ฌาริยาได้งานในตัวเมืองซึ่งเป็นบริษัทรับทำบัญชีขนาดเล็ก เธอได้เงินเดือนไม่ถึงเก้าพันบาท ทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการเดินทางแล้ว เธอเหลือเงินแค่เดือนละหกพันบาท และไหนจะโดนหักในวันที่เธอพาลูกน้อยเดินทางไปหาหมออีก ไม่รู้ว่าเธอต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะสามารถเก็บเงินได้หลักแสน อาการของเด็กหญิงเฌอริตาก็เหมือนจะแย่ลงทุกวัน
“แม่จ๋า..วันนี้น้องเฌอเหนื่อยจังเลยค่ะ คุณครูให้เพื่อนๆ วิ่งแข่งกัน แต่น้องเฌอไม่ได้วิ่งค่ะ น้องเฌอเดินเอาค่ะ แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี” คำบอกเล่าของลูกสาวทำให้เธอเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยิน เด็กหญิงเฌอริตากลับมาจากโรงเรียนก็จะมาเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟังว่าคุณครูให้ทำอะไรบ้าง ตอนนี้ลูกสาวของฌาริยากำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ในตำบลที่เธออาศัยอยู่ “โถ! ลูกสาวของแม่ รอแม่อีกนิดนะคะ แม่กำลังหาเงินมารักษาน้องเฌอให้หายป่วยเร็วๆ นะคะ” ขอบตาของผู้เป็นมารดาร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความสงสารลูกสาวจับใจ “พรุ่งนี้แม่ฌาไปทำงานมั้ยคะ?” “ไปค่ะ แม่หยุดไปสองวันแล้ว เดี๋ยวจะโดนไล่ออกเอา” “น้องเฌออยากให้แม่กลับบ้านไวๆ แม่ไปทำงานทีไร แม่กลับบ้านค่ำทุกวันเลย” “แม่ต้องไปทำงานหาเงินมารักษาน้องเฌอยังไงคะ ที่ทำงานของแม่อยู่ไกลแม่ก็เลยถึงบ้านค่ำค่ะ” “น้องเฌออยากเล่นกับแม่เหมือนเมื่อก่อนค่ะ” “เอาแบบนี้ดีมั้ยคะ..ถ้าน้องเฌออาการดีขึ้น แม่จะพาน้องเฌอไปเที่ยว” “จริงเหรอคะ? แม่ฌาจะพาน้องเฌอไปเที่ยวจริงๆ นะคะ” “จริงค่ะ..แต่น้องเฌอต้องรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน โอเคมั้ยคะ?” “โอเคค่ะ” เด็กหญิงเฌอริตารีบรับปากเพราะอยากจะหายจากโรคที่เป็นอยู่ อยากวิ่งเล่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง โชคดีที่เด็กน้อยเป็นเด็กที่กินยาง่าย ฌาริยาก็เลยไม่ต้องหนักใจในเรื่องนี้ หนึ่งเดือนผ่านไป ฌาริยาทำงานกลับถึงบ้านค่ำมืดทุกวัน เพราะระยะทางไปกลับนั้นประมาณหกสิบกิโลเมตร กว่าเธอจะถึงบ้านลูกสาวตัวน้อยก็นอนหลับไปแล้ว เพราะปกติลูกสาวของเธอจะหลับในช่วงเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ซึ่งเกิดจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเล็กๆ ลูกสาวของเธอกินและนอนตรงเวลา ไม่ติดจอเหมือนเด็กคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ฌาริยาจะชอบอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน แต่เดี๋ยวนี้เธอแทบไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเลย ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ฌาริยาต้องพาเด็กหญิง เฌอริตาไปหาหมอตามนัดอีก “ฌา..เหนื่อยมั้ยลูก ไหวหรือเปล่า?” เสียงของผู้เป็นป้าเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาวไม่สู้ดีนัก “ฌาไหวค่ะป้า” “แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปกรุงเทพฯ อีกใช่ไหม?” “ค่ะป้า” “อดทนนะลูก..เดี๋ยวน้องเฌอก็หายป่วย” “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฌาจะเก็บเงินพอที่จะให้น้องเฌอผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ” “ตอนนี้ฌามีเงินอยู่เท่าไหร่” “เงินที่คุณผู้หญิงให้มาก็เหลือแค่สองแสนบวกกับเงินเดือนของฌาสองเดือนก็แค่สองแสนหนึ่งหมื่นสองพันเองค่ะ ไหนพรุ่งนี้จะต้องไปกรุงเทพฯ อีก” “แล้วไอ้ค่ารักษามันเท่าไหร่กัน” “ประมาณแปดแสนถึงหนึ่งล้านค่ะ” “แพงจัง..ลำพังเงินเก็บป้าก็มีไม่กี่หมื่น กว่าที่ฌาจะทำงานเก็บเงินได้ขนาดนั้น มันจะอีกกี่ปี ป้ากลัวว่า…” ผู้เป็นป้าพูดถึงแค่นั้น เธอไม่กล้าจะพูดต่อก่อนจะหันไปมองหน้าหลานสาวที่ตอนนี้น้ำตากำลังเอ่อออกมา ต่อหน้าผู้เป็นป้าฌาริยาจะแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ต่อหน้าลูกเธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะกลัวว่าลูกจะหมดกำลังใจ “ไม่ค่ะป้า..ยังไงฌาก็ต้องหาเงินมารักษาน้องเฌอให้หายให้ได้ค่ะ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตามฌาไม่มีวันยอมให้ลูกของฌาต้องจากไปอย่างแน่นอนค่ะ” พูดจบน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ป้าว่าฌาไปนอนเถอะ..พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นมาทำขนมอีก” “ค่ะป้า” จากนั้นทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน วันอาทิตย์ ฌาริยาพาลูกสาวตัวน้อยขึ้นรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์ เพื่อที่จะไปถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้าวันจันทร์ จากนั้นเธอก็พาลูกนั่งรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล เมื่อถึงโรงพยาบาล จู่ๆ เด็กหญิงเฌอริตาก็เกิดอาการหอบ จนเป็นลมหมดสติไป ฌาริยาทั้งตกใจทั้งกลัว แต่โชคดีที่อยู่ในโรงพยาบาลพอดี ลูกสาวของเธอจึงได้รับการรักษาได้ทันท่วงที “อาการของน้องไม่ดีขึ้นเลยนะครับ..หมอให้เวลาคุณแม่อีกหกเดือน หมอคงต้องทำการผ่าตัดลิ้นหัวใจให้น้อง น้องรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้วนะครับ” เสียงของหมอทำให้โสตประสาทของฌาริยาดับไปชั่วขณะ ตอนนี้สมองของเธอได้แต่คิดว่าเธอจะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้ทัน ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ก็ราวเกือบนาที “ค่ะคุณหมอ..ดิฉันจะพยายามหาเงินมาให้ได้ค่ะ” เธอมีเวลาแค่หกเดือน ถ้าเธอยังทำงานอยู่ที่เดิม ไม่มีทางที่เธอจะหาเงินได้ทัน “หมอขอตัวก่อนนะครับ หมอขอให้น้องพักรักษาตัวที่นี่สักสองคืนนะครับ คุณแม่สะดวกมั้ยครับ หมอไม่อยากให้น้องต้องเดินทางตอนนี้” “ค่ะ..ได้ค่ะ คุณหมอ” “งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” “ขอบคุณค่ะคุณหมอ” จากนั้นฌาริยาก็โทรไปบอกป้านิภาให้ทราบเรื่องทั้งหมด และเธอก็นั่งเฝ้าลูกอยู่ที่เตียงซึ่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยรวม เธอต้องประหยัดเงินไม่สามารถให้ลูกพักที่ห้องพักพิเศษได้ สองวันผ่านไป เมื่อเด็กหญิงเฌอริตาหายดีแล้ว หมอจึงอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ฌาริยาจึงพาลูกสาวตัวน้อยขึ้นรถทัวร์กลับเชียงรายทันที และเมื่อฌาริยากลับมาถึงบ้านก็ได้รับข่าวร้ายว่าบริษัทรับทำบัญชีที่เธอทำงานนั้นปิดตัวลง เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ ไม่มีลูกค้ามาจ้างทำบัญชี ทำให้เธอตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้ฌาริยารู้สึกมืดแปดด้าน เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป “ป้าคะ..ฌาคิดว่าฌาคงต้องไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ฌาฝากป้าดูแลน้องเฌอได้มั้ยคะ?” “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ฌาไปเถอะ ไม่ต้องห่วงป้ากับน้องเฌอ ป้าจะดูแลน้องเฌอให้ดีที่สุด” “ขอบคุณนะคะป้า เดี๋ยวฌาจะลองหาสมัครงานในเว็บที่รับสมัครงานดูก่อนค่ะ” “จ่ะ” ฌาริยาส่งใบสมัครตามที่ในเว็บรับสมัครงานประกาศ เธอส่งเรซูเม่ไปหลายที่ แต่ไม่มีที่ใดตอบรับกลับมาเลย แต่ฌาริยาก็ไม่ย่อท้อ เธอส่งไปอีกหลายๆ ที่ มันต้องมีสักที่แหละที่รับเธอเข้าทำงาน แต่เธอก็เข้าใจเพราะประสบการณ์การทำงานของเธอนั้นแทบจะเป็นศูนย์ และในที่สุดความพยายามของฌาริยาก็สำเร็จ เมื่อมีบริษัทแห่งหนึ่งติดต่อขอนัดสัมภาษณ์เธอ ฌาริยาดีใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยเธอก็ได้รับโอกาสถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน แต่เธอก็จะทำให้ดีที่สุดสองปีผ่านไป“น้องฌาร์ม..ไม่วิ่งนะคะ เดี๋ยวล้มค่ะ” ฌาริยาเดินอุ้ยอ้ายตามลูกสาวคนเล็กที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ที่สนามหญ้าข้างบ้านใช่แล้ว! เธอท้องลูกคนที่สามได้ยี่สิบเจ็ดสัปดาห์ หรือเจ็ดเดือนแล้ว ธนัทธามนั่นแหละที่ขอร้องอ้อนเธอว่าอยากได้ลูกชายอีกสักคน ตอนแรกเธอปฏิเสธเพราะยังเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกสาวคนเล็กที่ตอนนี้อายุพึ่งจะสามขวบ แต่เธอก็ทนการรบเร้าของสามีไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องตามใจสามีอันเป็นที่รักส่วนเด็กหญิงเฌอริตานั้น ตอนนี้ก็เริ่มโตเป็นสาวช่วยแม่เลี้ยงน้องได้แล้ว และตอนนี้ก็กำลังช่วยยายภาจัดเตรียมของว่างอยู่ “ป้อ ป้อ” เสียงเรียกพ่อของเด็กหญิงฌาริญญา หรือน้องฌาร์ม ดังขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาหา“ว่าไงคะ..คนเก่งของพ่อ” ธนัทธามยื่นแขนไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาหอมแก้มซ้ายขวาจนเด็กน้อยหัวเราะ คิกๆ เพราะจั๊กจี้“กลับมาแล้วเหรอคะ? คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ฌาริยาเอ่ยถามสามีเมื่อเห็นว่าเขากลับมาไวกว่าปกติ“ก็เหมือนเดิม คิดถึงลูก คิดถึงเมีย ก็เลยรีบกลับ เหมือนจะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวด้วย” ธนัทธามยังคงดูแลทุกอย่าง ทุกคนอยู่เหมือนเดิม“เดี๋ยวคืนนี้ฌานวดให้นะคะ”“นาบด้วยได้มั้ย?”
ห้าเดือนผ่านไปฌาริยาตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่สามแล้ว เหลืออีกประมาณสองเดือนเธอก็ใกล้จะคลอดแล้ว เมื่อห้าเดือนก่อนธนัทธามพาฌาริยาไปจดทะเบียนสมรส และไปฝากครรภ์ ตอนนี้เขาและเธอใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมาห้าเดือนแล้ว ชีวิตของฌาริยาในตอนนี้มีความสุขมากๆ ธนัทธามไปรับป้านิภามาอยู่ด้วยกัน และในตอนนี้เขาได้ซื้อบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า มีพื้นที่ไว้ให้ลูกๆ เล่นอย่างกว้างขวาง และมีสระว่ายน้ำอยู่ภายในบริเวณบ้านด้วย เรียกได้ว่าชีวิตของเธอตอนนี้สมบูรณ์แบบที่สุด มีสามีที่รักและเอาใจใส่เธอกับลูก และที่สำคัญสามีของเธอนั้นไม่เคยนอกลู่นอกทางเลย ธนัทธามเองก็ยังกลับไปดูแลบุพการีในวันเสาร์อาทิตย์เช่นเดิม ฌาริยารู้ว่าเขาเหนื่อย ไหนจะต้องทำงานที่บริษัท ไหนจะต้องดูแลบิดามารดา และยังต้องดูแลเธอกับลูกอีก ฌาริยาจึงพยายามแบ่งเบาภาระของเขาให้ได้มากที่สุด เธอไม่อยากให้เขาเหนื่อยจนเกินไป แต่เธอก็ทำอะไรได้ไม่มากเพราะตอนนี้เธอก็ท้องแก่ใกล้จะคลอดแล้ว พวกงานบ้านต่างๆ และการทำอาหารตอนนี้กลายเป็นหน้าที่ของป้านิภาไปแล้ว ส่วนฌาริยาก็ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ แต่จะดูแลเด็กหญิงเฌอริตาเป็นหลัก และอีกเรื่องที่
สองเดือนผ่านไปอุ๊บ! อุ๊บ! ฌาริยาตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกอยากจะอาเจียน เธอรีบพุ่งตัวไปที่ห้องน้ำอย่างไว ก่อนจะอ้วกออกมาจนหมดหรือว่าเราจะท้อง? ต้องเป็นวันนั้นแน่ๆ เลย วันที่เธอโดนธนัทธามฝืนใจ และหลังจากนั้นเธอก็ไม่สบายจึงลืมกินยาคุมฉุกเฉิน เพราะเธอหยุดกินยาคุมกำเนิดตั้งแต่ที่จบความสัมพันธ์กับเขาแล้วถ้าท้องขึ้นมาจริงๆ เธอจะทำอย่างไรดี?หลังจากที่ธนัทธามไปส่งเด็กหญิงเฌอริตาที่โรงเรียนและเขาก็เลยไปทำงาน ฌาริยาจึงรีบขึ้นแท็กซี่ไปโรงพยาบาล เธอต้องการตรวจให้แน่ใจว่าท้องจริงหรือเปล่า“ยินดีด้วยนะคะ คนไข้ตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์แล้วค่ะ” สิ้นเสียงของหมอ โสตประสาทสัมผัสของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ กว่าจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปนานหลายวินาที“ดิฉันท้องจริงๆ ใช่มั้ยคะ? คุณหมอ”“ใช่ค่ะ คนไข้จะฝากครรภ์เลยมั้ยคะ?”“เอ่อ..ยังค่ะ”“ได้ค่ะ.งั้นเดี๋ยวหมอจะจัดยาบำรุงครรภ์ให้นะคะ ถ้าคนไข้จะมาฝากครรภ์คราวหน้าให้พาคุณพ่อมาด้วยนะคะ”“อ๋อค่ะ”ฌาริยาออกจากโรงพยาบาลและกลับมาถึงบ้านในสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงนัก เธอนั่งมองภาพอัลตร้าซาวด์ลูกน้อยที่อยู่ในท้องของเธอด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งความดีใจ มีทั้งความกังวลใจ ตอนนี้เ
หลังจากที่ไข้ลดฌาริยาก็ไปทำอาหารเช้า เธอปล่อยให้เขานอนอยู่อย่างนั้น เธอไม่กล้าปลุกเพราะกลัวว่าเขาจะตื่น เธอไม่รู้ว่าเขาได้นอนตอนไหน“แม่ฌาหายดีแล้วเหรอคะ?” เด็กน้อยที่พึ่งตื่นงัวเงียถามมารดา“แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ วันนี้น้องเฌอคงต้องลาอีกหนึ่งวันนะคะ เดี๋ยวแม่โทรบอกคุณครูเองค่ะ” “ได้ค่ะ” “น้องเฌอหิวหรือยังคะ? แม่ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว”“ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ค่ะ แล้วพ่อธามล่ะคะ?” เด็กน้อยตอบก่อนจะถามหาบิดา“พ่อธามหลับอยู่ค่ะ” “เมื่อวานพ่อธามดูแลแม่ฌาทั้งวันเลยค่ะ เพราะแม่ฌาไม่สบายตัวร้อน แล้วพ่อธามก็ทำอาหารให้น้องเฌอทาน อาบน้ำให้น้องเฌอ แล้วก็พาน้องเฌอเข้านอน เสร็จแล้วพ่อธามก็ไปดูแลแม่ฌาต่อค่ะ” เด็กน้อยอธิบายจนเธอเห็นภาพ“จริงเหรอคะ?” “จริงค่ะ” “งั้นเราปล่อยให้พ่อธามนอนพักผ่อนดีมั้ยคะ?”“ดีค่ะ” จากนั้นสองแม่ลูกก็พากันเล่นของเล่นอยู่ในห้องรับแขกธนัทธามตื่นมาอีกทีเกือบสิบเอ็ดโมง ขณะนั้น ฌาริยากำลังทำอาหารกลางวันอยู่“ดีขึ้นแล้วเหรอ? ถึงมาทำอาหารได้” เขาเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามาในครัวเพราะได้กลิ่นหอมเหมือนแกงจืดอะไรสักอย่าง“ไม่มีไข้แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ“ฉันขอโทษนะที่ทำให้ฌาต้องเ
ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฌาริยาจึงเดินมาเปิดประตู“คุณธามมีอะไรหรือเปล่าคะ?” “ลูกหลับแล้วเหรอ?” เขาไม่ตอบแต่หากเป็นฝ่ายถามเธอกลับ“หลับแล้วค่ะ มีอะไรคะ?” “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เขาตอบเสียงเรียบ“เรื่องอะไรคะ?” เธอเลิกคิ้วถามออกมา“จะยืนคุยกันตรงประตูนี่หรือไง?” ฌาริยาพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะตอบออกไป“งั้นก็ออกไปคุยกันข้างนอกก็ได้ค่ะ เดี๋ยวลูกจะตื่น” พูดจบเขาและเธอก็เดินออกมาจากห้อง เธอปิดประตูและหมุนตัวมาคุยกับเขา“คุณธามมีอะไรจะคุยกับฌาคะ?” “ฉันไม่ชอบให้ฌาไปคุยหรือสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นแบบนั้น” “ฌาจะคุยกับใครหรือสนิทกับใครมันก็สิทธิ์ของฌาหรือเปล่าคะ?” “ฌาไม่มีสิทธิ์คุยกับผู้ชายคนอื่น”“คุณธามก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งฌาเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”“ฉันไม่มีสิทธิ์อย่างนั้นเหรอ? ไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างนั้นเหรอ? สงสัยต้องทบทวนหน่อยล่ะมั้งว่าเราเป็นอะไรกัน” พูดจบเขาก็จับข้อมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาและตรึงเธอไว้กับประตูห้อง“คุณธาม จะทำอะไร?” “ก็ทำแบบนี้ไง” สิ้นเสียงของชายหนุ่ม เขาก็ประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเธอ และสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปในโพรงปากหวาน เขาบดจูบเธออย
วันเสาร์วันนี้เด็กหญิงเฌอริตาตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปเรียนศิลปะ เด็กน้อยดีใจที่จะได้เจอเพื่อนที่เรียนด้วยกันซึ่งมีอายุเท่ากัน “มาตา มานานแล้วเหรอ?” เด็กหญิงเฌอริตาเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าเพื่อนอยู่ที่ศูนย์แกลลอรี่ก่อนแล้ว“อืมม เราพึ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง นี่คุณพ่อของเรา” เด็กหญิงคนที่ชื่อมาตาแนะนำให้เพื่อนรู้จักกับบิดาของเธอ“สวัสดีค่ะ คุณลุง” เด็กหญิงเฌอริตายกมือไหว้บิดาของเพื่อน“สวัสดีครับ น้องเฌอใช่มั้ยครับ เห็นมาตาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ” “ใช่ค่ะ ส่วนนี่แม่ของน้องเฌอเองค่ะ” เด็กน้อยหันไปแนะนำมารดา“สวัสดีค่ะ คุณน้า คุณน้าสวยจังเลยค่ะ” เด็กหญิงมาตายกมือไหว้มารดาของเพื่อนพร้อมกับเอ่ยชม“สวัสดีค่ะ น้องมาตา ขอบคุณมากนะคะ” ฌาริยายิ้มออกมา“เอ่อ..สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณเอ่อ..” มานพ บิดาของเด็กหญิงมาตากล่าวทักทายหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เธอสวยเหมือนที่มาตาพูดจริงๆ ด้วย“สวัสดีค่ะ ฌาริยาค่ะ เรียกฌาเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” “ผมมานพนะครับ เรียกนพเฉยๆ ก็ได้ครับ” “อ๋อค่ะ คุณนพ”หลังจากนั้นเด็กน้อยสองคนก็เข้าคลาสเรียนศิลปะ ส่วนผู้ปกครองของเด็กหญิงทั้งสองก็ไปนั่งดื่