“เป็นอย่างไร เห็นข้าได้แต่งงานกับท่านพี่อู๋ท่งใช่หรือไม่” ลี่มี่ชักสีหน้าใส่ซูเม่ยอย่างรำคาญ หลังจากเริ่มตั้งสำนักมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ลี่มี่มิเคยพบผู้ศรัทธาที่น่ารำคาญเท่านี้มาก่อน
เช้าวันนี้ซูเม่ยมายืนรอหน้าสำนักตั้งแต่เรือนสกุลเหมายังไม่เปิด เดิมทีลี่มี่มิคิดจะดูนิมิตให้คนสกุลชุน แต่เมื่อเห็นถุงเงินที่ซูเม่ยนำมาด้วย ลี่มี่ก็เปลี่ยนใจทันที เวลานี้ยังจะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องเงินอีกหรือ
“ข้ามิเห็นว่าเจ้าจะได้ออกเรือน แต่เห็นพี่อู๋ท่งแต่งกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง มิเห็นหน้าตาชัด แต่รู้เพียงว่างดงาม” ลี่มี่แตะปลายนิ้วไปที่กลางฝ่ามือของซูเม่ย ในหัวพยายามเค้นภาพนิมิตให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ลี่มี่จึงหยุดเพียงเท่านั้น เพราะคงเป็นลิขิตสวรรค์ที่มิอยากให้นางรับรู้
“เจ้าดูผิดหรือไม่ คนผู้นั้นอาจจะเป็นข้า เจ้าดูอีกที” ซูเม่ยกล่าวเสียงแข็ง จะให้นางเชื่อว่าท่านพี่อู๋ท่งสนใจสตรีอื่นได้อย่างไร ในเมื่อท่านพี่อู๋ท่งมีท่าทางเอ็นดูนางถึงเพียงนั้น
“เห้อออ วางเงิน” ซูเม่ยจำใจโยนเหรียญอีแปะใส่ในขัน ลี่มี่เห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะฝ่ามือของเด็กสาวตรงหน้าอีกครา หากเป็นผู้ศรัทธาท่านอื่น นางมิได้คิดเงินเพิ่ม แต่สำหรับคนสกุลชุนนั้น นางจะเรียกให้มากกว่าทุกคน หึ! เงินทองที่ท่านพ่อท่านแม่เคยหามาให้พวกเจ้า ข้าจะเก็บคืนจนหมด
“เป็นอย่างไร เห็นหน้าข้าหรือไม่”
“ข้ายืนยันคำเดิมว่าเจ้ามิได้ตบแต่งกับท่านพี่อู๋ท่ง”
“ไม่จริง เจ้าโป้ปดข้า”
“ข้ากล่าวไปตามภาพที่ข้าเห็น”
“เหอะ แม่หมออันใดกัน ที่แท้ก็คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย เห็นชัดเจนว่าท่านพี่อู๋ท่งยิ้มให้ข้าทุกเช้า ทั้งยังทักทายข้าทุกครั้งที่เดินผ่าน เขาต้องมีใจให้กับข้าแน่” ซูเม่ยอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเริ่มหงิกงอเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่เป็นดังหวัง
“เขาก็ยิ้มให้ข้า”
“ไม่จริง!!!”
“จริง และมิได้มีเพียงข้าที่ได้รับรอยยิ้มของเขา ทุกคนในหมู่บ้านล้วนได้รับรอยยิ้มจากพี่อู๋ท่ง”
“ไม่จริง”
“ก็บอกว่าจริง!!! อ่อ…แล้วอย่าคิดว่าที่เขาอ่อนโยนกับเจ้า คอยช่วยเหลือเจ้านั้นเป็นการเกี้ยวเล่า พี่อู๋ท่งเขาเป็นเอกบุรุษที่ได้การสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ย่อมรักหยกถนอมบุปผา หยุด! เพ้อ! ฝัน! เสีย! ที!” นิ้วชี้เรียวของลี่มี่จิ้มลงไปบนหน้าผากของหญิงตรงหน้าซ้ำๆ เมื่อก่อนนางอยากเตือนสติอีกฝ่ายอยู่หลายครา แต่หากนางเอ่ยเช่นนี้ออกไป ซูเม่ยย่อมนำเรื่องนี้ไปฟ้องท่านย่า และเป็นลี่มี่เองที่จะต้องถูกลงโทษ
“ฮึก ข้าจะฟ้องท่านย่า จะให้ท่านย่า-”
“จะทำสิ่งใดหรือ ข้ามิใช่คนสกุลชุนแล้ว หากท่านย่าของเจ้ากล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะนำเรื่องไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ให้คนมาจับพวกเจ้าไปขังคุก”
“ฮึ้ย!!! ฝากไว้ก่อนเถิด” ว่าแล้วซูเม่ยก็เดินทำหน้าปั้นปึ่งออกไป ยังดีที่อีกฝ่ายมาตั้งแต่เช้า จึงมิมีผู้ศรัทธาท่านอื่นมารอ มิฉะนั้นคนคงเล่าลือกันไปว่าแม่หมอกลั่นแกล้งผู้ศรัทธาจนร้องไห้โยเยกลับเรือน
ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!
ซูเม่ยเดินกระทืบเท้าเข้ามาในเรือน ใบหน้าถมึงทึงทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“อันใดกันลูกแม่ เดินเหินเสียงดังเช่นนี้ ผู้คนจะว่าแม่มิได้สั่งได้สอน” ชุนเจียงเอ่ยดุบุตรสาวด้วยน้ำเสียงหวานตามแบบของนาง
“ฮึก ท่านแม่เจ้าคะ นังลี่มี่มันเอ่ยว่าลูกจะมิได้ออกเรือน ทั้งยังเอ่ยว่าท่านพี่อู๋ท่งจะแต่งสตรีอื่นเข้ามาแทนลูก” ชุนเจียงเห็นบุตรสาวร่ำไห้ก็เข้ามากอดปลอบ
“นังลี่มี่นี่อย่างไร เอ่ยแต่เรื่องเท็จ ลูกแม่งดงามถึงเพียงนี้อู๋ท่งจะแต่งผู้อื่นเข้ามาได้อย่างไร ลูกอย่าได้เชื่อนางนักเลย”
“แต่ในนิมิตเป็นเช่นนั้น”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ไม่แน่ว่าแท้จริงแล้วในภาพนิมิต ลูกอาจจะได้แต่งเป็นสะใภ้สกุลกวน แต่นังลี่มี่เกิดอิจฉาในวาสนาของลูกสาวแม่ นางจึงคิดโป้ปดให้เจ้าเสียกำลังใจ” ซูเม่ยได้ยินที่มารดาเอ่ยก็เอนเอียงไปเชื่อคำมารดา
ลี่มี่ เจ้าคิดจะหลอกข้าหรือ ร้ายกาจเสียจริง!
“ท่านแม่ต้องจัดการให้ลูกนะเจ้าคะ มันเอ่ยว่าลูกสารพัด ทั้งมันยังเอ่ยว่ามิกลัวพวกเราสกุลชุนอีกต่อไปแล้ว”
“มันเอ่ยเช่นนั้นเลยหรือ! เจ้ามิต้องห่วงไป เรื่องนี้แม่พอจะมีแผนการอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย” สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มและกิริยาที่อ่อนหวาน แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้หรอกหรือ
วันนี้ลี่มี่ตั้งใจพาท่านยายและอาหมิงไปเลือกซื้อวัตถุดิบปรุงอาหาร เนื่องจากนางเปิดสำนักทุกวัน มิได้ออกไปเก็บของป่า ทำให้อาหารที่กักตุนไว้เริ่มหมดลง ทั้งลี่มี่ยังตั้งใจจะซื้ออาภรณ์ผืนใหม่ไว้ให้ท่านลุงชุนไห่และท่านพี่ชุนเต๋อใส่ยามอากาศหนาวเย็น แม้ว่านางจะตัดขาดจากสกุลชุนแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังดีกับนางและน้อง อย่างไรก็ต้องตอบแทน“ท่านยาย ข้าว่าเราไปนั่งดื่มน้ำชาให้ท่านหายเมื่อยก่อนดีหรือไม่” ลี่มี่พยุงท่านยายลงจากเกวียน ท่าทีปวดเมื่อยทำให้ลี่มี่นึกกังวล“มิต้องๆ ยายพึ่งจะได้ลุกยืน จะให้นั่งอีกคงมิไหว เราไปเลือกซื้ออาหารกันก่อนเถิด”“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ อาหมิงจับมือท่านยายไว้ ประเดี๋ยวจะหลงเอาได้” ลี่มี่พาท่านยายและน้องชายเดินไปซื้อของสด ที่ชาวบ้านเอามาตั้งร้านขายตามรายทาง มีทั้งผัก ผลไม้ ปลา หรือแม้แต่สัตว์ทะเลตั้งแต่เปิดสำนักแม่หมอ ลี่มี่ก็มีเงินใช้จ่ายอย่างคล่องมือ มิต้องประหยัดจนอดอยาก แต่นางก็มิได้ฟุ่มเฟือย เครื่องประดับงดงามนางก็ยังมิคิดจะซื้อใส่ แต่สิ่งใดจำเป็นจะต้องกินต้องใช้ นางก็จะซื้อโดยมิเสียดาย“ท่านยายเอาปูตัวใหญ่ด้วยได้หยือไม่ขอยับ”“ได้ๆ เอาตัวนี้ดีหรือไม่” สายตาออดอ้อนจากน้
ภาพนิมิตที่ลี่มี่เห็นทำให้นางรีบดึงมือออกจากมือใหญ่ทันที ท่าทีร้อนรนและสีหน้าที่ตกใจ ทำให้อี้หานอดสงสัยมิได้“เจ้าเห็นสิ่งใด เลวร้ายหรือ”“มะ มะ มิได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นเช่นเดิม มิ- มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง” ใบหน้ากลมสวยแดงก่ำขึ้น เมื่อชายหนุ่มเคลื่อนขยับเข้ามาใกล้‘ขะ ข้าต้องถูกบังคับเป็นแน่ แต่…ใบหน้าข้าก็ดูมีความสุขนะ ฮื่อ~’ ลี่มี่ใช้มือทุบตีศีรษะตนเองที่มิอาจลบเลือนภาพน่าอายเหล่านั้นออกไปได้ จนผู้ที่อยู่ในห้องนั้นถึงกับงุนงงในท่าทีของนางกันหมด“เจ้าเป็นอันใดของเจ้า”‘จริงสิ ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนนิมิตไม่ได้ ต้องหนี ต้องหนีให้ห่าง! แล้ว…ข้าจะหนีไปที่ใดอีกเล่า ฮื่ออออ’ ตากลมเดี๋ยวก็เบิกกว้าง เดี๋ยวก็เศร้าสร้อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนอี้หานนึกสงสัยว่าหญิงสาวกำลังทำหน้าตาเช่นใดอยู่มือใหญ่เอื้อมเข้าไปดึงผ้าปิดหน้าของลี่มี่จนหลุดติดมือมา ใบหน้าน่ารักของหญิงสาวที่พึ่งพ้นวัยปักปิ่น ทำเอาดวงใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาของท่านเจ้าเมืองสั่นไหวไม่น้อย ดวงตากลมโต ปากแดงเล็กเป็นกระจับ ปลายจมูกรั้นขึ้นพอน่ารัก“ทะ ท่านทำสิ่งใด” ลี่มี่ที่ถูกดึงผ้าปิดหน้าออกก็มิสติขึ้นมา“อะแฮ่ม ข้า- มิมีอันใด ว่าแต่เจ้าเห็นสิ่งใด
“ผู้คนมารอมากเลยทีเดียว คงเป็นเพราะยายแจ้งว่าต่อจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะหยุดเพื่อซ้อมหลังคาเรือน”“เช่นนั้นก็เชิญคนแรกเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” ลี่มี่ยกผ้าคาดหน้าเข้ามาสวมใส่และเตรียมพร้อมเช่นเคย ชาวบ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาดูนิมิตกับท่านแม่หมอ บ้างก็ผิดหวังกลับไปเพราะมิมีวาสนาต่อสวรรค์ แต่บางคนกลับได้รับคำเตือนที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต ชาวบ้านที่มาที่สำนักมีทั้งคนในหมู่บ้านและผู้คนนอกหมู่บ้าน จนมาถึงผู้ศรัทธาคนสุดท้ายที่ท่านยายเอ่ยว่า เขาเดินทางมาจากตัวเมืองเพื่อขอคำชี้แนะจากแม่หมอแห่งซูโจว“เอ่อ ผู้ใดที่จะดูนิมิตหรือ เหตุใดจึงเข้ามากันเยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้เล่า” ลี่มี่จ้องมองชายหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้าอย่างพิจารณา โดยเฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด คนผู้นี้หล่อเหลา ท่าทางราวกับบัณฑิตมีความรู้ และดูเหมือนว่าคนผู้นี้คงจะเป็นนายของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง“ข้าเป็นเจ้าเมืองซูโจว มีนามว่า โจวอี้หาน”“ทะ ท่านเป็นเจ้าเมืองหรือ แล้วมีกิจธุระอันใดกับข้าหรือ” ลี่มี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจไม่น้อย หญิงสาวตื่นกลัวอยู่ตลอด เพราะการงานของนางเสี่ยงที่จะถูกทางการจับกุมยิ่งนัก“รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำถือเป็
“เรื่องคดีเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเรียบทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่พึ่งเข้ามาใหม่“ยังมิมีผู้ต้องสงสัยเลยขอรับ ท่านเจ้าเมือง” คำตอบรับจากผู้ใต้บัญชาทำเอา โจวอี้หาน เจ้าเมืองซูโจวถึงกับถอดถอนหายใจออกมา เรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองซูโจวเริ่มจะปิดไม่มิด ข่าวสารเริ่มแพร่กระจายไปเกือบทั่วเมืองซูโจวแล้ว แม้ว่าคดีฆาตกรรมหญิงสาวจะเกิดขึ้นเพียงในตัวเมือง แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในเมืองซูโจวไม่น้อย“แล้วมีสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”“ขอรับ มีหญิงคณิกาตายเพิ่มอีกแล้วขอรับ เมื่อเช้าข้าน้อยพึ่งจะไปดูศพมา การลงมือเป็นลักษณะเดียวกัน คือ ถูกจ้วงแทงหลายแผล ทั้งยังถูกกรีดที่ใบหน้า” ผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองอย่าง หรงจี ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เมื่อเช้ามืดท่านฉือกงหัวหน้ามือปราบของเมืองซูโจว ได้รับแจ้งว่าพบร่างสตรีที่เต็มไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ริมน้ำ ท่านฉือกงจึงมาเรียกเขา ให้ไปช่วยตรวจสอบ“ศพที่สามแล้วสินะ พบความเชื่อมโยงของผู้ตายหรือไม่” โจวอี้หานถึงกับกุมขมับ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นในเมืองซูโจว เดิมที คิดว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์กลับมีเหตุการณ์เช่นเดิม
“ท่านยายขอยับ น้องขอออกไปวิ่งเล่นที่ลานกว้างของหมู่บ้านได้หยือไม่ขอยับ” วันนี้เรือนสกุลเหมาปิดสำนักแม่หมอ เนื่องจากเหมาไป่อยากให้หลานสาวได้พักผ่อนเสียบ้าง จึงมีเวลาให้ลี่หมิงไปเที่ยวเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน ยามที่อยู่สกุลชุน เด็กชายก็ต้องช่วยพี่สาวทำงานบ้าน พอย้ายมาอยู่สกุลเหมาก็ต้องช่วยพี่สาวต้อนรับผู้ศรัทธา ลี่หมิงจึงมิค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกันเลย วันนี้เขาจึงตัดสินใจไปที่ลานกว้างของหมู่บ้านที่มักจะมีเด็กๆ มาเล่นกันบริเวณนั้น“ไปเถิด อีกประเดี๋ยวยายจะตามไป ขอยายตากปลาไว้ก่อน” เหมาไป่เห็นว่าลานกว้างของหมู่บ้านมิได้ห่างไกลเรือนมากนัก ทั้งยังเป็นที่มีผู้คนพลุกพล่าน จึงปล่อยให้หลานไปก่อน หากนางตากปลาเสร็จ จึงจะตามไปภายหลัง“ขอบพระคุณขอยับ” ขาเล็กสั้นเดินออกมานอกเรือน หวังจะไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน แม้จะมิค่อยรู้จักผู้ใด แต่อย่างน้อยไปนั่งดูพวกเขาวิ่งเล่นกันก็ยังดีลี่หมิงมาถึงลานกว้างก็พบว่ามีเด็กชายและเด็กหญิงในวัยเดียวกันอยู่สี่ห้าคน เขาจึงเข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นก็ต้องหลง“พวกเจ้าเล่นอันใดกันอยู่หยือ ข้าขอเล่นด้วยได้หยือไม่ขอยับ”“พวกข้ามิได้เล่นอันใดทั้งส
“เป็นอย่างไร เห็นข้าได้แต่งงานกับท่านพี่อู๋ท่งใช่หรือไม่” ลี่มี่ชักสีหน้าใส่ซูเม่ยอย่างรำคาญ หลังจากเริ่มตั้งสำนักมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ลี่มี่มิเคยพบผู้ศรัทธาที่น่ารำคาญเท่านี้มาก่อนเช้าวันนี้ซูเม่ยมายืนรอหน้าสำนักตั้งแต่เรือนสกุลเหมายังไม่เปิด เดิมทีลี่มี่มิคิดจะดูนิมิตให้คนสกุลชุน แต่เมื่อเห็นถุงเงินที่ซูเม่ยนำมาด้วย ลี่มี่ก็เปลี่ยนใจทันที เวลานี้ยังจะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องเงินอีกหรือ“ข้ามิเห็นว่าเจ้าจะได้ออกเรือน แต่เห็นพี่อู๋ท่งแต่งกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง มิเห็นหน้าตาชัด แต่รู้เพียงว่างดงาม” ลี่มี่แตะปลายนิ้วไปที่กลางฝ่ามือของซูเม่ย ในหัวพยายามเค้นภาพนิมิตให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ลี่มี่จึงหยุดเพียงเท่านั้น เพราะคงเป็นลิขิตสวรรค์ที่มิอยากให้นางรับรู้“เจ้าดูผิดหรือไม่ คนผู้นั้นอาจจะเป็นข้า เจ้าดูอีกที” ซูเม่ยกล่าวเสียงแข็ง จะให้นางเชื่อว่าท่านพี่อู๋ท่งสนใจสตรีอื่นได้อย่างไร ในเมื่อท่านพี่อู๋ท่งมีท่าทางเอ็นดูนางถึงเพียงนั้น“เห้อออ วางเงิน” ซูเม่ยจำใจโยนเหรียญอีแปะใส่ในขัน ลี่มี่เห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะฝ่ามือของเด็กสาวตรงหน