เข้าสู่ระบบมุกดาเบิกตาโตแทบถลนออกมานอกเบ้ากับยอดเงินที่เด้งเข้าบัญชีหลังจากเทวาโทรแจ้งให้ตรวจสอบยอดที่เจ้านายของเขาโอนเข้าบัญชีเธอ
“ค่าทำขวัญหลักล้านเลยเหรอ?”
แต่ก็เลือกที่จะขอบคุณผ่านทางเทวาเช่นเดียวกัน การหลีกเลี่ยงไม่เจอหน้าเขาน่าจะเป็นการดีที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกลัวการเผชิญหน้ากับเขาทำไมกัน ทั้งที่เรื่องคืนนั้นก็ยังไม่ถูกเคลียร์แสดงว่าเขาปล่อยผ่าน หรือไม่ก็จำไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเธอ แต่มันก็ยังคาใจเธออยู่
สิ่งที่เธอกังวลว่าเขาจะถามความจริงจากยวนใจนั้นก็ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะหลังจากที่ยวนใจกลับมาทำงานตามปกติและได้หายไปอีกครั้งพร้อมกับนาฬิกาเรือนหรู และของมีค่าในห้องนอนของภูวนาถในครั้งที่เจ้าของบ้านป่วยและเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และหล่อนก็ไม่กลับมาที่บ้านอัครเทพอีกเลยตามคำบอกเล่าของขนุน
หรือกลัวว่าเขาจะรู้ว่าภูวภัสคือลูกของเขา
กลัวว่าเขาจะอ้างสิทธิ์เลี้ยงดูลูกตามกฎหมาย เขามีเงินมากมายจะทำอะไรก็ได้ แล้วเธอล่ะเงินจะจ้างค่าทนายยังคิดแล้วคิดอีก
และกลัวว่าเขาจะพรากลูกไปจากเธอ
อีกอย่างเขากับเธอไม่ได้มีความพิศวาสต่อกัน เรื่องในคืนนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุไม่มีทางที่เขาจะยอมรับเธอ และที่สำคัญเขาก็มีคนรักอยู่แล้ว หลังจากวันนั้นผ่านมาห้าปี เขาเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้าปีละสองสามคนหลังจากเลิกรากับลลิตาไป จากข่าวที่เธอตามดูเขาอยู่ในหน้าข่าวธุรกิจของแวดวงไฮโซ
หากเขาได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกจริง ๆ แล้วภรรยาของเขาใจร้ายกับภูวภัสล่ะเธอจะทำยังไง คิดไม่ตกได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น มีทางเดียวคืออย่าพาลูกเข้าใกล้เขาเท่านั้นเป็นพอ
ห้องผู้บริหารที่ปราศจากเสียงสนทนาใดๆ เงียบสงัดจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาหรูเรือนใหญ่ที่ปักอยู่ข้างผนังหมุนเดินเป็นจังหวะ ชายหนุ่มที่หลับตาพิงพนักเก้าอี้นวมหลังโต๊ะทำงานและความคิดมากมายที่วิ่งวกวนอยู่ในหัว
ไม่เข้าใจตัวเองทำไมภาพสองแม่ลูกนั้นยังติดตาอยู่ตลอด และยังมีคำถามบ้าๆ ที่สลัดไม่ออกในหัวอีกเช่นกัน หลังจากอ่านประวัติผู้ป่วยตัวน้อยที่เขาขอเป็นเจ้าของไข้ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาตลอดชีพของภูวภัส
และประวัติของแม่เด็กโดยละเอียดที่เทวาวางไว้บนโต๊ะทำงานตามคำสั่งของเขา
เด็กชายอายุสี่ขวบ
เขาและเธอไม่ได้เจอกันห้าปี
และตลอดระยะเวลาห้าปีเธอไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนเลยสักคน ไม่เคยมีผู้ชายมาอาศัยอยู่ที่บ้านกับเธอเช่นเดียวกัน เช่าบ้านอยู่กับลูกเพียงสองคนเท่านั้น มีแค่เพื่อนบ้านสองตายายที่ช่วยเลี้ยงภูวภัสตั้งแต่แรกเกิด
คลอดลูกก็ไม่มีพ่อเซ็นรับรอง เด็กใช้นามสกุลเดียวกับแม่
“แล้วพ่อเด็กเป็นใคร?”
อีกทั้งคืนนั้นเมื่อห้าปีที่แล้วเขาไม่ได้ป้องกันอะไรเลย
ภาพถ่ายตัวเองสมัยเป็นเด็กที่ค้นดูในอัลบั้มรูปที่บ้านเมื่อคืนนี้ ใบหน้าของเขาและภูวภัสมันคล้ายกันมากเหมือนคำพูดของคุณหมอในวันนั้นไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อสงสัยก็ต้องหาคำตอบคนอย่างภูวดลไม่ชอบรีรออะไรไปให้เสียเวลา
“สวัสดีครับคุณลุง”
ภูวภัสยกมือไหว้ภูวดลที่นั่งรออยู่ม้านั่งใต้ต้นร่มไม้ในโรงเรียนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามหลังจากที่คุณครูบอกว่ามีคนมารอพบและเดินมาส่ง
ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มรับไหว้เด็กน้อยพร้อมพินิจพิจารณาใบหน้าที่ละม้ายคล้ายตัวเองเสียเต็มประดากับภาพถ่ายในช่วงเยาว์วัย
“เป็นยังไงบ้างหายดีหรือยัง?”
“หายดีแล้วครับ”
“ไหนดูซิ”
พูดพลางขยับเข้าใกล้จับมือเด็กน้อยพลิกไปมาตรวจดูร่างกาย มือจับศีรษะลูบเรือนผมอย่างอ่อนโยนและลูบสางอยู่หลายรอบกว่าเส้นผมที่หลุดร่วงของภูวภัสจะติดมือมา
“ลุงกำลังปรึกษากับหมอว่าจะพยายามรักษาอาการแพ้ของเธอให้ลดความเสี่ยงลง เมื่อโตขึ้นเธออาจจะหายก็ได้นะ”
“จริงเหรอครับ?” ภูวภัสถามอย่างตื่นเต้น
“จริงสิ”
“ขอบคุณนะครับ”
“แม่มุกบอกว่าลุงดลให้ทุนการศึกษาผมด้วย ให้ทำไมเหรอครับ?”
“แทนคำขอโทษมั้ง” ส่งยิ้มให้
“ลุงทำเธอป่วยนี่ อีกอย่างครูประจำชั้นของเธอบอกว่าเธอเป็นเด็กดีมาก”
พูดเอาใจเด็กชายตรงหน้ามือของเขายังจับมือนุ่มนิ่มของเจ้าตัวเล็กอยู่ อีกมือของภูวดลล้วงหยิบที่ตัดเล็บในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจับนิ้วน้อยๆ คลี่ออกและตัดเล็บของภูวภัสอย่างเนียนๆ โดยปากก็ชวนคุยไปเรื่อย
“ตัดเล็บให้ผมทำไมครับ?”
“ก็เธอเล็บยาว พอดีซื้อที่ตัดเล็บมาใหม่”
ก็แค่เด็กโกหกยังไงก็ได้ ภูวภัสทำหน้าสงสัยไม่เห็นจะยาวตรงไหนแม่เพิ่งตัดให้ไม่กี่วันมานี้เอง
ภูวดลยื่นกล่องเกมรุ่นใหม่ที่หาข้อมูลมาแล้วว่ากำลังเป็นที่นิยมของเด็กๆ ในตอนนี้
“ซื้อมาฝากแทนคำขอโทษที่ทำให้เธอต้องเข้าโรงพยาบาล”
ภูวภัสตาลุกวาวเมื่อเห็นของที่ชายหนุ่มส่งให้
“ว้าว…”
“ขอบคุณครับลุงดล” รีบรับกล่องเกมมาถือในมือพลิกไปมาสำรวจดูด้วยความตื่นเต้นและยังไม่ยอมหุบยิ้มเสียที
ภูวดลยื่นซองกระดาษที่เตรียมมา วางบนโต๊ะทำงานของหมอเอกภูมิ
“ขอผลเร็วที่สุด” หมอเอกภูมิหยิบมาเปิดดูสิ่งที่อยู่ด้านใน
“ของใคร?”
“แกจะรู้ไปทำไม?”
“อ้าวไอ้นี่…ไม่บอกฉันก็ไม่ทำให้แก” หมอเอกเล่นตัวยั่วโมโหเพื่อนเล่น
“งั้นปีนี้แกก็ไม่ต้องรับทุนวิจัย”
“โอ้โฮ…ไอ้ดล”
“ไปทำใครท้องล่ะมึง ทำเป็นมาปิด”
“แค่สงสัยน่ะ” ภูวดลตอบสั้น ๆ
“โดนผู้หญิงจับเหรอ?
“เปล่า…แค่สงสัยอาจจะไม่ใช่ก็ได้”
“พลาดว่างั้น?”
“อือ” ขี้เกียจจะอธิบายรอให้เรื่องมันชัดเจนก่อนดีกว่า
“โอเค ฉันจะเร่งมือให้ก็แล้วกัน”
ดูจากสีหน้าจริงจังของเพื่อนก็ไม่อยากจะแซวต่อแล้ว ผู้หญิงแต่ละคนของภูวดลเขาก็รู้จักแทบทุกราย แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครตั้งท้องและคลอดเลยสักราย แต่เพื่อนไม่อยากบอกก็ช่างแม่ง เดี๋ยวมันอัดอั้นจนทนไม่ไหวก็แจ้นมาระบายเอง ตามนิสัยของเพื่อนรักที่รู้จักกันเป็นดิบดี
มุกดาคิ้วย่นเข้าหากันหลังจากคำบอกเล่าของลูกจบลง
“ซื้อเกมให้ และตัดเล็บให้ด้วยอย่างงั้นเหรอ”
เขาจะทำอะไรของเขานะ มีคำถามมากมายที่ผุดขึ้นชวนให้ใจคอไม่ดีเอาเสียเลย และขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
รถหรูจอดเทียบที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลพร้อมร่างสูงที่เดินตรงไปที่ห้องหมอเอกภูมิหลังจากที่โทรให้มาฟังผลการตรวจดีเอนเอ
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งอึ้งไปชั่วขณะกับผลตรวจที่รอคอยมาตลอดสัปดาห์
“มีความเป็นไปได้ 99.99%”
“ขอแสดงความยินดีด้วยแกเป็นพ่อคนแล้ว”
หมอเอกภูมิวางเอกสารผลการตรวจตรงหน้าเขา ภูวดลหยิบขึ้นมาอ่านด้วยใจจดจ่อ
ทำไมเธอไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเขานะ ไม่สิ เธอตั้งใจปกปิดเรื่องนี้ต่างหาก เธอมีเหตุผลบ้าบออะไรของเธอ ตลอดระยะเวลาสี่ปีลูกของเขาโตมายังไง ตอนตั้งท้องเธอได้ดูแลตัวเองและลูกดีพอแค่ไหนถึงได้มีภาวะเสี่ยงการแพ้อาหารแบบนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ยังแพ้ในตอนเป็นเด็ก
เด็กจะกินอิ่มนอนหลับหรือเปล่า ได้รับสารอาหารครบถ้วนหรือไม่ ภูวภัสต้องเหงาและโดดเดี่ยวแค่ไหน จากแววตาที่เขาเคยได้สัมผัสกับเด็กน้อยก่อนหน้านั้น กล้าดียังไงถึงปล่อยให้ลูกเขาลำบากไปกับเธอด้วย ยัยนี่เพี้ยนไม่ใช่เล่น
“สวัสดีค่ะคุณเทวา มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวกดรับสายเข้าปนความแปลกใจนิด ๆ ที่ผู้ช่วยของภูวดลโทรหา
(“บอสมีเรื่องของน้องภูอยากคุยกับคุณมุกครับ”)
มุกดาเงียบไปสักครู่คาดเดาสิ่งที่เขาจะคุยกับเธอ
“เอ่อ ขอเป็นช่วงเย็นนะคะโทรมาได้เลยค่ะตอนนี้มุกทำงานไม่ค่อยสะดวกค่ะ”
(“เลิกงานเดี๋ยวผมไปรับคุณมุกนะครับบอสอยากคุยต่อหน้าครับ”)
“แต่มุกต้องไปรับลูกค่ะคงไม่สะดวก ไว้วันหลังละกันนะคะ”
เธอพยายามบ่ายเบี่ยง
(“งั้นช่วงพักกลางวันที่ทำงานของคุณมุกก็ได้ครับ”)
“ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ มุกไม่สะดวกให้มาที่ทำงาน” เงียบและลุ้นคำตอบจากปลายสาย
(“ไม่เป็นไรครับไว้เจอกันที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้ก็ได้ครับ”)
“เอ่อ…คุณเทวาคะ คือ”
แต่ไม่ทันเสียแล้ว มุกดาถอนหายใจพร้อมกับความกังวลมากมายที่เกิดจากการคาดเดาเรื่องที่เขาจะพูดกับเธอในวันพรุ่งนี้ เธอลืมไปเสียสนิทว่าเขาเป็นเจ้าของไข้ของภูวภัส ตารางนัดหมายและอาการต่างๆ ของภูวภัสต้องถูกรายงานให้เขารับทราบทุกเรื่องอยู่แล้ว
เทวาแค่อยากจะประเมินคู่สนทนาเท่านั้น หล่อนไม่มีเหตุผลที่ต้องบ่ายเบี่ยงด้วยซ้ำ ก็แค่คุย จากข้อมูลที่เจ้านายให้หาก็น่าจะเข้าใจได้ว่าต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน และการหาคำตอบเป็นเรื่องที่สนุกสำหรับเทวา
“อะไรนะคนที่แกให้ตรวจดีเอนเอคือน้องภูเหรอวะ?
หมอเอกเสียงดังลั่นห้องทำงานกับคำบอกเล่าของเพื่อนเมื่อครู่
“นี่แกจะแหกปากทำไมวะ?” บ่นพร้อมกับคิ้วที่ย่นเข้าหากันบวกความรำคาญเพื่อน
“กูตกใจนี่หว่า”
“แล้วแกไปคบกันตอนไหนวะ?”
“ไม่ได้คบ”
“แล้วท้องได้ไง อย่าบอกนะว่าแกเป็นปลากัด แค่จ้องก็ท้องได้”
ภูวดลนิ่วหน้าชำเลืองมองเพื่อนรักด้วยหางตาพร้อมส่ายหน้ากับเรื่องไร้สาระที่เขาพูด
“เออ…ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”
ขี้เกียจเซ้าซี้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดของมุกดาที่เป็นคนไข้ของโรงพยาบายอยู่แล้วตามที่เขาขอให้หาข้อมูลมาให้ ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้บริจาคทุนรายใหญ่ของโรงพยาบาลอย่างภูวดล
ข้อมูลของคนไข้ มุกดา พิกุลเดช ตั้งแต่ฝากครรภ์ยันคลอดลูก และภูวภัสที่เข้ารับการรักษาอาการแพ้อาหารบ่อยครั้ง หมอเอกที่ยังไม่มีครอบครัวแต่ต้องมานั่งให้คำปรึกษาเพื่อนรักว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น
มุกดาเดินเข้ามาในร้านกาแฟของโรงพยาบาลตามเวลานัด นั่งลงตรงข้ามโต๊ะกับชายหนุ่มตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างสบตากันและดูท่าทีของกันและกันอีกเช่นเคย
ส่วนเทวาที่มีหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงจำเป็นนั่งห่างออกไปอีกมุมแค่พอมองเห็น และกำลังเล่นเกมกับภูวภัสอย่างสนุกสนานพร้อมเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยที่ดังแว่วมาเป็นระยะให้ได้ยิน ทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อพองโตอย่างประหลาด
“เข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะฉันไม่ชอบอ้อมค้อมให้เสียเวลา” น้ำเสียงหนักแน่นมองใบหน้าคู่สนทนาด้วยแววตาจริงจัง
“ค่ะ”
“ฉันอยากดูแลภูวภัส”
“….”
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“ดูแลทุกอย่าง ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับภู” เอ่ยชื่อลูกเหมือนคนคุ้นเคย
“คุณดลก็ดูแลแล้วนี่คะ ให้ทุนการศึกษาจนกว่าจะเรียนจบ ค่ารักษาพยาบาลตลอดชีพ แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ”
“เธอต้องการแค่นั้น?”
“ค่ะ...แค่นี้ก็มากพอแล้ว”
“แล้วความเป็นพ่อล่ะ?”
“….”
หลังจากทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็อาบน้ำเดินเข้าห้อง วันหยุดที่แสนจะเหนื่อยล้าจากการเดินจนขาลาก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปลายสายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ส่งข้อความจะโทรมาเม้าท์มอยเรื่องงาน เอนตัวลงบนเตียงนอนคุยโทรศัพท์นานสองนานกว่าจะวางสายไป รอยยิ้มที่มีความสุขของลูกในวันนี้ผุดขึ้นมาในหัวทำให้เผลอยิ้มคนเดียว หลับตาผ่อนคลายเบาๆ ด้วยความอ่อนเพลียทำให้เผลอหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกฝ่าเท้าเล็กๆ ถีบเข้าที่สะโพก เธองัวเงียลุกขึ้น ไฟในห้องถูกปิดแล้ว ตอนไหนกัน นี่เธอกลายเป็นคนนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงไม่รู้สึกตัวได้ขนาดนี้ และที่สำคัญสองพ่อลูกนอนอยู่ข้างเธอ บนเตียงเดียวกัน ลุกพรวดขึ้นมาทันที กำลังอ้าปากจะวีนเขา“ชู่ว” ภูวดลที่ส่งสัญญาณห้ามใช้เสียง นิ้วชี้วางทับที่ริมฝีปากและชี้ที่เจ้าตัวเล็กที่กอดพ่อแน่นและกำลังหลับอย่างสบายใจ“กลับห้องคุณเลย” เธอกระซิบเสียงเบาเขาชี้นิ้วบอกต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้กลับห้องที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ตอนนี้ มุกดาโน้มตัวลงไป เอื้อมมือคว้าแขนเจ้าตัวเล็กออกจากอกพ่อ และทันทีที่ภูวภัสพลิกตัวเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วและฟาดแขนลงที่แขนพับของแม่อย่างกะทันหันโดยไ
ทุกสายตาแอบชำเลืองมองสองร่างที่เดินเข้าสำนักงาน ผู้เป็นพ่อที่จูงมือลูกชายเดินผ่านหน้าประชาสัมพันธ์ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ผิดกับเจ้าตัวเล็กที่กวาดสายตามองรอบบริเวณอย่างตื่นเต้นถึงแม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มานั่งเล่นในห้องทำงานของพ่อระหว่างที่รอให้แม่กลับถึงบ้าน พนักงานสาวต่างสุมหัวซุบซิบหลังจากเจ้านายหนุ่มเดินลับตาไป ครั้นจะหาคำตอบจากคนสนิทอย่างเทวาก็คว้าน้ำเหลว“อยากรู้ก็ถามบอสเองสิครับ?”“ลูกบอสหรือเปล่า?“แต่บอสยังไม่ได้แต่งงานนี่นา”“โอ๊ย…ไม่แต่งงานก็มีลูกได้”“แล้วแม่เด็กล่ะ มีใครเคยเจอสักครั้งหรือยัง?”“ไม่เคยนะ”“ทำไมไม่ลองถามเด็กดูล่ะ”“เธอก็เดินเข้าไปถามสิในห้องบอสน่ะ”“พูดเป็นเล่น” และต่างเดากันไปต่างๆ นานาอย่างสนุกปากและแน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงหูลลิตาอยู่แล้วจากที่ผูกมิตรกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ไว้ขอให้ส่งข่าวหากมีความเคลื่อนไหวของภูวดลเจ้าหน้าที่การเงินวางแฟ้มรายงานการเบิกจ่ายประจำเดือนที่สูงผิดปกติบนโต๊ะทำงานประธานหนุ่ม พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดคร่าว ๆ ที่อยู่ในแฟ้มให้เจ้านายฟัง“พ่อครับ”“ภูต่อเสร็จแล้วนะครับ พ่อมาดูเร็ว”เสียงที่กำลังรายงานเจ้านายอยู่สะดุดทันที และหัน
เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องทำงานปลุกให้คนที่นั่งอมยิ้มปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันทีจากการดูภาพถ่ายของตัวเองกับลูกชาย และภาพที่แอบถ่ายแม่ของลูกก่อนหย่อนโทรศัพท์มือถือเข้าเก็บในกระเป๋ากางเกง“วินนี่โทรหาคุณหลายครั้งแล้วแต่เทวาบอกว่าคุณยุ่งอยู่วินนี่ก็เลยแวะมารอค่ะ”วนิดา ที่กำลังตกเป็นข่าวซุบซิบในแวดวงไฮโซว่าเธอคือหญิงสาวที่กำลังคบหาดูใจกับภูวดลอยู่ในขณะนี้ แต่เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่เธอสร้างขึ้นและกระจายข่าวออกไปเท่านั้น สำหรับเธอเองที่ยังรอคอยสถานะจากภูวดลอยู่ และไม่มีทีท่าว่าเขาจะให้ความชัดเจนกับเธอเลยสักครั้ง ยังคลุมเครืออยู่อย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ท้อใจในการวิ่งตามความรู้สึกของตัวเอง“ผมเพิ่งออกห้องประชุมเห็นเบอร์คุณแล้วแต่ยังไม่ได้โทรกลับ”“คุณมีอะไรด่วนหรือเปล่า?”“ไม่มีอะไรด่วนหรอกค่ะ วินนี่แค่มาชวนคุณไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน”“ไปนะคะ” ส่งยิ้มให้และรอคำตอบอยากจะปฏิเสธแต่ก็นึกเห็นใจหล่อนที่อุตส่าห์นั่งรอเขาอยู่นานจนกระทั่งประชุมเสร็จ ไหน ๆ ก็เป็นคนคุ้นเคยก็แค่ออกไปกินข้าวกลางวันเท่านั้น จึงตกปากรับคำไป แต่ในใจกลับคิดถึงสองแม่ลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้นมุกดานั่งมองคนหน้าเศร้าที่ต่อจิ๊กซอว์คนเดี
ภูวดลเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าใบใหญ่ ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น พร้อมชุดทำงาน ลากลงมาจากชั้นบนพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของขนุนที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่“คุณดลจะไปญี่ปุ่นเหรอคะ?”“เปล่า?”ขนุนกะพริบตาปริบๆ เพียงแค่เก็บความสงสัยไว้ไม่กล้าถามต่อ หลังจากที่คุณท่านเสียเจ้านายคนเล็กก็กลับมาอยู่ที่บ้าน นานๆ จะกลับไปค้างที่คอนโดสักครั้งแต่วันนี้จัดกระเป๋าเองและไม่ได้ไปต่างประเทศ แล้วจะไปไหน ได้แค่สงสัยเท่านั้น“ตอนเย็นไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อฉันนะ”“วันนี้ไม่กลับบ้าน” บอกอย่างอารมณ์ดี“ค่ะคุณดล”ภูวดลจอดรถที่หน้าโรงเรียนรอรับภูวภัสหลังเลิกเรียนซึ่งชั้นอนุบาลคุณครูจะปล่อยเด็กกลับบ้านเร็วกว่ารุ่นพี่ชั้นปฐม แต่เนื่องจากต้องรอแม่มารับหลังเลิกงานทุกวันเด็กชายจึงค่อนข้างแปลกใจที่คุณครูบอกว่าผู้ปกครองมารอรับเด็กชายภูวภัสแล้วไม่แค่เพียงภูวภัสเท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ คุณครูประจำชั้นอนุบาลที่รู้สึกคุ้นหน้ากับคุณพ่อของเด็กน้อยที่ดูยังไงก็เหมือนประธานบริษัทแขกคนสำคัญของทางโรงเรียน ที่นำของมาบริจาคให้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา“พ่อดล”เมื่อมั่นใจว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียนจริงคุณครูก็อนุญาตให้กลับได้ ภู
ภูวภัสตื่นแต่เช้าตรู่เพื่ออาบน้ำพร้อมกับเสียงเพลงจากปากเจ้าตัวเล็กที่ร้องดังจนก้องห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี แต่งตัวรอพ่อมารับอย่างตื่นเต้น มุกดาที่มองภาพเด็กชายพร้อมความเศร้าที่ผุดขึ้นมาในใจรู้สึกผิดต่อลูกจนใจหวิว เขาคงดีใจมากที่มีพ่อเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ซึ่งทุกครั้งที่ลูกถามเธอก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดเสียงรถจอดหน้าบ้านพร้อมกับร่างเจ้าตัวน้อยที่วิ่งพรวดพราดออกไปดูทันที“พ่อดลมาแล้ว” เปิดประตูรั้ววิ่งออกไปหาผู้เป็นพ่อที่อยู่หน้าบ้าน“รอพ่อนานไหมครับ?” อุ้มลูกขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอด“นานมาก….” ลากเสียงยาว“ยังไม่ถึงเวลานัดเลย พ่อมาก่อนเวลาด้วยนะโกหกหรือเปล่า?”พร้อมเสียงหัวเราะสองพ่อลูกที่ดังประสานกันสองผู้สูงวัย ยายดวงใจ และตาทวี ที่กำลังตัดแต่งกิ่งดอกกุหลาบในกระถางหน้าบ้านส่งสายตาข้ามกำแพงรั้วที่สูงแค่อก กั้นอาณาเขตบ้านสองหลังอยู่ มองภาพผู้มาเยือนที่ไม่คุ้นหน้าแต่ท่าทางสนิทสนมกับภูวภัส ก่อนจะเอ่ยปากถามเด็กชาย“น้องภูจะไปเที่ยวไหนจ๊ะแต่งตัวเท่เชียว” คำถามจากยายดวงใจ“ไปซื้อของครับยายดวง”“พ่อมารับครับ” เด็กน้อยอวดว่าเขามีพ่อแล้วอย่างมีความสุข“พ่อ?” ยายดวงทวนคำพูดของเด็กน้อยในใจ“สวัสดีครับ”ภูวดลท
ความเงียบเข้าครอบคลุมการสนทนาชั่วขณะ พร้อมกับหัวใจของมุกดาที่หล่นวูบลงเช่นกัน ก่อนเรียกสติกลับคืนมา“คุณพูดอะไร?”“ฉันรู้ภูเป็นลูกฉัน”มุกดาที่แววตาไหวระริกกับคำพูดของเขา ใจเต้นแรงพร้อมใบหน้าที่ร้อนวูบวาบแต่ยังคุมอาการได้อยู่แม้จะหวิว ๆ ในใจ พร้อมหลากหลายคำถามและคำตอบวิ่งวนปั่นป่วนในหัวไปหมด เขารู้แล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เขารู้ได้ยังไง หรือเขาแค่ลองหยั่งเชิงเธอดูเท่านั้น“เธอไม่คิดจะให้พ่อลูกเขาเจอกันเลยหรือยังไง?“ถ้าฉันไม่บังเอิญเจอลูกเองก็คงไม่รู้”“ใจดำไปนะ”มองใบหน้าสวยด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ยาก“ใครบอกคุณคะว่าภูเป็นลูกคุณ?”พลันคำพูดของเด็กน้อยในวันนั้นที่แวบเข้ามาในความจำว่าลุงดลตัดเล็บให้ เขาเอาไปตรวจดีเอนเอแล้วหรือเปล่านะ ถึงได้พูดแบบนี้ แต่เธอต้องนิ่งเข้าไว้ภูวดลยื่นซองเอกสารส่งให้เธอดู มุกดารับมาอ่านและวางลงดังเดิมควบคุมปฏิกิริยาตัวเองทั้งสีหน้าและอารมณ์ให้คงที่ บอกตัวเองว่าเธอไม่ใช่เด็กในบ้านเขาแล้ว ไม่ใช่พนักงานในบริษัทของเขาที่ยังรับเงินเดือนจากเขา ไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัวเลยสักนิด แม้ในใจจะหวั่น ๆและแล้ววันที่เธอกลัวมาตลอดก็มาถึงจนได้ วันที่เขาเจอเธอและลูก ที่สำคัญเข







