“คุณอยาก…กับฉันเหรอ?” ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถามด้วยใบหน้าแดงก่ำเย่ซิวยิ้ม "ไม่ใช่ คุณคิดมากเกินไปแล้ว ผมกำลังทำหน้ากากหนังมนุษย์ชิ้นใหม่ให้คุณต่างหาก"“หา?” ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “หมายความว่ายังไง?”เย่ซิวอธิบายว่า “เพื่อความปลอดภัยของคุณ ผมจะให้คุณเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเอง”“ตอนนี้รูปลักษณ์คุณดูโดดเด่นมาก ไปที่ไหนก็ดึงดูดความสนใจไปทุกที่”เขาไม่สามารถอยู่กับลู่เสวี่ยเอ๋อร์ได้ตลอดเวลาการมาที่นี่ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเธอออกมาเท่านั้น แต่จุดประสงค์ที่ใหญ่กว่าก็คือการขจัดกำจัดภัยคุกคามอย่างตระกูลเย่ให้สิ้นซากงานนี้ต้องเผชิญกับอันตรายมากมายก่อนที่จะจัดการกับตระกูลเย่ เขาจำเป็นต้องกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัวเขาทั้งหมดก่อนไม่เพียงแต่ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เท่านั้น เขายังให้กองกำลังหมาป่าราตรีพาผู้หญิงคนอื่น ๆ รอบตัวเขาทั้งหมดไปยังตระกูลหลิ่วแล้วที่นั่นมีคนคอยคุ้มครอง แม้แต่ตระกูลเย่ก็ไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจเมื่อลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้ตัวว่าตนเองเข้าใจผิด จึงรู้สึกเขินอายไม่น้อยโชคดีที่เธอติดตามเย่ซิวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หน้าของเธอจึงหนาขึ้นกว่าเดิมมาก และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วไ
เสวี่ยเหมยแกว่งแก้วไวน์แดงเบา ๆ และพูดอย่างแผ่วเบาว่า "คนที่สามารถบุกเข้าไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนั้น และพาคนออกมาได้อย่างปลอดภัย เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่ระดับปรมาจารย์จะทำได้เหรอ?"บอดี้การ์ดหญิงไม่ได้สนใจ "ใครจะไปรู้ว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกหรือไม่?"อย่างไรเธอไม่ไว้วางใจกับการตัดสินใจของคุณหนูปรมาจารย์อายุสิบกว่า ยี่สิบกว่าน่ะหรือ คิดว่าเป็นการถ่ายละครหรือยังไง?เสวี่ยเหมยรู้ว่าเธอไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากถ้าเธอไม่ได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง ก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน“คุณเป็นใครมาจากไหนกันแน่?”เสวี่ยเหมยพึมพำกับตัวเองเบาจนมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยินเป็นเวลาหลายปีแล้วที่มาอยู่เมืองหลวง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอสนใจผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนี้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์อาบน้ำเสร็จและเดินออกจากห้องน้ำผิวของเธอขาวผ่องจนแทบจะเปล่งประกายทั้งเรียบเนียนและกระชับมากเธอเดินเท้าเปล่าไปตรงหน้าเย่ซิว และสวมกอดเขากลิ่นกายหอมฟุ้งลอยเข้าในจมูกคล้ายกลิ่นดอกมะลิ แต่แฝงด้วยกลิ่นน้ำนมหอมละมุน ซึ่งมันหอมมาก“เราจะทำอะไรกันต่อไป?”เย่ซิวพูดว่า "หาสถานที่ปลอดภัยปักหลักก่อน แล้วค่อยวางแผ
“คุณป่วยนะ!”ไป๋อวี้เจี๋ยแสดงสีหน้าไม่พอใจ "คุณเย่ ทำไมคุณถึงด่ากันแบบนี้?"เย่ซิวยิ้มและพูดว่า "ผมไม่ได้ด่าคุณ คุณป่วยจริง ๆ"ไป๋อวี้เจี๋ยโกรธจัดและพยายามดึงมือออกเธอแอบคิดกับตัวเองว่าเธอมองคนผิดไปเดิมทีเธอคิดว่าเย่ซิวเป็นคนที่สามารถคบค้าสมาคมได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนมักมากบ้าตัณหาคนหนึ่งเย่ซิวไม่สนใจความเข้าใจผิดของไป๋อวี้เจี๋ยแล้วพูดว่า "ตอนกลางคืนคุณนอนไม่หลับ ส่วนตอนกลางวันก็ไม่กระปรี้กระเปร่า และมักจะปวดท้องทุกครั้งที่กินของเย็นใช่หรือเปล่า?"ความโกรธบนใบหน้าของไป๋อวี้เจี๋ยหายไปและถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจอย่างมากแทน "คุณรู้ได้อย่างไรกัน? หรือว่าคุณสืบเรื่องของฉันเหรอ?"“ไม่ใช่ปน่” ก่อนที่เย่ซิวจะตอบ เธอก็ส่ายหน้าขึ้นก่อน “มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ และพวกเขาจะไม่แพร่งพรายมันออกไป”เธอคิดอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็มองเย่ซิวพร้อมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป "หรือว่าคุณยังรู้วิชาแพทย์ด้วย?"เย่ซิวพยักหน้า "ผมพอรู้บ้างนิดหน่อย คุณเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่ช่วงปีก่อน ๆ และมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล"ไป๋อวี้เจี๋ยถามอย่างรวดเร็ว "แล้วรักษาให้หายได้ไหม?"เธอปรึกษาแพทย์ชื่อดังหลายคนเกี
เมื่อมองจากด้านข้าง จะเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนจนทำให้คนตกใจเย่ซิวหยิบเข็มเงินที่พกติดตัวออกมา ให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์รออยู่ข้างนอก แล้วตัวเองก็เดินเข้าไปเมื่อกวาดสายตาไปรอบ ๆ เย่ซิวพบว่ามีเทียนและไฟแช็กอยู่ในห้องเขาจุดเทียนหนึ่งเล่ม แล้วพูดกับตัวเองว่า "โรงแรมของคุณดีจัง กลัวไฟดับถึงกับมีเทียนเตรียมไว้ แต่ทำไมต้องเป็นสีแดงล่ะ?"ใบหน้าของไป๋อวี้เจี๋ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไม่รู้จะตอบคำถามของเย่ซิวอย่างไร จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินหลังจากจุดเทียนแล้ว เย่ซิวก็ฆ่าเชื้อเข็มเงินทีละเล่ม จากนั้นจึงพูดกับไป๋อวี้เจี๋ยว่า "ถกเสื้อของคุณขึ้นมา"ไป๋อวี้เจี๋ยหันไปมองเขาด้วยสีหน้าระแวดระวัง "คุณจะไม่ฉวยโอกาสกับฉันหรอกใช่ไหม?"เธอไม่ได้มองใครอีกเลยเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่สามีของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แน่นอนว่ามีคนตามจีบเธอมากมายแต่คนเหล่านั้นเข้ามาเพื่อทรัพย์สมบัติของเธอ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่เล่นด้วย“ผมไม่ได้สนใจคุณ” เย่ซิวพูดตามความจริงแม้ว่าไป๋อวี้เจี๋ยจะสวยและมีเสน่ห์มากแต่ผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขาต่างก็สวยสะดุดตาหลายคนไม่มีใครด้อยไปกว่าเธอเลยแต่ไป๋อวี้เจี๋ยยังคงไม่ลดละความระมัดระว
เสียงกรีดร้องนี้ทำให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาในทันทีเธอมองไปที่ไป๋อวี้เจี๋ยที่ตื่นตระหนกและถามอย่างรวดเร็ว "คุณไป๋ คุณเป็นอะไร?"ไป๋อวี้เจี๋ยปิดหน้าอกของเธอแน่นแล้วพูดด้วยความโกรธมาก "เย่ซิว ไอ้คนสารเลวทำอะไรฉัน?”“เห็นได้ชัดว่ายกทรงฉันถูกถอดออกแล้ว แต่ตอนนี้มันถูกใส่กลับมาเหมือนเดิม ต้องเป็นเขาที่ฉวยโอกาสตอนที่ฉันหลับอยู่แน่!”เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอทั้งโกรธและเสียใจลู่เสวี่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี "คุณกังวลมากเกินไปแล้วค่ะ เป็นฉันที่ช่วยคุณใส่เสื้อผ้าเอง”“เขาออกจากห้องไปหลังจากฝังเข็มให้คุณเสร็จ และไม่ได้ทำอะไรที่น่ารังเกียจกับคุณเลย ฉันเอาหัวเป็นประกันได้”ไป๋อวี้เจี๋ยสงบลงเล็กน้อย "คุณพูดจริงเหรอ?"ลู่เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่นจากนั้นเย่ซิวก็เดินเข้ามา เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า "พฤติกรรมของคุณทำให้ผมนึกถึงคำพูดหนึ่ง"ไป๋อวี้เจี๋ยถามว่า "คำไหน?"“ผู้หญิงมั่นหน้า”ไป๋อวี้เจี๋ยโกรธจัด "ร้สาระ!"เย่ซิวยักไหล่ ขี้เกียจจะโต้เถียงกับเธออีก จึงถามว่า "ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับร่างกายของคุณบ้าง?"ไป๋อวี้เจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จาก
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมของคุณออกด้วยวิธีนี้ ร่องรอยของเขาและลู่เสวี่ยเอ๋อร์จึงหายไป`ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากลุ่มที่เพิ่งมาถึงจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับไป๋หยูเจี๋ยได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนร่วมในการดำเนินการในระดับที่ลึกซึ้งอีกด้วยเย่ซิวมองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างที่ไป๋อวี้เจี๋ยพูดจริง ๆ ทุกอย่างที่นี่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวผู้อยู่อาศัยแต่ละคนมีพื้นที่อิสระของตนเอง และได้รับความเป็นส่วนตัวในระดับสูง รับรองว่าพวกเขาจะไม่ถูกรบกวนอย่างแน่นอนเขาแอบพยักหน้ากับตัวเองไป๋อวี้เจี๋ยพาทั้งสองคนเข้าไปในห้อง“เป็นยังไงบ้าง? คุณสองคนพอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไหมคะ?”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์มองไปรอบ ๆ “ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณไป๋ที่รับเราเข้ามาร่วมด้วยนะคะ”เย่ซิวกวาดสายตาตรวจสอบทั่วทั้งห้องอย่างละเอียดหลังจากที่ไม่พบอันตรายด้านความปลอดภัย เขาก็พูดกับลู่เสวี่ยเอ๋อร์ “คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ และอย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมให้หนักด้วย”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้ว่าเย่ซิวต้องจากไปอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่อยากแยกจากกันเลย แต่เธอก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาเตือน "คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้ด้วย"เย่ซิวลูบหัวเธอแล
ใบหน้าของเสวี่ยเหมยเคร่งขรึมขึ้น "หุบปาก ใครใช้ให้เธอหยาบคายกับคุณเย่!"คนขับอยู่กับเสวี่ยเหมยมาหลายปีแล้วและไม่เคยดุเธอเลย แต่ตอนนี้เสวี่ยเหมยกลับดุเธอเพราะเย่ซิวเธอเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้ว่าเสวี่ยเหมยมักจะดูเข้าถึงได้ง่าย แต่เมื่อเธอจริงจังเธอก็น่ากลัวมากเช่นกันเสวี่ยเหมยกดสวิตช์กระจกถูกเลื่อนขึ้นกั้นระหว่างที่นั่งคนขับกับที่นั่งด้านหลังวิธีนี้จะทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นทางด้านหลังได้หากเป็นผู้ชายคนอื่นที่มีโอกาสได้อยู่กับเสวี่ยเหมยสองต่อสองเช่นนี้ เขาคงจะตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่แล้วแต่เย่ซิวกลับมีท่าทีสงบแม้ว่าเสวี่ยเหมยจะสวยและมีเสน่ห์ แต่เธอก็ยังไม่อยู่ในระดับที่จะทำให้เย่ซิวตื่นเต้นได้เสวี่ยเหมยมองไปที่เย่ซิว ในไม่กี่วินาทีสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น “คุณเย่ คุณทานข้าวหรือยังคะ? พอดีฉันมีอาหารอยู่ กินรองท้องสักหน่อยไหมคะ?""ยังครับ" เย่ซิวตอบเบา ๆ “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าคืนนี้มีอะไรต้องทำหรือเปล่า"เสวี่ยเหมยยิ้มและกล่าวว่า "คืนนี้ บุคคลสำคัญหลายคนในเมืองหลวงจะ
ในตอนนี้เอง เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่ซิว หากเธอก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตของเธอได้ถึงคราวหาไม่มือของเย่ซิวเลื่อนลงมาที่หัวใจของเธอและหยุดอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส“ผมไม่ชอบให้ใครมาวางแผนเล่นเล่ห์ หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”เสวี่ยเหมยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ "ฉันทราบค่ะ ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"เมื่อนั้นเย่ซิวจึงดึงมือออกจากหัวใจของเธอเธอหอบหายใจแรง เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากนั้นไม่นานเธอก็สงบสติอารมณ์ลงได้ และมองไปที่เย่ซิวด้วยความคับข้องใจเธอนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสาวงามแห่งเมืองหลวงไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจ มั่งคั่ง และเผด็จการแค่ไหน พวกเขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเธอ ทั้งอ่อนโยนและสุภาพกับเธอเป็นอย่างมากพวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังกับเธอ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนสวย ๆ อย่างเธอจะมีใครที่ไหนเหมือนกับเย่ซิวที่กระทำรุนแรงเช่นนี้ และในวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เย่ซิวปฏิบัติกับเธออย่างหยายคายในขณะที่เธอเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของเธอพลันแดงก
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน
เย่ซิวรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันทีพอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเสี่ยวไป๋ลอยอยู่กลางอากาศพลังวิญญาณในห้องถูกดูดเข้าไปหามันอย่างบ้าคลั่งไม่กี่วินาทีก็สูบพลังวิญญาณจนหมดทั้งห้องจากนั้นร่างของมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมขนาดใหญ่ แล้วค่อย ๆ ลอยลงสู่พื้นอย่างช้า ๆเย่ซิวยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เสี่ยวไป๋กำลังจะวิวัฒนาการอีกแล้วรอบที่แล้วเหมือนจะพัฒนาขึ้นไม่มากเท่าไหร่แต่สัญชาตญาณของเย่ซิวบอกว่ารอบนี้น่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียวเขารีบเอาน้ำพุวิญญาณที่เหลืออยู่เทราดลงไปบนรังไหมทันที ซึ่งมันก็ถูกดูดซึมหายไปอย่างรวดเร็วนี่อาจช่วยเร่งขั้นตอนวิวัฒนาการให้เร็วขึ้นได้เย่ซิวเดินไปอุ้มเจ้าเสี่ยวอวี่ที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมาเจ้าตัวนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ท้องของมันนี่เหมือนหลุมดำชัด ๆเย่ซิวเลยจัดเต็มอีกครั้ง เขากลั่นโอสถวิญญาณหยกมาอีกหมื่นเม็ดให้มันไว้กินเล่นทั้งสำนักอวิ้นหลิงคงไม่มีใครกล้าทำอะไรฟุ่มเฟือยอย่างเขาอีกแล้วล่ะในช่วงครึ่งเดือนหลังจากนั้น เย่ซิวก็หมกตัวอยู่แต่กับการกลั่นโอสถและฝึกฝนวิชาต่าง ๆข้างนอกเองก็เริ่มมีข่าวแพร่กระจายไปว่าเย่ซิวสามารถกลั่นโอสถวิญญาณหยกได้ควา
จากท่าทีและสีหน้าของทุกคน เย่ซิวก็พอเดาออกว่าโอสถนี่น่าจะหาได้ยากมากในตลาดไม่งั้นพวกเขาคงไม่แห่กันมาขอซื้อแบบนี้แน่เขาทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ผมก็อยากช่วยนะครับ แต่โอสถตัวนี้ตอนปรุงมันใช้พลังจิตเยอะมากวันหนึ่งผมปรุงได้ไม่กี่รอบเอง แถมวัตถุดิบก็หายากด้วย”ความหมายแฝงก็คือพวกคุณต้องเพิ่มเงินและเตรียมของมาเองซึ่งทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่และเข้าใจเจตนาของเขาทันที ก่อนจะรีบเสนอว่า“ถ้างั้นแบบนี้ดีไหม โอสถวิญญาณหยกหนึ่งเม็ด ฉันให้หนึ่งพันหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ส่วนวัตถุดิบเราจัดการเอง แบบนี้ตกลงไหม”เย่ซิวคำนวณในหัวอย่างไวต้นทุนของโอสถวิญญาณหยกต่อเม็ดอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งพันศิลาวิญญาณถึงจะรวมค่าแรงและพลังวิญญาณที่ใช้ก็ถือว่าต้นทุนต่ำมาก อย่างมากก็แค่เสียเวลาเฉย ๆเขาสามารถกลั่นได้เป็นหมื่นเม็ดในคราวเดียวถ้าขายให้คนพวกนี้หมื่นเม็ดก็เท่ากับว่าจะได้เงินถึงสิบกว่าล้านศิลาวิญญาณเลยทีเดียวกำไรขนาดนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่ากินขาดแต่เย่ซิวก็ยังไม่ตอบตกลงทันที และทำท่าลังเลอยู่รั่วอวิ๋นที่ยืนข้าง ๆ ตบไหล่เขาเสียงดัง “ยังจะลังเลอะไรอีกล่ะ?นี่มันโอกาสทองเลยนะ ได้ทั้งเงินได้ทั้งฝึกฝีมือ”เย่ซิวถ