หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เย่ซิวก็ถอนมือออก“ท่านครับ ท่านมีอาการเลือดลมอ่อนแอ สภาพพื้นฐานเสื่อมโทรมอย่างหนัก อีกทั้งยังเป็นเพราะเมื่อตอนที่ท่านยังเป็นหนุ่ม ท่านทำงานหนักเกินไป และไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ ดังนั้น โดยปกติแล้วท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามปี”หลัวเฟิงแสดงสีหน้าประหลาดใจต่อคำพูดที่ได้ยินแม้แต่หมอที่มีประสบการณ์การทำงานหลายสิบปีและมีความน่าเคารพยกย่องก็เคยบอกกับเขาแบบนั้นเช่นกันเพียงแค่จากจุดนี้ก็เห็นแล้วว่า ทักษะการแพทย์ของเย่ซิวนั้นยอดเยี่ยมมาก“ไม่เป็นไร…จะช้าจะเร็ว…ฉันก็ต้องตายอยู่ดี…”ท่าทางที่เขาแสดงออกมาช่างดูผ่อนคลายเย่ซิวยิ้มและตอบกลับไปว่า “แต่ท่านครับ ผมไม่ได้จะบอกว่ามันไม่สามารถรักษาได้”หลัวเฟิงตาเบิกโพลงทันทีเย่ซิวจับมือขวาของหลัวเฟิง จากนั้น เขาก็ใช้กำลังภายในของตัวเองแปรสภาพเป็นเส้นเล็ก ๆ หลายสิบเส้นที่ดูคล้ายกับเส้นผมแล้วส่งกระแสเข้าไปในร่างกายของหลัวเฟิงในตอนนี้ ร่างกายของหลัวเฟิงดูเหมือนกับบ่อน้ำที่แห้งเหือดกำลังภายในของเย่ซิวเหมือนกับน้ำฝนที่กำลังบำรุงบ่อน้ำโดยการเติมน้ำกลับเข้าไปใหม่หลัวเฟิงรู้สึกตื่นตัวทันที เขามองเย่ซิวอย่างไม่เชื่
เมื่อมาถึงบ้านพักของหลัวเฟิงบ้านพักของเขาค่อนข้างเรียบง่าย การตกแต่งก็ดูเรียบ ๆ ซึ่งดูไม่เข้ากับสถานะของเขา“น้องชาย เชิญนั่งก่อน”หลังจากหลัวเฟิงเชิญเย่ซิวให้นั่งลง เขาก็จัดการชงชาให้เย่ซิวด้วยตัวเองความรู้สึกที่สามารถดูแลตัวเองได้แบบนี้ มันทำให้เขา กลับมามีความสุขอีกครั้งเมื่อทั้งสองนั่งลง เย่ซิวไม่พูดจาอ้อมค้อมให้เสียเวลาและเอ่ยความต้องการของเขาออกมาทันทีหลัวเฟิงมองเขาด้วยความชื่นชม “ไม่เลวเลยนะ คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ทำอะไรไม่ปิดบัง นี่แหละถึงจะเรียกว่าชายชาตรี”ยิ่งได้มองเย่ซิวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถูกใจมากขึ้นเท่านั้นเย่ซิวยิ้มและพูดขึ้นว่า “ท่านผู้ว่าครับ เนื่องจากร่างกายของท่านยังไม่หายดีเต็มที่ ผมจึงจะขออยู่ที่นี่อีกสักห้าวันและในทุก ๆ วัน ผมจะใช้กำลังภายในช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่าน รักษาควบคู่ไปพร้อมกับยาที่ผมให้ไป และอีกไม่นานท่านก็จะหายดีอย่างสมบูรณ์ครับ”หลัวเฟิงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “ฉันจะไม่พูดขอบคุณให้มันมากละกัน แต่น้องชาย คุณวางใจได้เลย ฉันจะไม่ยอมให้คุณได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน!”เขาไม่สามารถให้การดูแลพิเศษหรือให้สิทธิพิเศษได้แต่
สายตาของสองพ่อลูกที่มองไปทางเย่ซิวราวกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวใช้เวลานานพอสมควรกว่าสติของสองพ่อลูกจะกลับมาหลัวฮุ่ยหมิ่นส่ายหัวเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “ฉันอายุมากกว่าคุณนิดหน่อย ถ้างั้นฉันจะเรียกคุณว่าน้องชายก็แล้วกัน คืนนี้ต้องอยู่ทานข้าวด้วยกัน คุณห้ามปฏิเสธนะ”เมื่อพูดจบ เธอก็ไม่ให้เย่ซิวได้มีโอกาสตอบและปรี่ไปที่ประตูเพื่อเก็บอาหารที่ตกอยู่บนพื้น จากนั้นเธอก็ปิดประตูลงแล้วรีบไปที่ครัวหลัวเฟิงเป็นคนทำงานรวดเร็วและเด็ดขาด เนื่องจากตอนนี้เขาหายดีแล้ว เมื่อเขาได้ยินความกังวลของเย่ซิว เขาจึงลุกขึ้นทันทีและพูดว่า“คุณนั่งรอตรงนี้ก่อน ฉันจะไปที่หน่วยงานเพื่อเตือนสติให้จางต้งเหลียงไม่กล้าเล่นเล่ห์กับคุณ”เย่ซิวพยักหน้า “รบกวนด้วยนะครับ”หลัวจากหลัวเฟิงเดินจากไปได้ไม่นาน บอดี้การ์ดคนที่ออกไปร้านขายยาก็ได้ซื้อเครื่องยาสมุนไพรที่เย่ซิวต้องการกลับมาแล้วเย่ซิวนำยาสมุนไพรเหล่านั้นไปที่ห้องครัว เพื่อเตรียมที่จะสอนสูตรต้มยากับหลัวฮุ่ยหมิ่น“โอ๊ย!”หลัวฮุ่ยหมิ่นที่กำลังหั่นผักอยู่ ทันใดนั้น เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเธอทิ้งมีดลงและจับนิ้วของตัวเองไว้นิ้วมือถูก
