“ท่านมีอะไรอยากให้ฉันจัดการไหมคะ?” เฉอเซียจื่อถูกเย่ซิวมองจนหัวใจเต้นแรง น้ำเสียงของเธอติดสั่นเล็กน้อยเย่ซิวยิ้ม "ไม่ต้องประหม่าขนาดนั้นหรอก ตอนนี้ฉันยังไม่มีความคิดที่จะฆ่าเธอ ยังต้องการคนในพื้นที่จำนวนหนึ่งมาทำงานให้ฉันด้วยขอแค่เธอช่วยฉันทำงานอย่างตั้งใจ เธอไม่เพียงแต่จะไม่ตาย กระทั่งอาจจะได้รับผลประโยชน์ที่เกินกว่าจินตนาการอีกด้วย"เฉอเซียจื่อเป็นผู้หญิงที่รู้จักประเมินสถานการณ์ หลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ เธอก็แสดงจุดยืนทันที "ท่านคะ ขอแค่เป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อท่านแน่นอน"“งั้นเธอก็คงจะรู้จักฉีจื้อหมิงเหมือนกันสินะ?”“รู้จักค่ะ เคยเจอกันหลายครั้ง”“ตอนนี้พาฉันไปพบเขา”“ค่ะ เชิญท่านทางนี้”เธอพาเย่ซิวออกไปจากที่นี่มีรถสภาพเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างนอกอุตสาหกรรมในประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ยังไม่พัฒนามากนัก รถยนต์เหล่านี้ล้วนถูกซื้อมาจากต่างประเทศไม่ต้องพูดถึงการขับรถยนต์ที่นี่ แค่ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปยังสถานที่ที่มีผู้หญิงมากมายยืนอยู่แล้วโบกมือให้ ก็จะมีผู้หญิงนับไม่ถ้วนที่เต็มใจจะติดตามคุณเย่ซิวนั่งอยู่ที่เบาะฝั่งผู้โดยสาร เฉอเซียจื่อเป็นคนขั
เย่ซิวแอบถอนหายใจเบา ๆ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่น่าสงสารทั้งนั้นเขาหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่งแจกจ่ายให้กับพวกเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมทั้งสองเดินขึ้นไปยังชั้นสาม แต่ดูเหมือนว่าพวกฉีจื้อหมิงจะยังมาไม่ถึงเฉอเซียจื่อถามความคิดเห็นของเย่ซิวก่อน จากนั้นจึงเลือกสั่งอาหารสองสามจานพร้อมกับเครื่องดื่มสองขวดราคาของอาหารที่นี่ก็แพงมาก อาหารแค่ไม่กี่จานกับเครื่องดื่มสองขวดก็มีราคาสูงถึงหนึ่งพันเหรียญหลงเถิงแล้วขณะที่ประเทศบ้านเกิดของพวกเขาจ่ายเพียงสองร้อยห้าสิบก็เพียงพอแล้วเย่ซิวนั่งครุ่นคิดในใจ หากเขาสามารถเข้าควบคุมที่นี่ได้สำเร็จจะพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางใดดีอย่างแรกเลยคือธุรกิจผิดกฎหมายทั้งหลายต้องถูกกวาดล้างให้สิ้นซากจากนั้นก็ต้องยกระดับกำลังป้องกันของประเทศนี้ให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลอย่างน้อยก็หลายล้านล้าน แม้ว่าบริษัทของเย่ซิวในตอนนี้จะทำเงินได้มาก แต่การแบกรับค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มกำลังสำรองของประเทศก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ก็ตามอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในตอนนี้คือหากสามารถควบคุมที่นี่ได้
ฉีจื้อหมิงและพรรคพวกเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมด้วยท่าทีโอ่อ่าและไม่เกรงใจใครพอกวาดตามองก็พบเย่ซิวกับเฉอเซียจื่อนั่งอยู่ตรงนั้นเขาชะงักไปเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นพวกนาย? แล้วพี่หลงล่ะ?”เขาเคยพบเฉอเซียจื่อมาก่อนผู้หญิงคนนี้ถูกใจเขามาก แต่เพราะเธอเป็นคนของพี่หลง เขาจึงไม่กล้าล่วงเกิน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างกัน แม้จะไม่มีโอกาสได้ครอบครองเฉอเซียจื่อ แต่พอได้เห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เขาก็จ้องมองเธอด้วยสายตาโลมเลียราวกับอยากมีพลังมองทะลุผ่านทุกสิ่งเฉอเซียจื่อไม่ได้พูดอะไร แต่หันไปมองเย่ซิวแทนเย่ซิวเอ่ยเสียงเรียบ “นายคือฉีจื้อหมิงใช่ไหม ตอบคำถามฉันสักสองสามข้อแล้วฉันจะไว้ชีวิตนาย”สีหน้าของฉีจื้อหมิงบึงตึ้งทันที เขาจ้องมองเย่ซิวด้วยสายตาแหลมคม “แกเป็นใคร?”ด้วยตำแหน่งของเขาในอดีต เขาไม่เคยมีโอกาสได้พบกับเย่ซิวมาก่อน จึงจำไม่ได้ว่าผู้ชายตรงหน้านี้คือคนที่ทำให้หกตระกูลใหญ่ที่เคยรุ่งโรจน์ต้องตกต่ำถึงขั้นหนีหัวซุกหัวซุนมายังประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้“ฉันเป็นใครนายไม่มีสิทธิ์รู้ รู้แค่ว่าต้องตอบคำถามฉันก็พอ”ฉีจื้อหมิงหัวเราะเสียงดัง แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความเ
เย่ซิวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทำลายแขนขาเขาซะ อย่าให้ส่งเสียงออกมาได้”เฉอเซียจื่อทำตามคำสั่งทันทีเธอพุ่งเข้าไปใกล้ฉีจื้อหมิง ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเขาไว้ และใช้อีกข้างหนึ่งโจมตีอย่างรุนแรงจนกระดูกแขนทั้งสองข้างของเขาแตกละเอียด จากนั้นเธอก็ใช้เท้ากระหน่ำเตะจนกระดูกขาทั้งสองข้างของเขาแตกหักในชั่วพริบตาฉีจื้อหมิงเจ็บปวดจนดวงตาเหลือกขาว เกือบจะหมดสติไปในทันทีแต่เฉอเซียจื่อใช้เล็บยาวขูดไปที่ลำคอของเขาจนเกิดรอยแผลเลือดซิบเป็นทางยาว ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบจนได้สติกลับมา“ถ้าไม่อยากตายก็อยู่นิ่ง ๆ!”หลังจากได้เห็นพลังฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวของเย่ซิวแล้ว เฉอเซียจื่อก็ไม่รู้สึกกลัวการแก้แค้นจากตระกูลฉีอีกต่อไป“ฉัน…ฉันยอมแล้ว! ฉันจะพูดทุกอย่าง ขอร้องล่ะอย่าฆ่าฉันเลย!”ตอนนี้ฉีจื้อหมิงตกใจกลัวจนสิ้นท่า เขารู้ตัวแล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับคนโหดเหี้ยม และไม่กล้าทำตัวโอหังอีกต่อไปเย่ซิวเอ่ยถาม “แกพอจะรู้ความเคลื่อนไหวของตระกูลใหญ่ในตอนนี้หรือเปล่า แล้วพวกเขาจะรวมตัวกันอีกทีเมื่อไหร่!”ฉีจื้อหมิงกลืนน้ำลายเพื่อลดความเจ็บปวดในร่างกายก่อนจะตอบ “เหมือนว่าช่วงนี้พวกเขากำลังระดมทุนเพื่อซื้ออาวุธหรืออะ
ที่หน้าประตูร้านอาหาร มีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนสง่างามโดดเด่นสะดุดตาอยู่เธอถอดเสื้อโค้ตยาวออกเผยให้เห็นชุดรัดรูปหนังสีดำที่สวมอยู่ด้านใน โชว์รูปร่างอันเร่าร้อนสะกดทุกสายตาเรียวขาของเธอยาวและตรงดั่งแกะสลัก ดูทรงพลังอย่างน่าประทับใจช่วงเอวคอดกิ่วพอดีมือและช่วงอกที่โดดเด่นจนใครต่อใครต้องยอมสยบเธอมีผมยาวสีม่วงแดงที่โดดเด่นสะดุดตา ดวงตาของเธอไม่ใช่สีดำสนิทเหมือนคนทั่วไป แต่กลับแฝงประกายสีฟ้าอ่อน ๆ ทันทีที่หญิงสาวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น อุณหภูมิรอบด้านก็เหมือนจะลดลงไปหลายองศาในทันใดเจ้าของร้านอาหารรีบก้าวออกมาต้อนรับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง “ในที่สุดพี่หวังก็มา พวกเขาอยู่บนชั้นดาดฟ้า พลังฝีมือแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นที่สามารถทำให้เฉอเซียจื่อยอมรับใช้อย่างเต็มใจ แบบนี้ก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ท่านมาคนเดียวจะไหวเหรอครับ?”หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่หวังยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันจัดการเอง ต่อให้พวกนั้นเป็นถึงระดับปรมาจารย์ หากไม่ใช่ระดับแปดหรือเก้าก็ไม่คณามือฉันหรอก”เจ้าของร้านอาหารเมื่อได้ยินดังนั้นก็เบาใจลงทันทีหญิงสา
