“นี่คือตัวอย่าง ลองเอาไปขายดูก่อนนะ ถ้ามีคนสนใจก็จดรายการ พี่จะไปเอาของมาให้”
“ตกลงค่ะพี่สาม”
โจวเม่ยเม่ยยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือไปรับของจากพี่สาว และรีบเก็บเข้ากระเป๋า ทว่าสายตากลับเห็นสหายอย่างตานโมว่ จึงได้กวักมือเรียก “อาโมว่ มานี่สิ ยืนทำไมตรงนั้น”
ตานโมว่จึงเดินเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างไม่รีรอ เพราะเขามีจดหมายจากพี่ชายมาถึงนายหญิง เขาเลยเลือกที่จะมาดักรอหน้าโรงเรียน
“สวัสดีครับนาย เอ่อ พี่เพ่ยชิง” ตานโมว่เกือบหลุดคำว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยออกมา ดีที่ยั้งคำไว้ทัน
“มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ใหญ่ฝากจดหมายมาครับ”
“อืม ขอบใจมาก ยังไงฝากดูเม่ยเม่ยด้วยนะ”
พอได้ยินว่าตานเต๋อคงฝากจดหมายมาให้จึงยื่นมือมารับ ก่อนมาจึงเอ่ยฝากฝังให้ดูแลน้องสาว
“ครับพี่เพ่ยชิง”
“เอาละ เข้าโรงเรียนกันได้แล้ว ส่วนนี่อาหารเที่ยง แบ่งกันกินนะ”
โจวเพ่ยชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วปั่นจักรยานไปยังตลาดมืดพอมาถึงโจวเพ่ยชิงจึงแอบหลบเข้ามิติเพื่ออ่านจดหมายของตานเต๋อคง ในนั้นเขียนว่าเขาได้คนแล้วและพร้อมเปิดร้านวันนี้ ส่วนเรื่องหาลูกค้าเขาขอเวลาอีกสองสามวันเพื่อให้ร้านอยู่ตัวสักเล็กน้อย
“ไม่มีคำถามเรื่องสินค้า ถ้าเป็นอย่างนี้นายและฉันสามารถร่วมงานกันได้ เต๋อคง” หญิงสาวพอใจมาก ที่ตานเต๋อคงไม่มีคำถามเรื่องสินค้า ทั้ง ๆ ที่เธอสามารถหาสินค้ามาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากอ่านจดหมายจบแล้ว จึงปลอมตัวเข้าตลาดมืดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอตั้งร้านค้าให้ห่างจากร้านของตน เพื่อไม่ให้แย่งลูกค้ากันเอง การค้าในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนเช่นทุกครั้ง ครั้งนี้เธอยังคงมีสินน้ำใจติดมือให้กับคนดูแลทั้งสองคนเช่นเดิม หลังจากขายของหมดแล้ว เธอจึงเดินเล่นอยู่ในตลาดมืดอีกพักใหญ่ ก่อนจะเดินไปดูร้านค้าของตนเอง ที่ใช้ชื่อว่าเพ่ยเพ่ย
เวลานี้ร้านเพ่ยเพ่ยแน่นไปด้วยลูกค้ามากมาย ชายทั้งสามคนต่างช่วยกันหยิบจับของให้ลูกค้ามือระวิง ส่วนตานเต๋อคงรับเงินและทอนเงินจนน่าปวดหัวเช่นกัน โจวเพ่ยชิงคิดว่า หากตานเต๋อคงต้องไปหาลูกค้าและติดต่องานข้างนอก คนงานย่อมต้องไม่เพียงพอ ทำให้เธอคิดถึงพี่ชายทั้งสองคน อีกอย่างเธออยากให้พี่ชายฝึกเรื่องการค้าด้วย
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะให้พี่ใหญ่หรือพี่รองมาดูแลร้านอย่างไร แม้ว่าคอมมูนจะไม่บังคับว่าครอบครัวหนึ่งจะต้องทำงานหลายคน ขอเพียงครอบครัวละหนึ่งคนก็พอ แต่ถ้าจะให้พ่อทำงานคนเดียวย่อมต้องไม่ไหว
ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าอย่างนั้นต้องรออีกสักพัก หรืออีกสักหนึ่งเดือน เพื่อไม่ให้ทางบ้านสงสัยว่า เธอหาร้านค้าแห่งนี้มาได้อย่างไร และเธอหาสินค้าพวกนี้มาจากไหน และเงินมากขนาดนี้เธอเอาจากไหนหามาลงทุน นอกเสียจากว่าเธอจะบอกความจริงกับครอบครัวแต่เธอไม่อยากให้พ่อแม่ต้องกังวล ปัญหานี้จึงแก้ไม่ตกว่าจะเอายังไง
“กว่าจะขายของเสร็จคงอีกหลายชั่วโมง อย่างนั้นไปส่งของให้ป้าซือก่อนดีกว่า ยังไงพรุ่งนี้ครบกำหนดส่งของแล้ว ไปก่อนเวลาคงไม่เป็นอะไร”
หญิงสาวตบตีกับความคิดของตนเองว่าจะอยู่รอคุยกับ
ตานเต๋อคงก่อน หรือจะไปส่งของก่อนดี ทว่ากลับมีเสียงใครบางคนเข้ามาทักทาย ทำให้โจวเพ่ยชิงต้องหันกลับไปมอง
“สวัสดีแม่ค้า จำฉันได้ไหม”
“อ้อ… คุณลูกค้านั่นเอง มีอะไรให้แม่ค้าคนนี้รับใช้คะ”
“พอดีฉันอยากคุยเรื่องเสื้อผ้าน่ะ ฉันอยากจะรับไปขายต่อ แต่แม่ค้าอย่าเพิ่งตกใจนะ ฉันไม่ได้ขอลดราคา เพียงแต่ต้องการปริมาณมาก พอจะหาให้ได้ไหม”
“ลูกค้าต้องการจำนวนเท่าไรค่ะ และขนาดไหนบ้าง”
“เสื้อและกางเกงคละขนาด อย่างละร้อยห้าสิบตัว ชุดแบบผู้หญิงคละแบบหนึ่งร้อยชุด พอไหวไหม อ้อ ยังมีเครื่องสำอางอีกหนึ่งร้อยชุด เอาแบบวันนั้นนะ และขอสบู่อีกสามร้อยก้อน”
“ต้องการมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“อืม แม่ค้าพอจะหาได้ไหม ฉันเห็นร้านเปิดใหม่ไม่แน่ใจว่าคุณภาพเหมือนกันไหม เลยไม่กล้าเข้าไปซื้อ เห็นแม่ค้าพอดีเลยเข้ามาซื้อกับแม่ค้าดีกว่า ว่าแต่ร้านนั้นมีสินค้าเยอะมากเลยนะ”
“อย่างนั้นเดินตามมาเลยค่ะ ฉันจะคุยกับคนดูแลร้านให้”
คำสั่งซื้อจำนวนมากขนาดนี้ เธอเลือกที่จะพาลูกค้าไปคุยในร้านดีกว่า เผื่อครั้งหน้าลูกค้าต้องการสั่งเพิ่ม จะได้ไม่ต้องรอเธอ
“พี่เต๋อคงว่างหรือเปล่า ฉันพาลูกค้ามาให้” โจวเพ่ยชิงเดินเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงเรียก
พอได้ยินเสียงเรียกชายหนุ่มจึงรีบเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงรีบลุกขึ้นมาด้วยท่าทางนอบน้อม
เนื่องจากเวลานี้ลูกค้าเริ่มบางตา และนายหญิงก็ไม่ได้ห้ามให้เขาเรียก เขาจึงเรียกว่า
“นายหญิง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“ลูกค้าคนนี้ต้องการซื้อสินค้าจำนวนมาก มีเสื้อ กางเกงบุรุษ ชุดสตรี และเครื่องสำอาง เอารายการและราคาขายส่งให้ลูกค้าดูด้วยนะ หากลูกค้าไม่สะดวกนำกลับไป ก็ให้คนในร้านไปส่ง ว่าแต่ของในร้านพอไหม ถ้ายังไงรบกวนลูกค้ารอหน่อยนะคะ หรือทิ้งที่อยู่ไว้ได้ไหม จะให้คนนำไปส่งให้”
“อย่าบอกนะว่านี่คือร้านของแม่ค้า ถ้าใช่ละก็จะสะดวกมากเลย วันนี้ฉันยังกังวลว่าถ้าซื้อสินค้าไปแล้ว เกิดของหมดจะตามหาแม่ค้ายังไง” ลูกค้าท่านนี้ดีใจไม่น้อย เธอยังกังวลว่าหากขายรอบนี้หมดแล้วจะทำอย่างไร และจะหาแม่ค้าจากที่ไหน
ความจริงแล้วลูกค้าคนนี้เป็นเพียงแม่บ้าน แต่เพราะครั้งนั้นซื้อเสื้อผ้าไปฝากสามี รวมถึงเครื่องสำอางไปฝากคนรู้จัก กลายเป็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยสอบถามและอยากได้เหมือนกัน เลยนึกถึงการค้าในครั้งนี้ขึ้นมา
“จะว่าใช่ก็ได้ค่ะ แต่คุณลูกค้าทำเป็นไม่รู้ก็ได้นะ ส่วนราคาฉันจะให้ราคาขายส่ง เพราะจำนวนที่คุณต้องการซื้อนั้นไม่น้อยเลย”
โจวเพ่ยชิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทำให้ลูกค้าคนนี้ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เพราะเธอสามารถขายได้กำไรเพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่เวลานี้เหว่ยซ่าน เหวินเทา ซีหลาย กลับตกใจไปแล้ว เมื่อเจ้านายตัวจริงโผล่หน้ามาแบบไม่ส่งสัญญาณมาก่อน ทั้งสามจึงหันไปมองหน้าสหายของตนเพื่อขอคำยืนยัน ตานเต๋อคงทำเพียงพยักหน้ากลับเท่านั้น เพื่อยืนยันว่านี่คือนายหญิงเพ่ยเพ่ยตัวจริงเสียงจริง
“โอ๊ะ! ได้เลย ฉันไม่พูดหรอก ฉันชื่อเจียหมิ่นยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันเพ่ยเพ่ยค่ะ เป็นเจ้าของร้านเพ่ยเพ่ยแห่งนี้ หากพี่
เจียหมิ่นต้องการสินค้าชนิดไหนเพิ่มเติม สามารถแจ้งพี่เต๋อคงได้เลย ทางร้านสามารถหาให้ได้ทุกอย่าง แม้บางอย่างอาจจะไม่เหมือนเสียทีเดียวแต่รับรองเรื่องคุณภาพค่ะ”
โจวเพ่ยชิงเลือกที่จะแนะนำตนเองว่าชื่อเพ่ยเพ่ย เรื่องทำการค้าเธอไม่อยากให้ใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงมากนัก สาเหตุหลักคือไม่อยากให้กระทบต่อชื่อเสียงและหน้าที่สามี
“ขอบใจมากนะเพ่ยเพ่ย ความจริงแล้วสามีพี่ทำงานเป็นผู้จัดการโรงงานเย็บผ้า เวลานี้อย่างที่รู้ สถานการณ์บางทีไม่สู้ดี ชาวบ้านขาดแคลน ดังนั้นเรื่องที่จะหาผ้าม้วนเพื่อมาตัดเย็บนั้นยากมาก ต่อให้จะมีชาวบ้านบางส่วนเลี้ยงหม่อน แต่เวลานี้ผลผลิตกลับมีน้อยมาก และโรงงานเย็บผ้าต่างก็แย่งกัน ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานตัดเย็บ เรื่องนี้ทำให้สามีพี่กลุ้มใจ ไม่น้อย หากยังหาผ้าม้วนเพื่อมาตัดเย็บไม่ได้ หากยังเป็นแบบนี้ เจ้าของโรงงานคงจะไล่สามีพี่ออกแน่”
เจียหมิ่นเผยสีหน้ากังวล นี่เป็นอีกเหตุผลที่เธอคิดจะทำการค้า เพราะต้องการช่วยสามีหาเงิน เกิดวันไหนสามีโดนไล่ออก ทุกคนในครอบครัวจะได้ไม่อดตาย
“นายหญิง” ตานเต๋อคงมองเห็นลู่ทางที่จะทำการค้าครั้งใหญ่ จึงเอ่ยเรียกนายหญิงของตน ทว่าโจวเพ่ยชิงทำเพียงขยิบตากลับ และให้เขารอดูเหตุการณ์ต่อจากนี้
“ฉันขอถามได้ไหม ในเมื่อโรงงานตัดเย็บเป็นของรัฐ แล้วรัฐไม่จัดการปัญหาเรื่องวัตถุดิบเส้นด้ายหรือว่าผ้าสำเร็จให้เหรอ”
“โรงงานนี้ไม่ใช่ของรัฐเสียทีเดียว เพียงแค่เจ้าของประมูลสัมปทานมาได้และส่งสินค้าให้กับรัฐตามที่รัฐแจ้งมา ซึ่งผลผลิต
ปีนี้ได้น้อยมาก เนื่องจากหม่อนที่เลี้ยงตายไปแทบไม่เหลือ ทำให้เจ้าของโรงงานต้องหาซื้อผ้าสำเร็จเพื่อส่งเข้าโรงงาน และหน้าที่นี้ย่อมต้องตกเป็นของผู้จัดการอย่างสามีพี่ แต่ปัญหาคือยังหาซื้อไม่ได้ ไม่ว่าจะสอบถามไปยังโรงงานที่พอรู้จัก กลับได้คำตอบเหมือนกันหมด ทุกที่แทบจะขาดแคลนผ้าสำเร็จนี่แหละ”
สาเหตุที่รู้ก็เพราะสามีมาบ่นให้ฟังตลอด เธอเองก็หาลู่ทางทำกินเพื่อช่วยสามีหาเงินเช่นกัน
โจวเพ่ยชิงมองหน้าคนสนิทของตนเอง ตานเต๋อคงคล้ายจะเข้าใจความคิดของเจ้านาย และเอ่ยขึ้น “นายหญิงครับ อย่างนั้นผมจะตัดผ้าตัวอย่าง และขอเข้าพบผู้จัดการพรุ่งนี้ได้ไหม ยังไงรบกวนคุณนายท่านนี้นัดหมายผู้จัดการให้ด้วยนะครับ”
“จริงเหรอ คุณและเพ่ยเพ่ยสามารถจัดหาผ้าสำเร็จให้ได้
ใช่ไหม” น้ำเสียงของเจียหมิ่นตื่นเต้นที่จนไม่อาจปิดบังความรู้สึกได้ เมื่อเห็นทางรอดของสามี
“ร้านเพ่ยเพ่ยมีทุกอย่างที่ต้องการค่ะพี่เจียหมิ่น”
โจวเพ่ยชิงตอบกลับ เธอมีห้างสรรพสินค้าและร้านค้ามากมายส่วนตัวในมิติ นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ
จากนั้นตานเต๋อคงจึงจัดสินค้าที่เจียหมิ่นสั่งซื้อ โดยเจียหมิ่นให้ไปส่งยังที่พักของเธอ เพื่อให้ชายหนุ่มรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปเจอกับสามีที่ไหน จะว่าเธอใจดำหรือเห็นแก่ตัวก็ไม่ผิด ที่ไม่คิดจะให้ไปนัดหมายกันที่โรงงานในเรื่องนี้ เนื่องจากว่าเจ้าของโรงงานประกาศแล้วว่าใครที่จัดหาผ้าสำเร็จและวัตถุดิบได้จะเลื่อนตำแหน่งให้
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เจียหมิ่นจึงจ่ายเงินตามจำนวนก่อนจะขอตัวกลับเพราะรีบไปแจ้งข่าวนี้ให้กับสามีทราบ
หลังจากจัดการงานตรงหน้าเสร็จแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงไม่ได้
ไปส่งของให้แม่บ้านซือ เธออยู่รอจนลูกค้าหมดร้านเพื่อคุยงานกับ
ทุกคนต่อ
“เอาไงต่อครับนายหญิง หากให้ผมแนะนำ เราควรทำสัญญาเป็นผู้จัดส่งผ้าสำเร็จพวกนี้ให้กับโรงงานอย่างน้อยสามปี นายหญิงคิดเห็นว่ายังไง” ตานเต๋อคงเสนอความคิดเห็นเรื่องการค้าครั้งนี้
หากทำการซื้อขายเพียงครั้งเดียว แล้วเกิดต่อไปไม่มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงหม่อนอย่างนั้นทางนายหญิงจะเสียผลประโยชน์นะสิ ดังนั้นเรื่องการทำสัญญาจึงต้องสัญญาเป็นระยะยาวเท่านั้น
“ฉันเองคิดเหมือนกันว่าเราควรขอสัญญาระยะยาว อีกทั้งเราไม่จำเป็นต้องง้อลูกค้าเลยสักนิด ในเมื่อเรามีสินค้าจำนวนมาก และหากเป็นไปได้ เราควรจะขยายตลาดเรื่องผ้าสำเร็จ เมื่อครู่นี้ฉันได้ยินพี่เจียหมิ่นบอกว่า มีอีกหลายโรงงานที่เจอปัญหาเดียวกัน ถ้าเราถือครองตลาดตรงนี้ได้ เราจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเรื่องนี้ทันที” จะมองว่าเธออยากขยายอำนาจและต้องการสร้างอิทธิพลคงไม่ผิด ในเมื่อผลประโยชน์อยู่ตรงหน้าใครไม่คว้าไว้ก็บ้าแล้ว
ทว่าก่อนที่จะมีใครพูดอะไร โจวเพ่ยชิงกลับพบเจอคนรู้จักที่กำลังเดินเข้ามา เท่าที่ดูจากท่าทางทั้งสองน่าจะมีความสัมพันธ์เกินคำว่าคนรู้จัก
“ฉันขอหลบเข้าด้านหลังก่อนนะ ช่วยจับตาดูผู้หญิงคนนั้นให้หน่อยนะพี่” เมื่อพูดจบจึงรีบเดินเข้าหลังร้านทันที ปล่อยให้ลูกน้องได้แต่มองตามด้วยความงุนงง
“มีเสื้อผ้าขายด้วยใช่ไหม ฉันอยากได้ชุดสวย ๆ สักสามสี่ชุด” หญิงสาวแต่งตัวดีคล้ายกับคนมีเงินถามขึ้นมา พร้อมกับเหยียดสายตามองตานเต๋อคงอย่างรังเกียจ เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงคนงาน“สักครู่ครับ” ตานเต๋อคงตอบกลับก่อนส่งสายตาให้ลูกน้องเหว่ยซ่านพยักหน้ารับ ก่อนจะไปหยิบสมุดภาพแบบชุดผู้หญิงออกมาให้“สวย ๆ ทั้งนั้นเลย พี่ซื้อให้ฉันได้ไหม”“ได้สิ ซินหงอยากได้ชุดไหนก็เลือกเอาเลย พี่ซื้อให้”ภาพคลอเคลียของทั้งสองคน ทำให้โจวเพ่ยชิงที่แอบมองอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว ใช่แล้ว! ซินหงคนนี้ก็คือสะใภ้สามบ้านโจว หรือน้องสะใภ้สามีเธอนั่นเอง ไม่คิดว่าสะใภ้สามจะกล้าคบชู้ ทั้งที่ลูกสาวอายุเพียงสามขวบเท่านั้น แต่ผู้ชายคนนี้รู้หรือเปล่า ว่าหญิงสาวที่ตนคบหาด้วยนั้นมีครอบครัวอยู่แล้ว“ฉันเอาสี่ชุดนี้ ราคาชุดเท่าไร”“ชุดละสามสิบหยวนครับ รอสักครู่ ผมขอไปดูว่าขนาดที่ลูกค้าต้องการนั้นมีหรือไม่” เหว่ยซ่านตอบกลับ ก่อนจะเดินหลบเข้าหลังร้านเพื่อไปเอาชุดทั้งสี่มาให้ลูกค้าโจวเพ่ยชิงที่แอบมองอยู่เมื่อเห็นลูกน้องเดินเข้ามาหยิบชุด จึงเอ่ยห้ามไว้ และสั่งงานบางอย่าง“พี่เหว่ยซ่าน พี่พอจะรู้จักใครไหม ช่วยตามสืบหญิงชายคู่นี้ให้หน่อยว่าพั
“ครับ ราคานี้ และไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหา เวลานี้นายหญิงคิดเรื่องขอใบอนุญาตการค้า เพียงแค่ต้องรอเวลาอีกหน่อย ส่วนเรื่องราคาอาจจะขยับขึ้นไปเล็กน้อย เพราะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐ หวังว่าผู้จัดการหวูคงจะเข้าใจ”นี่เป็นการเจรจาธุรกิจในแบบฉบับของตานเต๋อคงเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายทำสัญญาหลายปี ส่วนเรื่องราคาเท่าที่คุยกับนายหญิงอาจจะขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อนำไปจ่ายภาษีให้กับภาครัฐ แต่ถามว่าทุกอย่างไหมที่จะขึ้นทะเบียนการค้า ตอบเลยว่าคงไม่ เพราะมีบางส่วนที่ค้าขายในตลาดมืด และนั่นไม่ต้องจ่ายภาษีนอกจากค่าเช่าร้านและค่าจ้างคนงาน เรื่องนี้เขาได้ปรึกษานายหญิงเรียบร้อยแล้วเรื่องการต่อรองและเจรจาการค้าครั้งนี้“แล้วทางคุณตานและนายหญิงของคุณมองไว้หรือไม่ว่าสัญญาแต่ละฉบับจะทำเป็นรายเดือนหรือรายปี”“เรื่องซื้อขายผ้าจะไม่มีสัญญารายเดือนครับ นายหญิงต้องการทำสัญญารายปี รายสามปี และรายห้าปีครับ แต่นายหญิงมีข้อเสนออีกอย่างมาให้ คือการส่งวัตถุดิบเข้าโรงครัวของโรงงาน ทางร้านเพ่ยเพ่ยสามารถจัดหาวัตถุดิบให้ได้ตามที่ต้องการเช่นกัน”“รวมถึงเนื้อและธัญพืชใช่ไหม”“ครับ นี่คือรายการที่ทางร้านสามารถจัดหาได้” ตานเต๋อคง
เย็นวันนี้โจวเพ่ยชิงและนางซูหนานทำอาหารหลายอย่าง ส่วนหนึ่งแบ่งไปบ้านโจว และส่วนหนึ่งให้ลูกชายคนรองแบ่งเอาไปบ้านหลี่ เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า โจวเพ่ยชิงจึงเอ่ยเรื่องที่คุยกับนางซูหนานเมื่อตอนบ่ายให้ทุกคนฟัง“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานตอนที่ฉันค้าขายในตลาดมืดกลับเจอเข้ากับซินหง เธอมากับผู้ชายคนหนึ่ง ดูสนิทสนมกันไม่น้อย ด้วยสายตาอันแหลมคมของฉัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา นี่แหละคือปัญหาที่ฉันคิดไม่ตกตั้งแต่เมื่อวาน เพราะกลัวสิ่งที่ฉันคิดไม่ใช่เรื่องจริง” ซึ่งคำพูดนี้ไม่ผิดไปจากที่คุยกับนางซูหนานเลยสักประโยคเดียว“น้องหมายความว่ายังไง เพ่ยชิง”โจวว่านปิงเอ่ยถามน้องสาวสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่คิดมาก่อนว่าสะใภ้สามบ้านหลี่จะทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างนี้ และถ้าไม่ใช่เรื่องจริงเพ่ยชิงคงไม่กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น“พี่รอง ไม่ต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว ฉันอายุแค่สิบห้ายังรู้ความหมายที่พี่สามบอกเลยว่าพี่ซินหงมีคนอื่น” เม่ยเม่ยพูดออกความเห็นขึ้นมาอย่างแก่นเซี้ยว“เดี๋ยวเถอะ เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่านออกความคิดเห็นเรื่องนี้ พี่รองเขาน่าจะฉลาดคิดเองได้” นางซูหนานเอ่ยปากดุลูกสาวคนเล็ก อาย
เมื่อมาถึงโจวเพ่ยชิงเอาหลักฐานมาให้พร้อมกับที่อยู่บ้านพักของทั้งสองคน“ได้มาแล้วพี่ใหญ่ พี่รอง” เธอส่งรูปถ่ายให้พี่ชายทั้งสองดู พร้อมกับที่อยู่ของบ้านหลังนั้น “คนที่เขาสืบเรื่องนี้ เขาบอกว่าซินหงนั้นลาออกจากงานเมื่อสองเดือนก่อนเพราะชายคนนั้นรับเลี้ยง อีกทั้งชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว เป็นนายช่างของบริษัทรับเหมาที่มาทำงานที่เมืองนี้”“เลว เลวที่สุด” โจวเทียนอี้เอ่ยอย่างแค้นเคืองเขาไม่เคยเห็นใครหน้าด้านอย่างนี้มาก่อน ตัวเองมีลูกและสามีแล้ว ยังทำตัวสำส่อนไปข้องเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาอย่างนี้แต่พอนึกถึงหลี่เหวินเสียน ก็อดที่จะสงสารไม่ได้“เราเอายังไงกันดีพี่ใหญ่ เพ่ยชิง” โจวว่านปิงแค้นเคืองไม่แพ้กัน ก่อนจะเอ่ยถามความเห็นของพี่ชายและน้องสาว“ในนั้นมีเบอร์โทรแนบมาด้วย น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านภรรยาของนายช่างคนนั้นไหม เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”โจวเพ่ยชิงรับอาสาที่จะโทรไปตามเบอร์โทรนั้นเอง เธอมั่นใจว่าเบอร์โทรที่เขียนไว้ น่าจะเป็นบ้านของชายคนนั้น แต่ถ้าเป็นบ้านเช่าในเมืองที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เธอคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้“ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ส่วนเจ้ารอง นายไปกับฉัน คราวนี้อาเสียนต้องตัดสินใจแล
หลังจากรถยนต์ภรรยานายช่างเคลื่อนตัวไปแล้ว หลี่เหวินเสียนปรายตามองซินหงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา“ผมจะไปรอที่สำนักงานพลเรือน ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และอย่าคิดไม่ซื่อ เพราะเธอจะได้ไม่คุ้มเสีย ซินหง”จากนั้นหลี่เหวินเสียนและสองพี่น้องบ้านโจวจึงเดินจากมาโดยไม่สนใจชาวบ้านที่สอดสายตาอย่างอยากรู้อยากเห็น“กรี๊ดดดดด ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไม”ซินหงกรีดร้องโวยวาย และถามดินถามลม ว่าทำไมมันต้องจบแบบนี้ ทว่าเมื่อเจอสายตาของชาวบ้าน จึงรีบเข้าบ้านและเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะไปพบกับหลี่เหวินเสียนที่สำนักงานพลเรือนสุดท้ายแล้วหลี่เหวินเสียนหย่ากับอดีตภรรยา โดยไม่คิดฟ้องร้อง แต่ลูกอย่างหลี่อี้หลานต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น การหย่าในวันนี้จึงจบลงด้วยดี“หากฉันคิดถึงลูก ฉันขอไปเยี่ยมได้ไหม”ซินหงเอ่ยร้องขอด้วยความอ้อนวอน ไม่ใช่เพราะคิดถึงลูก แต่เธอพยายามหาข้ออ้างเพื่อกลับไปบ้านอดีตสามี เพื่อจะขอคืนดีกับเขา แต่ต้องรอจังหวะและเวลาเสียก่อน รอให้เขาหายโกรธเถอะ“อย่าเลย มันไม่เหมาะหรอก เราหย่ากันแล้ว”หลี่เหวินเสียนพูดจบก็เดินจากมาพร้อมสองพี่น้องบ้านโจวซินหงมองตามหลังอย่างขัดใจ อย่าคิดว่าเธอจะยอมแ
ย้อนกลับมาทางด้านหลี่ฮั่นตงเวลานี้ร่างกายของเขาเป็นปกติแล้ว และอีกไม่นานเขาจะเดินทางกลับบ้าน ทว่าเวลานี้กลับมีสหายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักของชายหนุ่ม พร้อมกับกล่องพัสดุหนึ่งใบ“นายกองหลี่ มีพัสดุส่งมาให้ เซ็นรับด้วยครับ”หลี่ฮั่นตงแม้จะงงงวยกับกล่องพัสดุกล่องนี้ แต่ก็ยอมเซ็นรับแต่โดยดี ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เตียงนอนของตน โดยมีสายตาของสหายทหารคนอื่น ๆ มองตามอยากรู้อยากเห็นพอเห็นชื่อคนส่งเท่านั้น ชายหนุ่มกลับแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่คิดว่าชื่อผู้ส่งจะเป็นภรรยาของตนจากนั้นจึงหยิบมีดพกที่เหน็บข้างเอวออกมาแกะกล่องพัสดุ เมื่อกล่องเปิดออกกลิ่นขนมและอาหารฟุ้งกระจายไปทั่ว“ฮั่นตง ใครส่งของให้นาย กล่องใหญ่มาก”สหายสนิทอย่างหว่านซีห่าวเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นของด้านใน“เมีย” นี่เป็นคำตอบเดียวที่ได้กลับมาหว่านซีห่าวกลับไม่สนใจปฏิกิริยาของสหาย เนื่องจากรู้ว่าสหายผู้นี้มักจะมีสีหน้าและท่าทางเย็นชาอย่างนี้เสมอ จึงไม่คิดจะถือสา แต่เขากำลังสนใจสิ่งที่อยู่ในกล่องพัสดุมากกว่าหลี่ฮั่นตงหยิบของออกมาดูแต่ละชิ้น ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับเขาไม่น้อย ในกล่องนี้ล้วนเป็นของกินแทบทั
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านมาสองสัปดาห์ ยอดขายร้านเพ่ยเพ่ยมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง อีกทั้งเวลานี้ตานเต๋อคงยังติดต่อทำการค้ากับร้านอาหารของรัฐอีกหลายแห่ง ทำให้แต่ละคนแทบไม่มีเวลาพัก“เวลานี้คนงานของเราแทบจะไม่พอแล้วนะพี่เต๋อคง เราน่าจะรับคนมาเพิ่ม” โจวเพ่ยชิงดูบัญชีอยู่หลังร้านเอ่ยขึ้นมาเธอมองว่าคนงานมีแค่นี้น่าจะไม่เพียงพอแล้ว และเธอต้องการขยายร้านค้าอีกด้วย“ครับนายหญิง เวลานี้คนงานเราแทบไม่พอจริง ๆ”ตานเต๋อคงเห็นด้วยกับนายหญิง เรื่องที่จะรับคนงานเพิ่ม เวลาที่เขาออกไปส่งของ ที่ร้านจะมีเพียงสามคน ซึ่งไม่เพียงพอและยิ่งถ้าเมื่อไหร่ลูกค้าที่มาสั่งซื้อของ แล้วให้ไปส่งสินค้าที่บ้าน หมายความว่าที่ร้านจะเหลือเพียงสองคน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลร้าน เนื่องจากลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก“ถ้าอย่างนั้นพี่ติดป้ายรับสมัครคนงานสักสี่คน ฉันต้องการขยายร้านเพ่ยเพ่ยในกลุ่มการค้าตลาดมืด ส่วนพี่ทั้งสามคนนั้น ให้เขาดูแลและคุมร้านค้าที่จะเปิดใหม่ พี่คิดว่าอย่างไร”หญิงสาวคล้ายจะขอความคิดเห็น เธอตั้งใจจะขยายร้านค้าในกลุ่มตลาดมืด ส่วนจะขยายไปต่างเมืองหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เธอยังไม่มีรถยนต์หรือรถบรรทุก
ทันทีที่เหวินเทาเดินออกมา ทั้งสามกอดกันตัวกลมด้วยความดีใจ ที่เวลานี้รอดตายจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่แล้ว“อาข่าย ตั้งใจทำงานให้ดีนะลูก นายหญิงดีกับเราขนาดนี้อย่าทำอะไรให้นายหญิงเดือดร้อนเด็ดขาดนะ อีกหน่อยพวกเราก็เก็บเงินส่งอาหัวเล่าเรียนได้เหมือนเด็กคนอื่นแล้ว”นางหว่ายเจียพูดกับลูกชาย เธอไม่คิดเหมือนกันว่าหญิงสาวในวันนั้น จะเป็นผู้มีพระคุณของเธอในวันนี้อีกครั้ง ไม่เพียงลูกชายได้ทำงาน หญิงแก่เช่นเธอก็มีงานให้ทำเหมือนกัน“ครับแม่ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงาน จะเก็บเงินเพื่อให้พวกเราสบาย แล้วจะไม่หักหลังหรือคิดร้ายต่อนายหญิงเด็ดขาด”“ดีแล้วลูก เราต้องรู้จักบุญคุณคน” นางบอกสอนลูกชายห้“ครับ ถึงผมไม่รู้ว่านายหญิงเป็นใคร แต่เธอคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา ผมจะตอบแทนบุญคุณนายหญิงแน่นอนครับ ส่วนเรื่องบ้านนั้น แม่ปล่อยวางเถอะครับ วันหนึ่งกฎแห่งกรรมจะมาถึงคนพวกนั้นเอง” หลังจากนี้โกวข่ายคิดว่าตนเองนั้นมีแค่แม่กับลูกเท่านั้นส่วนโจวเพ่ยชิงเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หญิงสาวก็ทำกิจวัตรประจำวันปกติ ก่อนจะไปกินอาหารมื้อเย็นที่บ้านโจวเช่นเคย และรับลูกทั้งสองคนกลับมานอนบ้านด้วยกันเช้าวันต่อมา...โจวเพ่ยชิงยังคงปั่
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