“เอาล่ะ การประชุมในวันนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายกันได้ครับ”ภายในห้องประชุม จางต้งเหลียงเอ่ยประกาศปิดการประชุมตำแหน่งนี้ เดิมทีควรเป็นของหลัวเฟิง แต่ตอนนี้กลายเป็นของเขาไปแล้วและข้อเสนอต่าง ๆ ที่หลัวเฟิงเคยปัดตกไป เมื่อเปลี่ยนมือแล้ว จางต้งเหลียงก็อนุมัติข้อเสนอเหล่านั้นใหม่อีกครั้งหลัวฮ่าวลูกชายของหลัวเฟิงโกรธมาก แต่เขารู้ว่ากำลังของตัวเองในตอนนี้ ไม่สามารถต่อกรกับจางต้งเหลียงได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนอย่างเงียบ ๆ จางต้งเหลียงมองดูท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลัวเฟิง พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจบนใบหน้าตอนนี้อำนาจในองค์กรเกือบทั้งหมดตกในอยู่ในมือของเขาแล้วเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างในหวู่เฉิง เปรียบดั่งท้องฟ้าที่ปกคลุมทุกสิ่ง และพื้นดินที่รองรับทุกอย่าง ใครก็ตามที่กล้าต่อกรกับเขา ย่อมต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถในขณะที่เขากำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จ ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเปิดออกทุกคนหันไปมองที่ประตูโดยไม่รู้ตัว จากนั้น แต่ละคนก็เผยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาออกมาจางต้งเหลียงถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลัวเฟิงเดินเข้ามาอย่างสง่าด้วยร่างกา
ท่านหวังวางมาดอย่างสง่า “เรื่องทานข้าวเอาไว้ก่อนเถอะ รบกวนคุณเรียกเพื่อนร่วมงานไปดูที่ไซต์งานของบริษัทสตาร์รี่สกายหน่อย ผมสงสัยว่าพวกเขาอาจจะลดคุณภาพวัสดุ“ได้ครับท่าน เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”เขาได้เรียกผู้บริหารระดับสูงของเมืองเจียงเฉิงเป็นจำนวนมาก เพื่อไปยังไซต์งานก่อสร้างพร้อมกันรถเจ็ดถึงแปดคันมุ่งหน้าไปยังไซต์งานที่กำลังส่งเสียงดังครึกโครมและยังมีหน่วยลาดตระเวนจำนวนมากเดินตรวจตราอยู่ข้างหน้าไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าไซต์งาน ท่านหวังลงจากรถ มองไปที่ประตูไซต์งาน มุมปากเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมเขายกขาขึ้นเตรียมจะก้าวเข้าไป ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นจางต้งเหลียงที่โทรมา ทันใดนั้น เขาก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น เขารีบรับสายทันทีพร้อมกับก้มตัวเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพนอบน้อม“ท่านจาง ท่านมีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?”ปลายสาย เสียงของจางต้งเหลียงฟังดูเร่งรีบมาก “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้ว?”“ตอนนี้ผมถึงหน้าประตูไซด์งานแล้วครับท่าน อีกสักพักหนึ่ง ผมก็จะสั่งให้พวกเขาหยุดการทำงาน ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ท่านวางใจได้เลยครับ”“รีบกลับไปเดี๋ยว
คำพูดเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หลัวฮุ่ยหมิ่นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ยังทำให้เย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในขณะนั้น“นี่พ่อหนุ่ม ไม่ต้องอายไปหรอก ป้าน่ะเปิดกว้าง ขอแค่ตระกูลของพ่อหนุ่มไม่มีประวัติด่างพร้อยและไม่ทำตัวเกียจคร้าน ป้าก็ยอมให้พวกเธอทั้งสองคนคบกันแล้ว”แล้วก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินเก่งมากหรอก ป้ากับลุงต่างก็เกษียณแล้ว และแต่ละเดือนพวกเราก็ได้รับเงินบำนาญหลายหมื่น พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงพวกป้าหรอกนะในตอนนี้ หลัวฮุ่ยหมิ่นเองก็ทำงานกับหน่วยงานสำคัญ และเงินเดือนของเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ ต่อไป ถ้าเธอสองคนขยันทำงาน ชีวิตคู่ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เอง”หลัวฮุ่ยหมิ่นปิดหน้าด้วยสองมือ เธอรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้น แม่ของเธอจึงคิดว่าเธอกำลังรู้สึกเขินอายเย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขืนไม่อธิบายตอนนี้ เธออาจจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “เอ่อ คุณป้าครับ คุณป้าเข้าใจผิดแล้วครับ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาพบท่านผู้ว่าหลัว และที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อรักษาอาการให้กับท่านผู้ว่า” แม่ของเธอชะงักไปชั่วครู่ “รักษาอะไรกัน? เอ๊ะ ว่าแต่คุณพ่อเข้านอนแล
ปีนี้อายุของหลัวฮ่าวสี่สิบห้าปี ซึ่งห่างกับน้องสาวสิบห้าปีเมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วเห็นเย่ซิว ผู้ชายที่มีสีหน้าแข็งกร้าวแบบเขาก็โค้งคำนับต่อเย่ซิวด้วยความจริงใจ“ขอบคุณคุณเย่ที่ช่วยชีวิตคุณพ่อของผม บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืม ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ ผมก็เต็มใจทั้งนั้น บอกมาได้เลย!”เย่ซิวยกมือขึ้นและพูดว่า “คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ที่ผมช่วยท่านผู้ว่าหลัวเพราะผมเองก็มีธุระส่วนตัวที่ต้องการให้ท่านช่วยเหมือน”หลัวฮ่าวแสดงสีหน้าจริงจัง “ ไม่ว่ายังไงผมก็จะจำใส่ใจเอาไว้ว่า คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม!”เย่ซิวส่ายหัวและไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อแม่ของหลัวฮ่าวที่ได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมา เมื่อเห็นหลัวเฟิงเปลี่ยนไปมาก เธอไม่สนใจว่ามีคนอยู่เยอะหรือไม่ เธอโผพุ่งเข้าไปกอดหลัวเฟิงทันที“ที่รัก คุณไม่เป็นไรอะไรแล้ว มันวิเศษมาก! ต่อไปห้ามทำงานหนักอีกนะได้ยินไหม? ถ้าคุณกล้าทิ้งฉันแล้วหนีไปคนเดียว ฉันจะไปหาผู้ชายคนอื่นสักสิบคนยี่สิบคน ฉันจะสวมเขาให้คุณอายไปเลย! ”สีหน้าของหลัวเฟิงเข้มขึ้น “คุณกล้าเหรอ? เอาสิ คอยดูละกันว่าผมจะจัดการคุณยังไง!”หลัวฮุ่ยหมิ่นเ
หลัวฮ่าวรู้สึกเขินอายมาก เขาพูดกับเย่ซิวว่า “ลูกสาวของฉันตอนนี้อยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สาม เธออยู่ในช่วงวัยต่อต้าน เรื่องเรียนเธอก็รู้สึกกดดันมาก เธอจึงมีท่าทีแบบนั้น คุณอย่างรังเกียจเลยนะครับ”เย่ซิวยิ้ม “ไม่มีปัญหา ทานข้าวกันเถอะครับ”โดยปกติแล้ว เขาจะไม่โต้เถียงกับเด็กนิสัยเสียเช่นนี้ที่โต๊ะอาหารเย็น แม่ของหลัวฮ่าวตักอาหารให้เย่ซิวอย่างต่อเนื่องด้วยความกระตือรือร้น“นี่ ๆ ลองชิมขาหมูนี่ดู”“เนื้อเผ็ดนี้ก็ค่อนข้างดีเลย”“นี่ น่องไก่ใหญ่ ๆ เลยนะ”……หลังจากนั้นไม่นาน ถ้วยของเย่ซิวก็กองสูงขึ้นเป็นเนินหลัวฮุ่ยหมิ่นทำหน้าบูดบึ้งและพูดอย่างอิจฉาว่า “แม่ ทำไมแม่ต้องตักอาหารให้เขาด้วย แล้วหนูล่ะ? หรือว่าหนูไม่ใช่ลูกของแม่แล้วใช่ไหม?”“ใช่ ฉันไม่รักแกแล้ว แกพาแฟนมาบ้านเมื่อไหร่ แกค่อยมาเป็นลูกของฉัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย”“เห็นได้ชัดว่าลูกสาวของฉันประพฤติตนดีและเชื่อฟังมาตั้งแต่เด็ก ขยันเรียน ไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนชั้นต่ำ ไม่เคยไปไนต์คลับเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมเด็กผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ถึงหาแฟนไม่ได้?”แววตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างลึกซึ้งหลัวฮุ่ยหมินหยุดพูดและกินอย่างเชื
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน