สีหน้าของเซิ่งเฟิงคล้ำดำเขียวไปหมดแล้วอวี้ม่านหวาเห็นว่าฆ่าหรงจือจือไม่สำเร็จ แล้วยังได้ยินพวกเขาเรียกท่านราชเลขาธิการ ก็แสยะยิ้มออกมา “ฆ่าหรงจือจือไม่ได้ ฆ่าเฉินเยี่ยนซูก็ได้เช่นกัน!”พูดพลางก็ชักกระบี่ออกมา กำลังคิดจะแทงกระบี่มาอีกครั้งทว่าเซิ่งเฟิงจะปล่อยให้นางสมปรารถนาเสียที่ไหน?ครั้นกระบี่ยาวในมือตวัดไป กระบี่ยาวของอวี้ม่านหวาก็กระเด็นออกไป อวี้ม่านหวาเองก็รู้ดีว่า ข้างกายเฉินเยี่ยนซูมีองครักษ์วรยุทธ์ขั้นสูงหลายคนครั้นเห็นท่วงท่าของเซิ่งเฟิง ก็รู้ชัดว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้หรงจือจือเห็นคนตรงหน้า ก็กล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ท่านราชเลขาธิการ อาการบาดเจ็บของท่าน...”สีหน้าของเฉินเยี่ยนซูซีดเป็นอย่างมาก ทว่าก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “ไม่เป็นไร”ทว่าในตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ อวี้ม่านหวาฆ่าเฉินเยี่ยนซูไม่สำเร็จ ก็ชักปิ่นออกมาอีกจากนั้นหมุนตัวแทงไปที่ฉีจื่อฟู่ “เป็นเพราะคนเลวทรามอย่างท่าน! ขโมยความลับของแคว้นเจาไปมากมายขนาดนั้น ถึงทำให้แคว้นข้าต้องสลาย บ้านข้าต้องแตกสาแหรกขาด!”“หากข้าหลีกหนีความตายไม่พ้น ฉีจื่อฟู่ท่านก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า!”อวี่เหวิ
หรงจือจือเลิกคิ้ว ในใจผุดความรำคาญที่ยากจะอธิบายขึ้นมา พลางทอดสายตามองเขาราวกับเห็นสิ่งสกปรกที่สกปรกสามส่วน เป็นส่วนเกินมากกว่าสามส่วน หนำซ้ำยังอัปมงคลอีกสี่ส่วนก็มิปานสายตาเช่นนี้ทิ่มแทงจนฉีจื่อฟู่ถอยหลังก้าวหนึ่งหรงจือจือกล่าวขึ้นชืด ๆ “ที่จวนของใต้เท้าฉีมีหมอประจำจวนมิใช่หรือ? ท่านได้รับบาดเจ็บ มาบอกข้ามีประโยชน์อะไร?”“วิชาแพทย์ช่วยชีวิตคนรอดได้เพราะโชคช่วยเช่นที่ข้ามี ไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายท่านเสียหน่อย!”“ท่านราชเลขาธิการต้องบาดเจ็บเพราะข้า ข้าก็สมควรเป็นห่วงบ้าง อย่างไรใต้เท้าฉีรีบไปเรียกหมอที่จวนเถอะ”ตอนที่เฉินเยี่ยนซูมา เขาอยู่ห่างจากนางมากกว่าฉีจื่อฟู่ ทว่าอีกฝ่ายยังมารับดาบแทนตนได้ทว่าฉีจื่อฟู่ที่ปากเอาแต่บอกว่าคนที่รักก็คือตน ทว่ามีเพียงตอนที่คิดจะลากตนไปขอความเมตตาให้อวี้ม่านหวา เมื่อครู่ถึงได้พอจะมีเรี่ยวแรงเดินมายื้อยุดฉุดกระชากตนข้างกายตนได้ผู้ใดคือคนที่ควรค่าให้หรงจือจือเป็นห่วง มองเห็นได้อย่างชัดเจนหลังกล่าวจบ ก็ไม่มองฉีจื่อฟู่เพิ่มอีกเลยสีหน้าของฉีจื่อฟู่ซีดเผือดขึ้นเรื่อย ๆ ขอบตาเองก็แดงก่ำ ในที่สุดหมอประจำจวนก็มาถึงแล้ว และจัดการบาดแผลให้ฉีจื่อฟ
“ข้าไม่ได้มีหน้าที่เก็บกวาดความยุ่งเหยิงให้พวกเจ้าทุกครั้ง คนบ้าที่เจ้ายั่วยุด้วยตัวเอง ตัวเองปลอบไม่อยู่ เหตุใดจึงมาโทษข้าล่ะ?”“ส่วนที่ซวยไปพร้อมกับสกุลฉี นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเอาแต่ร้องขอในก่อนหน้านี้มิใช่หรือ?”“วันส่งท้ายปีเก่าวันแรกที่ข้าแต่งงานเข้าสกุลฉี เจ้ามาพูดอะไรกับท่านอาของเจ้าแต่เช้าตรู่ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว?”หรงจือจือไม่มีทางลืมวันนั้นตอนนั้นนางแต่งเข้ามาอยู่ในสกุลฉียังไม่ถึงสองเดือน วันที่มีแต่ลมและหิมะ ฉีจื่อฟู่ไปแคว้นเจาแล้ว นางเห็นว่าหิมะตกหนัก จึงตั้งใจเย็บเสื้อตัวนอกขนสุนัขจิ้งจอกอุ่นร่างกายไปให้นางถานยังไม่ทันเดินถึงประตู ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของนางถานกับถานผิงถิงนางถานกล่าว “นางหรงแต่งงานกับลูกชายข้าเพราะอยากเข้ามาพึ่งใบบุญ ในใจของข้ายังจำสิ่งนี้ได้ดี”แม้ถานผิงถิงจะเข้าใจผิดว่า ในตอนนั้นลูกพี่ลูกน้องของตนยังรักษาโรคอยู่ในจวน ก็ยังกล่าวกับนางถานดังเดิมว่า “อาหญิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ก็ควรค่าให้ท่านจดจำด้วยหรือ?”“ท่านพี่เขาเป็นคนมีความสามารถ หากเป็นข้า ไม่ว่าท่านพี่จะมีชาติกำเนิดอะไร ไม่ว่าท่านพี่จะสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไร ข้าก็ยินดีทั้งนั้น”“สิ่งที่หรง
ทันใดนั้นเขาก็ไม่สนสุขภาพของตนเอง รีบเรียกให้ชิวยี่ประคองตนลุกขึ้นมาจากเตียง ไปนั่งบนรถเข็นที่แค่นั่งก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมากในสามปีก่อน ก่อนจะถูกชิวยี่เข็นออกไประหว่างทางเขายังเร่งรัดตลอด “ชิวยี่ เจ้าเร็วหน่อยสิ! หากไปช้า เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว”ชิวยี่พูดอยู่ในใจ ด้วยท่าทีไม่แยแสคุณชายเลยแม้แต่น้อยของฮูหยินรองเมื่อคืน ต่อให้ไปเร็วก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ทว่าอย่างไรก็ไม่ดีที่จะฉีกหน้าคุณชายจึงทำได้เพียงสับฝีเท้าให้เร็วขึ้นหรงจือจือพร้อมคนเพิ่งออกมาจากประตูบุปผาย้อยของเรือนชั้นใน ครั้นเหยียบเข้าไปในเรือนชั้นนอกของสกุลฉี ก็ถูกผู้อาวุโสของสกุลฉีขวางเอาไว้ทีแรกได้ยินว่ามหาราชครูหรงสั่งให้คนยกเกี้ยวมา ระหว่างทางเจอเพื่อนร่วมงานจึงสอบถาม ไม่คิดเลยว่าจะกล่าวอย่างเปิดเผยว่ามารับลูกสาวที่หย่าร้างกลับบ้านผู้อาวุโสของสกุลฉีที่อยู่ใกล้จวนสกุลฉีได้ยินข่าวต่างก็รีบมาพากันโน้มน้าวหรงจือจือกันอื้ออึง “นางหรง! เมืองหลวงแห่งนี้มีสตรีสูงศักดิ์บ้านไหน ที่หลังแต่งงานออกไปแล้วยังโวยวายหย่ากลับบ้านมารดาบ้าง? เจ้าทำเช่นนี้มันไร้สาระมิใช่หรือ?”“แม้จะไม่ลงรอยกับจื่อฟู่ ระหว่างผัวเมีย มีคู่ไหนบ้า
หรงจือจือได้ยินดังนั้นก็ขำพรืด เวลาไหนแล้ว สกุลฉียังคิดจะใช้ตนช่วยให้พวกเขาพ้นผิดอีก ฝันหวานจริง ๆ!ครั้นเห็นว่านางไม่ได้เถียงกลับมาในทันที คนสกุลฉีก็ยังคิดว่าคำพูดของพวกเขา โน้มน้าวหรงจือจือได้ท่านปู่ฉีจิ่วรีบฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “นางหรง เจ้าคิดดูสิ ตอนนี้คือช่วงที่สกุลฉีลำบากที่สุด!”“ขอเพียงเจ้ายอมอยู่ที่จวนสกุลฉีต่อ ช่วยทำให้เราข้ามผ่านความยากลำบากไปได้ ก็จะเป็นผู้มีพระคุณของสกุลฉีเราแล้ว เราจะจดจำความดีของเจ้าเอาไว้!”“นับตั้งแต่นี้ จะไม่มีผู้ใด เขย่าตำแหน่งภรรยาเอกของเจ้าได้แล้ว ต่อไปหากจื่อฟู่เลอะเลือนอีก เราจะดุด่าเขาแน่นอน!”ใบหน้าของหรงจือจือเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนแรกที่ข้าแต่งงานเข้ามา ข้าคุกเข่าหมอบกราบขึ้นภูเขาเพื่อขอยาให้ฉีจื่อฟู่ ตอนที่โขกหัว ทุกท่านก็บอกว่าข้ามีความรู้สึกลึกซึ้งมีความหมายต่อฉีจื่อฟู่มิใช่หรือ?”“หลังจากนั้นพวกท่านทำกับข้าอย่างไร? พวกท่านคนสกุลฉี คู่ควรให้ข้าก้าวข้ามความยากลำบากไปกับพวกท่านหรือ?”ส่วนตำแหน่งภรรยาเอกของฉีจื่อฟู่ กระทั่งหมายังไม่แยแสเลยด้วยซ้ำ!ฉีอวิ่นกล่าว “ลูกสะใภ้แสนดี คนธรรมดามิใช่นักปรา
กล่าวจบ ไม่คิดเลยว่าเขาจะโซเซคุกเข่าลงจริง ๆหรงจือจือหลบออกไปหลายก้าวนางจะยอมรับการคุกเข่าของฉีจื่อฟู่ ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้จริง ๆ หรือ? เช่นนี้หากแพร่ออกไป ต่อให้ตนมีเหตุผล ก็อาจทำให้เกิดชื่อเสียงที่ไม่ดี ตกไปยังเหล่าพี่หญิงน้องหญิงของสกุลหรงคนอื่น ๆ ได้หรงจือจือ “ใต้เท้าฉี ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ไม่มีผู้ใดจงใจจะเหยียดหยามคนในครอบครัวของท่าน พวกเขาเป็นคนขวางข้าเอาไว้ หากท่านเป็นห่วงพวกเขาจริง ๆ ก็ให้พวกเขาทั้งหมดกลับไปเสีย”ฉีจื่อฟู่กล่าวขึ้นพลางขมวดคิ้ว “จือจือ พวกผู้อาวุโสเองก็ทำเพื่อเราสองคนทั้งนั้น”หรงจือจือเย้ยหยันเบา ๆ เพื่อนางหรือเพื่อสกุลฉีของพวกเขากันแน่?ฉีจื่อฟู่มองไปที่มหาราชครูหรง แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อตา ขอข้าคุยกับจือจือเพียงลำพังสักหน่อยได้หรือไม่?”มหาราชครูหรงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ใช่พ่อตาของเจ้า และไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้น”ผู้อาวุโสสกุลฉีกลับพากันตำหนิมหาราชครูหรงว่าไม่ได้เรื่อง “มหาราชครูหรง ถึงฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับท่านมาก แต่ท่านจะหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้ไม่ได้นะ!”“เขาผัวเมียมีอะไรจะพูดกัน พ่อตาอย่างท่านกลับขวางเอา
ฉีจื่อฟู่หลับตาลงอย่างห่อเหี่ยวใจ ใช่ เขารู้ นี่เป็นเรื่องที่มารดาทำออกมาได้เขาจะลืมได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หรงจือจือพาตนกลับไปเล่นละครที่สกุลหรง ใส่ใจฮูหยินผู้เฒ่าหรงถึงเพียงนั้น ระหว่างพวกเขากลายเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางอภัยให้สกุลพวกเขาฉีจื่อฟู่กล่าวทั้งลำคอแห้งผาก “ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้อยู่ต่อเพราะตัดใจจากข้าไม่ได้ ข้ากลับคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอด...”หรงจือจือไม่ได้ปฏิเสธ นางคิดว่าฉีจื่อฟู่ควรรู้ตัวนานแล้วฉีจื่อฟู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้น...ในใจของเจ้า เคยมีเยื่อใยต่อข้าบ้างหรือไม่?”หรงจือจือถามกลับชืด ๆ “ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”ฉีจื่อฟู่เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงกล่าวต่อว่า “ที่จริงสามปีก่อนข้ามักคิดว่า คล้ายกับเจ้ารักข้า แล้วก็คล้ายกับไม่รักเลยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจ สิ่งที่เจ้าสนใจคือข้า หรือว่าชื่อเสียงสะใภ้ใหญ่คุณธรรมของเจ้ากันแน่”และด้วยเหตุนี้ เขาถึงไปคบกับอวี้ม่านหวา และจงใจกลับมาหาเรื่องนาง เขาอยากพิสูจน์ว่านางรักเขาเป็นอย่างยิ่งและเขาเองก็อยากเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนางเป็นอย่างยิ่งหรงจือจือเองก็รู้สึกว่า ควรพูดให้ชัดเจนจึงกล่าวขึ้นอย่างไม
หรงจือจือมองไปที่เขา จงใจกล่าวคำฟังไม่เข้าหูสุด ๆ ออกมา “ท่านคิดเองว่าตอนนี้จะชดเชยอะไรข้าได้? ตอนนี้ขนาดยืนท่านยังยืนไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ท่านมีตรงไหนที่คู่ควรกับข้า?”“ท่านพาอวี้ม่านหวากลับมา หากโดนโทษหนัก ท่านไม่ทำให้ข้ากับสกุลหรงพลอยติดร่างแหไปด้วย ก็เป็นการชดเชยให้ข้าที่ดีที่สุดแล้ว มิใช่หรือ?”นางรู้ว่าแม้ฉีจื่อฟู่จะดูราวกับไร้ยางอาย คิดเข้าข้างตัวเอง ทว่าคนผู้นี้รักศักดิ์ศรีเป็นอย่างมากนางกล่าวเช่นนี้ ต้องทำให้เขาถอยไปได้แน่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆสีหน้าของฉีจื่อฟู่ซีดเผือดไปหมด เขาหลับตาลงพลางกล่าว “เจ้าไปเถอะ! ข้าจะไม่ขวางเจ้าเอาไว้! ทีแรกข้าเองก็ป่วยจนกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าเคยดูแลข้ามาครั้งหนึ่ง ข้าไม่มีหน้าให้เจ้ามาดูแลเป็นครั้งที่สองแล้ว”เขารู้ว่า หรงจือจือพูดอย่างชัดเจนขนาดนี้แล้ว ตนก็จนปัญญาจะรั้งให้นางอยู่แล้วเช่นกันหรงจือจือสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามองทว่าฉีจื่อฟู่เรียกให้นางหยุด “จือจือ อย่างไรข้าก็เคยสร้างความดีความชอบในการรบชนะเอาไว้ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะให้ข้าไปตาย”“ท่านย่าของเจ้าถูกท่านแม่ข้าบีบให้ตาย เจ้าเองก็ฆ่าท่านแม่ของข้า นับว
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา