LOGIN“ฉลาดนักน้องชาย สุรานี้ข้าได้มาจากตาแก่ท่านหนึ่ง วันนี้ขณะที่ข้ากำลังเก็บผัก อยู่ดี ๆ ก็มีตาแก่ชุดสีขาว แต่งกายประหลาด เสื้อของเขามีการตกแต่งไปด้วยด้ายสีแดง เขาล้มลงใกล้ ๆ กับแปลงผัก ข้าเลยช่วยเหลือเขาไว้ สุราในขวดน้ำเต้านี้ เลยเป็นของตอบแทนที่เขาให้ข้ามา”
“ฟังจากที่ท่านเล่ามา ตาแก่ผู้นี้ดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย หากเป็นชาวบ้านทั่วไป เสื้อผ้าคงเป็นได้แค่ผ้าป่านหรือฝ้ายหยาบ ๆ ย้อมโคลนหรือเปลือกไม้ ผ้าสีขาวเช่นนั้นล้วนเป็นของที่ต้องซื้อหา ภาวะบ้านเมืองเช่นนี้ของแบบนี้จะไปหาได้จากที่ใด”
ไป่เยว่และตงหยาง คิดตามการวิเคราะห์ของหลิวหยุน
"เอาน่า อย่างไรเสีย ข้าก็ได้สุราเขามาแล้ว กลิ่นก็หอมด้วยสิ มาเถอะ หากจะนับเป็นพี่น้องกันจริง เราควรใช้สิ่งนี้เพื่อร่วมสาบาน
สุราในขวดน้ำเต้า มีกลิ่นหอมประหลาดเช่นที่ไป่เยว่พูด ตงหยางเหลือบตามองดูท่านแม่ทัพ ที่กระดกสุราในชามเข้าปากแบบรวดเดียวหมด ส่วนหลิวหยุน นางยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นบังหน้า แล้วยกชามสุราขึ้นดื่ม แต่กิริยาของนางสุภาพเรียบร้อยกว่ามาก
จ้าวตงหยางมองดูเขาทั้งสองแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ “ท่านพี่ทั้งสอง หมดสุราถ้วยนี้แล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีองค์ชายจ้าวตงหยาง จะไม่มีความแค้นที่คาใจ ทุกอย่างเป็นเพียงความแปรผันของโชคชะตาที่พัดพาให้เราต้องมาเผชิญร่วมกัน”
เด็กชายยกถ้วยสุราขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมดเช่นไป่เยว่ แต่คนที่ไม่สบายใจกลับเป็นหลิวหยุน
“องค์ชาย ท่านไม่เคยดื่มสุรา จะดื่มแบบนั้นไม่ได้นะ”
ไป่เยว่ตกใจอ้าปากค้าง “อะไรนะ เขาไม่เคยดื่มสุราเช่นนั้นรึ”
“ใช่ ถูกแล้ว…”
ถ้วยเหล้าถูกวางลง แต่เด็กชายกลับยังยิ้มหวานให้คนทั้งสองได้ “องค์ชายขออภัย ข้าไม่รู้ว่าท่านไม่เคยดื่มสุรามาก่อน”
“ไม่เป็นไรข้าไหว ก็แค่ขมนิดหน่อย สุรานี่กลิ่นหอมดีจริง ๆ ท่านช่างโชคดีนักที่ได้มันมา กลิ่นและรสชาติช่างเหมือนสุราดอกท้อของพระแม่หวังฉือจินหมู่” ใบหน้าของเด็กชายเริ่มแดงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์สุรา คำพูดของเขาฟังดูดั่งคนเพ้อเจ้อ จนไป่เยว่และหลิวหยุนถึงกับหัวเราะออกมา แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่า คำพูดของจ้าวตงหยางแท้จริงล้วนออกมาจากความทรงจำในอดีตกาล
สุดท้ายไป่เยว่ก็ต้องเป็นฝ่ายพาเด็กชายเข้านอน คำพูดแปลกประหลาดมากมายหลั่งไหลออกมาจากปากของคนเมา ในช่วงแรกทั้งคู่ต่างหัวเราะขบขัน คิดว่าตงหยางคงร่ำเรียนตำรามากมาย ถึงล่วงรู้เรื่องราวหลากหลายมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ไป่เยว่ เดินกลับมายังโต๊ะอาหารที่หลิวหยุนนั่งรออยู่ ชายหนุ่มก้มลงมองบนโต๊ะ ที่มีรอยขีดเขียนจากก้อนถ่าน
“พวกนี้คืออะไร องค์ชายของเจ้า ชอบเขียนสิ่งประหลาดเช่นนี้หรือ”
“ข้าเคยพบเศษกระดาษที่ถูกวาดภาพเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่มันถูกขยำทิ้งไว้ใต้โต๊ะหนังสือ แต่ครั้งนี้ ทั้งหมดที่ท่านเห็น ท่านคิดว่ามันคืออะไร”
ชายหนุ่มจ้องมองภาพเขียนที่โยงเส้นไปมาระหว่างจุดต่อจุด “เหมือนตำแหน่งดวงดาว เส้นที่ถูกลากโยงเชื่อมเข้าหากัน น่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายของดวงดาว”
หลิวหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ดวงดาวเช่นนั้นรึ เส้นเชื่อมดวงดาว การโคจรย้ายตำแหน่งของดวงดาว ในแต่ล่ะช่วงเวลาแบบนั้นถูกหรือไม่”
ไป่เยว่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามหลิวหยุน แสงจากดวงดาราในคืนข้างแรม ดูเหมือนช่างเป็นใจให้ตำแหน่งดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้าดูงดงาม “องค์ชายรู้ถึงการโคจรของดวงดาว นอกจากพละกำลังที่เกินตัว ความรู้ของเขา กำลังทำให้ข้าประหลาดใจ” ไป่เยว่พูดออกมาทั้งที่ดวงตาของเขา ยังคงจ้องมองดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีกาล
“องค์ชายชอบมองดาว บ่อยครั้งที่ข้าต้องยืนเฝ้ารอคอย เพื่อส่งพระองค์เข้านอน บางทีภาพที่ท่านเห็นอาจไม่ใช่ความวิเศษอะไร เพียงแต่มันคือจินตนาการของเด็กผู้หนึ่ง ที่วาดฝันถึงสิ่งที่ชอบก็เท่านั้นเอง”
“ถูกของเจ้า แต่ข้าก็ยังเชื่อต่อหัวใจตนเอง องค์ชายจ้าวตงหยาง มีอะไรพิเศษสำหรับข้าจริง ๆ หากเจ้าไม่เชื่อ ต่อจากนี้ไป เจ้าจงเฝ้าจับตาดูเขาให้ดี แล้วเจ้าจะรู้เองว่าสิ่งที่ข้าคิดอยู่ถูกหรือไม่”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







