยุนชิงได้อย่างไร...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เสิ่นอวี้เจาทำหน้าเรียบเฉย ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ"ทูลเสด็จพ่อ ลูกพาตัวเสิ่นอวี้เจากลับมาเอง ความจริงแล้วช่วงนี้ เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอด""..." ความรู้สึกไม่ดีแล่นเข้ามาในใจอย่างรุนแรง นางชำเลืองมองฉู่หยุนชิงด้วยความกังวล รู้สึกว่าคำพูดต่อจากนี้คงยิ่งน่าตกใจและเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่นี่ใช่ชายผู้สูงส่งที่นางรู้จักจริงหรือ?ดูเหมือนว่าฮ่องเต้เองก็เริ่มจะงุนงงไม่น้อย พระองค์ทรงคิดไม่ออกเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ "อยู่ด้วยกัน" อย่างไม่น่าเชื่อ และเหตุใดถึงพากันมาที่ตำหนักกวนซือ เพื่อรายงานสถานการณ์"เรื่องนี้...เจ้าหมายถึงอยู่ด้วยกัน ในความหมายเดียวกับที่เราคิดหรือไม่?"ฉู่หยุนชิงเหลือบมองไปทางเล่อเฟย โดยไม่เผยอารมณ์ใดๆ พระมารดาก็จ้องตอบเขาอย่างแน่วแน่ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและความโกรธที่ซ่อนอยู่ คล้ายจะส่งคำเตือนทั้งสองแม่ลูกดูเหมือนจะใช้สายตาเป็นอาวุธ แข่งกันสร้างแนวป้องกันทางจิตใจ ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวบรรยากาศที่เงียบงันและอึดอัดนั้น ทำให้ทุกคนแทบลืมหายใจ เ
แม้เสิ่นอวี้เจาไม่มีคำอธิษฐานขอพร แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของฉู่หยุนชิง นางจึงพยักหน้าเบาๆ และก้าวไปยังต้นไม้ใหญ่แห่งวาสนา เลียนแบบท่าทางของคนอื่นๆ ยกมือประนมไหว้ใต้แสงจันทร์ ก่อนจะก้มลงกราบสามครั้งใต้ต้นไม้มีชายชราผู้ดูสง่างามในอาภรณ์นักพรต ส่งเครื่องรางคู่หนึ่งที่ร้อยด้วยด้ายทองให้ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น“จากรูปโฉมของคุณหนู ข้ามั่นใจว่าท่านมีคนในใจอยู่แล้ว”“ท่านนักพรตน่าเลื่อมใสยิ่งนัก แต่ข้าคงต้องบอกว่าเครื่องรางนี้คงไม่มีความหมายสำหรับข้าอีกแล้ว”นักพรตชราเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเมตตา “เก็บมันไว้เถิด อะไรที่เป็นของท่าน ท้ายที่สุดก็จะกลับมา”คำพูดนี้ทำให้เสิ่นอวี้เจายิ้มออกมาเล็กน้อย แม้เป็นรอยยิ้มขมขื่น แต่ลึกๆ ในใจ นางรู้สึกขอบคุณต่อความหวังเล็กๆ นั้น เมื่อกลับมา ฉู่หยุนชิงยังรออยู่ที่เดิม ในมือของเขามีถุงขนมสนอบน้ำตาล องค์ชายห้ายิ้มพร้อมยื่นขนมชิ้นหนึ่งส่งให้ “รู้ว่าเจ้าชอบกินที่สุด”“องค์ชายห้ารู้ใจข้าเสียจริง” รสหวานล้ำละลายในปาก แต่ใจของนางยังคงลังเล “ข้าขอถามได้หรือไม่ ทำไมท่านพาข้ามาที่นี่?”“ไม่มีเหตุผล เพียงแค่อยากอยู่กับเจ้าในคืนฉงเฉียวเท่านั้น” ฉู่หยุนชิงตอ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ จึงมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงดังมาจากด้านใน คนที่มีประสบการณ์ย่อมทราบได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์ ประตูเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของสตรีที่คิ้วคมตาดูสง่างามสายตาสองคู่ประสานกัน คนหนึ่งแปลกใจ อีกคนหนึ่งสงบนิ่ง"ไม่ได้พบกันนานเลยนะ ท่านหญิงเสิ่น"เสิ่นอวี้เจาแสดงท่าทางสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะก้มสายตาลง พลางผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ "เชิญองค์ชายห้าเข้ามาก่อน ข้าได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว จึงไม่เหมาะกับคำเรียก 'ท่านหญิง' อีกต่อไป หากไม่รังเกียจ โปรดเรียกข้าว่าเสิ่นอวี้เจาก็พอ"จากนั้นทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างเงียบๆ ทางเดินที่ปูด้วยหินเย็นเฉียบ ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังสวนหลังเรือน ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ยังไม่ออกดอก แต่กิ่งใบเขียวชอุ่มชวนให้ชื่นชมฉู่หยุนชิงถอนหายใจเบาๆ "ทุกสิ่งที่นี่ได้รับการรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม"เสิ่นอวี้เจาตอบอย่างธรรมชาติ "ทุกปีข้าจะกลับมาทำความสะอาดเอง หากไม่มีเวลาก็จะมอบหมายให้เฉินเฉินกลับมาดูแลให้ ไม่อาจปล่อยให้จวนแม่ทัพรกร้างได้""เจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ถาวรงั้นหรือ?""ที่นี่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้า บางทีอาจเปิดร้านบนถนนใหญ่ เพื่อช่วยจัดหาคู่ให้ประ







