LOGINจ้าวตงหยาง ช่วยทหารผ่าฝืนกองใหญ่ ไม่ว่าใครจะห้ามเขาอย่างไร เขาก็ดึงดันที่จะทำอยู่เช่นนั้น
“อ้าว…องค์ชาย แบบนี้ไม่ได้นะ ทำไมพวกเจ้าให้องค์ชายมาทำอะไรเช่นนี้ พอแล้ว ๆ ท่านทำงานแบบนี้ไม่ได้นะ”
จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูแม่ทัพไป่เยว่พร้อมส่งยิ้มให้เขา แม่ทัพไป่เยว่แต่งกายเช่นชาวบ้านปกติทั่วไป ไสเกวียนเทียมควายบรรทุกผักมาเต็มคันรถ พร้อมส่งยิ้มให้เขา ทั้งที่มีเม็ดเหงื่อไหลโทรมกายและใบหน้า
“ไม่เป็นไร ข้าทำได้ พวกท่านต่างก็ช่วยงานกัน จะให้ข้านิ่งดูดายได้อย่างไรกัน เอาเปรียบผู้อื่นหาใช่วิสัยข้าไม่ ดูท่านสิ เป็นถึงท่านแม่ทัพ ยังไปขนผักพวกนี้มา ออกไปแต่เช้ากลับมาจวนค่ำ พี่หลิวหยุนถามหาท่านอยู่หลายครั้ง ข้าเบื่อจะตอบนาง เลยออกมาช่วยผ่าฝืนอยู่ที่นี่”
“งานเช่นนี้ไม่เหมาะที่ท่านจะทำ พรุ่งนี้ท่านจะปวดเมื่อยและอาจป่วยไข้ได้ ด้วยร่างกายไม่คุ้นชิน หากท่านต้องการช่วยงานจริง เหตุใดไม่ช่วยท่านหมอซุน”
“ท่านหมอไม่อยู่ออกไปตั้งแต่เช้าเช่นกัน ข้าขอติดตามไปด้วยเขาก็ไม่ยอม ข้าเลยช่วยตากยาให้เขา ตายล่ะ…ท่านไป่เยว่ ใกล้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ข้าต้องกลับไปเก็บยาก่อน ท่านพี่ ข้าเอาขวานวางไว้ตรงนี้นะ” แม่ทัพไป่เยว่มองดูเด็กชายผู้มีความกระตือรือร้นและน้ำใจที่กว้างใหญ่ราวมหาสมุทร
“ท่านแม่ทัพ หากไม่รู้จักกันมาก่อน ข้าคงคิดว่าเขาเป็นเพียงบุตรชายชาวบ้าน องค์ชายจ้าวตงหยาง มีอะไรพิเศษมากกว่าที่คิดจริง ๆ” นายทหารผู้มีหน้าที่ประจำกองฝืนถึงกับเอ่ยปากชม เมื่อไม้ที่เขาเตรียมไว้ถูกผ่าออกเป็นซี่ขนาดพอเหมาะ แม่ทัพไป่เยว่ มองผลงานที่กองอยู่บนพื้นด้วยความประหลาดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“เขาใช้เวลานานแค่ไหน กับฟืนกองนี้”
“ไม่นานเลยท่านแม่ทัพ เมื่อครู่นี้เอง”
“วิเศษนัก เจ้าเด็กผู้นี้เห็นทีจะไม่ใช่คนธรรมดา มาพวกเรา ช่วยกันขนผักพวกนี้ไปเก็บหน่อย อากาศอบอ้าวเช่นนี้ คืนนี้ฝนคงตกลงมาอีก”
“ขอรับ…”
ไป่เยว่มองตามหลังองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย ที่วิ่งออกไปตามถนนดิน พร้อมโบกมือทักทายผู้คนที่เดินสวนทางมาอย่างเป็นกันเอง ในช่วงเวลาไม่กี่วัน เด็กผู้นี้กลับสามารถสลัดทิ้งความเศร้าหมอง แปรเปลี่ยนเป็นคนร่างเริง ขยันไฝ่รู้ เสียดายที่กองกำลังในมือของเขา ไม่สามารถรวบรวมเอาดินแดนที่ถูกยึดคืนมาได้ ในเวลาเช่นนี้ทำได้แค่เพียงเปลี่ยนตัวเอง ให้เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ที่ประกอบอาชีพหาของป่าและเกษตรกรรมเพื่อยังชีพเท่านั้น
อาหารเย็นเรียบง่าย ที่มีเพียงผัดผักราดมาบนข้าววางอยู่ตรงหน้าของจ้าวตงหยาง เด็กชายมองดูไป่เยว่ ที่กำลังประคองหลิวหยุนออกมาจากห้องพัก เพื่อกินมื้อเย็นร่วมกัน
“องค์ชาย ทำไมไม่กินล่ะเจ้าคะ จะรอพวกข้าสองคนทำไม”
“ไม่ได้ เราจะกินพร้อมกัน ข้าเป็นน้อง ท่านทั้งสองเป็นพี่ น้องกินก่อนแบบนี้ไม่ถูกต้อง”
“องค์ชาย…”
“พี่หลิวหยุน พี่ไป่เยว่ ท่านทั้งสองจะรังเกียจหรือไม่ ถ้าข้าจะขอนับถือพวกท่านเป็นเสมือนพี่น้องของข้าจริง ๆ”
ไป่เยว่ยิ้มกว้าง “จะรังเกียจได้เช่นไร องค์ชายแคว้นจ้าวนับข้าเป็นพี่ชาย ข้าไป่เยว่เป็นเพียงแม่ทัพผู้น้อยประจำอยู่ด่านชายแดน ได้รับเกียรติสูงส่งถึงเพียงนี้ มีหรือข้าจะไม่รับไว้”
“ดี ผัดผักมื้อนี้ ถือว่าเราร่วมสาบานกัน”
ไป่เยว่หัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อมองเห็นถ้วยข้าวราดผัดผักบนมือของเขา “รอข้าประเดี๋ยว” ชายหนุ่มรีบวิ่งฝ่าความมืดหายออกไปจากบ้านพัก
“องค์ชายท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เหตุใดจึงยกย่องข้าทั้งสองเป็นพี่ ข้าหลิวหยุนเป็นเพียงนางกำนัน เข้าวังตั้งแต่อายุได้เพียงเจ็ดขวบ ไม่เคยคิดอาจเอื้อมไปมากกว่านี้ วันนี้องค์ชายเรียกข้าเป็นพี่ ข้าทำตัวไม่ถูกจริง ๆ”
“มาแล้ว ๆ” ไป่เยว่กลับมาพร้อมสุราในขวดน้ำเต้า จ้าวตงหยางมองดูขวดน้ำเต้าใบใหญ่ ที่มีเชือกสีแดงถักร้อยอย่างประณีต
“สุรานี้ท่านเอามาจากที่ใดกัน เท่าที่ข้ารู้ในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีสุรา แม้แต่ข้าวสารที่จะนำมาประกอบอาหารในแต่ล่ะวัน ยังหาแทบไม่ได้ไม่ต้องพูดถึงการบ่มสุราเลย”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