เย่ซิวมองผู้หญิงคนนี้ด้วยความสนใจ “ในตัวคุณมีพลังบางอย่างที่แปลกประหลาด ไม่ใช่กำลังภายใน แต่กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่ากำลังภายในเสียอีก อีกทั้งร่างกายของคุณก็ดูไม่เหมือนคนทั่วไป คล้ายกับว่าเคยถูกดัดแปลงอะไรบางอย่างมา สามารถบอกผมได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”เหตุผลที่เย่ซิวยังไม่เดินจากไปในทันทีเพราะพลังจิตของเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของหญิงคนนี้พี่หวังเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเธอก็แสดงอาการตกตะลึงอย่างชัดเจน จังหวะการเต้นของหัวใจพลันเร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเธอจ้องเย่ซิวอย่างเอาเป็นเอาตาย “นายเป็นใคร? ใช่คนที่พวกเธอส่งมาหรือเปล่า?”เย่ซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “‘พวกเธอ’ ที่คุณพูดถึงคือใครล่ะ?”“นายไม่ใช่คนที่พวกเธอส่งมาเหรอ?”พี่หวังย่อตัวลง ร่างกายเต็มไปด้วยความระแวดระวัง กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงเครียดราวกับเสือดาวที่พร้อมจะกระโจนใส่เหยื่อได้ทุกเมื่อพร้อมกับพลังงานอันดุดันที่แผ่ออกมาจากตัวเธอเย่ซิวไม่ใส่ใจกับท่าทางคุกคามของเธอแม้แต่น้อย เขากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าคิดลงมือกับผมเลย มันจะไม่เป็นผลดีต่อคุณหรอก”สิ่งที่เย่ซิวสนใจไม่ใช่ท่าทีดุดันของเธอ แต่เป็นพ
“นักเวท คุณคือนักเวทในตำนานใช่ไหม!”เย่ซิวมองเธอ “นักเวทงั้นเหรอ?”“ใช่แน่ ๆ!” เฉอเซียจื่อพยักหน้าหงึก ๆ “หอกน้ำแข็งที่ปล่อยออกมานั่นคือพลังของนักเวทที่อยู่ในตำนานโบราณไม่ใช่เหรอ?”“ฉันเป็นแค่นักเวทระดับหนึ่ง” พี่หวังจ้องเย่ซิวอย่างไม่ละสายตา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “นายก็เป็นนักเวทใช่ไหม? นายแข็งแกร่งกว่าฉันมาก แบบนี้ต้องเป็นหัวหน้าของพวกเธอแน่ ๆ นายคิดจะมาจับฉันใช่ไหม?!”“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงใคร” เย่ซิวเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบ “แต่ผมบอกได้แค่ว่าผมไม่ใช่นักเวท สิ่งที่แสดงให้เห็นเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นอาคมต่างาหก”“อาคม… มันคืออะไร?” พี่หวังมีสีหน้าสับสน “นายไม่ใช่คนจากประเทศจ้านอิงตี้!”“ผมเป็นคนหลงเถิงโดยกำเนิด” เย่ซิวโบกมือเบา ๆ น้ำแข็งที่ลอยรอบตัวเธอก็มลายหายไป จากนั้นก็ถามต่อ “เล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”เมื่อเธอมั่นใจแล้วว่าเย่ซิวไม่ได้มาจับตัว เธอจึงค่อยโล่งใจเธอบิดเอวที่แสนเย้ายวนของเธอแล้วเดินอวดเรียวขาที่เรียวตรงและดึงดูดสายตาเข้ามาหาเย่ซิว ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเขา“ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อหวังซวง พ่อของฉันเป็นคนหลงเ
ส่วนในเรื่องผลประโยชน์ ถ้าคุณติดตามผม อย่างน้อยคุณจะมีพลังเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนนี้เป็นสองเท่า”หวังซวงตื่นเต้นขึ้นมาทันที “นายพูดจริงหรือเปล่า?”เย่ซิวกวักมือเรียกเธอ “คุณมาให้ผมตรวจร่างกายคุณหน่อย”แม้การใช้พลังจิตจะสามารถตรวจสอบได้ แต่มันไม่สะดวกเท่ากับการสัมผัสทางร่างกายโดยตรงหวังซวงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาเย่ซิวและก้มหน้าถาม “นายจะตรวจยังไง? ฉันต้องถอดเสื้อผ้าหรือเปล่า?”เธอแอบคิดในใจว่าถ้าเย่ซิวบอกว่าต้องถอด เธอจะหันหลังเดินออกไปทันทีเย่ซิวส่ายหน้าพลางยิ้ม “ไม่ต้องหรอก คุณยื่นมือมาก็พอ”หวังซวงยื่นมือออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักมือของเธอสวยงาม นิ้วเรียวยาว พออยู่ใต้แสงไฟแล้วก็สะท้อนแสงเงาอย่างอ่อนโยนร่างกายของเธออบอวลไปด้วยกลิ่นกายอันแปลกประหลาด มีกลิ่นหอมละมุนคล้ายกุหลาบ แต่กลับแฝงด้วยความนุ่มนวลเหมือนน้ำนม เป็นกลิ่นที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างประหลาดเย่ซิวจับข้อมือของเธอไว้ ผิวของเธอเย็นเล็กน้อย แต่สัมผัสนั้นกลับนุ่มลื่นน่าพิศวงหวังซวงสะดุ้งเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกชายแปลกหน้าจับมือ ความรู้สึกแปลกใหม่บางอย่างพลันก่อตัวขึ้นในใจใบหน้าขอ
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน