หรงจือจือแสยะยิ้ม ยังคิดจะให้นางขอโทษ ฆ่าเจาซี? เกรงว่าคนสกุลฉีจะยังไม่ตื่นจากฝันจริง ๆนางปฏิเสธทั้งสีหน้าเย็นชา “ไม่มีทาง! วันข้างหน้าข้าจะใช้ชีวิตอย่างไร? ไม่ต้องให้สกุลฉีอย่างพวกท่านมาเป็นห่วง ฉีจื่อฟู่ ลงนามเสีย!”นางถานลุกขึ้นยืนพลางตอกกลับด้วยความเดือดดาล “นังคนชั้นต่ำไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นเจ้า เจ้ายังใจแข็งโวยวายจะเอาให้ได้จริง ๆ ใช่หรือไม่? พวกเราสงสารที่ท่านย่าของเจ้าจากไป ถึงได้ให้โอกาสเจ้าได้ขอโทษ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักคว้าเอาไว้”“ความจริงที่ท่านย่าของเจ้าจากไป เป็นเพราะชีวิตของนางสั้นเอง นางหมดบุญเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลเรา! นางสอนเด็กเนรคุณไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่เคารพสามีเช่นเจ้าออกมา ที่นางตายก็สมควรแล้ว!”ฉีอวี่เยียนเองก็กล่าวผสมโรงด้วย “นั่นน่ะสิ! พี่สะใภ้ กะอีแค่ยายแก่หนังเหนียวคนหนึ่งตายไปเท่านั้น ตายไปแล้วก็ตายไปสิ หรือว่าคนตายจะสำคัญกว่าคนเป็นอีกเช่นนั้นหรือ?”“ท่านยังกลับมาทั้งสวมชุดสีดำอีก นี่มันไม่เป็นการเพิ่มความโชคร้ายให้จวนโดยเปล่าประโยชน์หรือ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า อย่านำพลังงานหยินของคนตายนั่นมา ให้ตายเถอะ แค่คิดข้าก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแ
แต่ไม่คิดเลยว่า หลังหรงจือจือเก็บหนังสือหย่าไป นางก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ปริปากเอ่ยกับฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่คำเดียวครั้นเห็นว่าในสายตานางไร้ซึ่งเยื่อใย ในใจเขาก็กระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อยขณะนี้นางถานยังยืนกระทืบเท้าพลางด่าตามหลังหรงจือจือว่า “หรงจือจือ! เจ้าทำกับแม่สามีและน้องสามีเช่นนี้ ข้ารู้ว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้างนอกรู้เข้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะกลายเป็นคนไร้ซึ่งความเป็นคนและอกตัญญู!”ฉีจื่อเสียนเองก็กล่าวอยู่ข้าง ๆ “ท่านแม่วางใจเถิด ข้ามีสหายสนิทร่วมสำนักมากมาย ขอเพียงพวกเขาช่วยพูด สกุลหรงก็ไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่!”ฝีเท้าของหรงจือจือชะงัก ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพวกเขาแม่ลูก “เรื่องในวันนี้ หากข้าได้ยินคำพูดที่ไม่ดีต่อข้าแม่แต่คำเดียว ข้าจะไปคุกเข่าร้องไห้หน้าประตูจวนผู้ตรวจการจาง”“เล่าว่าพวกท่านทั้งบ้านคิดจะฮุบสินเดิมข้าอย่างไร บีบให้ข้าเป็นอนุอย่างไร บีบท่านย่าของข้าให้ตายอย่างไร มิหนำซ้ำยังเอ่ยคำพูดหยาบคายออกมาหลังท่านย่าข้าจากไปแล้วอีก!”“ข้าละอยากรู้ยิ่งนักว่า ท่านผู้ตรวจการกับผู้คนในใต้หล้า จะเข้าข้างข้าหรือเข้าข้างตระกูลพวกท่าน!”นางถาน “เจ้า…เจ้ายังคิดจะไปคุกเข่าร
ไม่มีผู้ใดรู้จักลูกดีเท่ามารดา ไหนเลยนางถานจะไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนั้นคนในใจของลูกชายตนคือหรงจือจือ ที่อยู่กับอวี้ม่านหวา ประการแรกเนื่องจากรู้สึกเหงาขณะอยู่ที่แคว้นเจา ประการที่สองเพราะอยากเอามาบีบหรงจือจือนางคนชั้นต่ำนั่นก็เท่านั้นครั้นเห็นท่าทีของลูกชาย นางเองก็เดือดดาลเข้าไปใหญ่ “เจ้ากลัวอันใด? ไม่ต้องไปให้ความสำคัญนาง นางแค่อยากให้เจ้าไปง้อนางเท่านั้น ตัดใจจากไปได้จริง ๆ เสียที่ไหนกัน? ที่ตอนนี้กลับไปยังเรือนหลัน ก็แค่เสแสร้งให้เจ้าดูเท่านั้น!”ฉีอวี่เยียน “นั่นน่ะสิเจ้าคะ มีเพียงบุรุษที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างท่านพี่เท่านั้น ถึงเป็นห่วงนาง ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร ถึงขั้นหย่ากับท่านพี่เพราะคนตายเพียงคนเดียว!”นางถานเองก็เอ่ยเสริมว่า “นางไม่รู้จักทะนุถนอมโชคเลยจริง ๆ!”ครั้นถูกมารดาและน้องสาวปลอบเช่นนี้ ฉีจื่อฟู่ก็เบาใจลงนางถานเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “วันนี้องค์หญิงถูกทำให้ตกใจแล้ว ถูกนายบ่าวที่นิสัยอย่างกับหญิงปากร้ายด่าหยาบโลน ไม่รู้ว่าจะกระทบถึงลูกในท้องหรือไม่ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงดี ๆ เดี๋ยวไปเชิญหมอประจำจวนมาตรวจดูชีพจรให้องค์หญิงด้วย!”“นี่เป็นหลานคนแรกของจวนโหวเ
เจาซีตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ใช่สาวใช้ที่ชื่อเซี่ยอวี่ที่คุณหนูชอบช่วยเหลือบ่อย ๆ คนนั้นหรือไม่?”อวี้หมัวมัว “ใช่ เป็นนาง”เจาซีเบะปาก “จะมีเรื่องอะไรได้ คงมาให้คุณหนูเราช่วยกระมัง? นี่คุณหนูหย่ากับคนสกุลฉีแล้ว กำลังจะไปแล้วนะ!”ใช่จะบอกว่านางมีมโนธรรมไม่มากพอ ไม่ยอมช่วยคน ความจริงแล้วนั้นไม่ว่าเซี่ยอวี่นั่นจะกล่าวอย่างไร ดีร้ายก็เป็นทาสรับใช้ที่เกิดในสกุลฉี มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ต้องรับใช้อยู่ข้างกายฉีอวี่เยียนอีกหากช่วยนางอีก มักจะรู้สึกโชคร้ายหรงจือจือวางของที่อยู่ในมือลง ก่อนจะเอ่ยทั้งน้ำเสียงจืดชืดว่า “เรียกเข้ามาก่อน ฟังดูแล้วกันว่านางจะว่าอย่างไร”ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องด่วนตัดสินว่าอีกฝ่ายมาเพราะมีเรื่องให้ช่วยอวี้หมัวมัว “เจ้าค่ะ ข้าจะไปพานางเข้ามาเดี๋ยวนี้!”ไม่นาน เซี่ยอวี่ก็เดินเข้าประตูมาครั้นมาถึงตรงหน้าหรงจือจือ นางก็คุกเข่าลงเสียงดัง ‘ตุบ’ “ฮูหยินซื่อจื่อ ที่มาขอพบฮูหยินกะทันหัน ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วย และอย่าทำให้คุณหนูบ้านข้ารู้เข้า”เจาซี “ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาขอพบ คุณหนูบ้านข้าเคยบอกให้ฉีอวี่เยียนรู้ตั้งแต่เมื่อใด? หากเจ้ากลัวนักก็อย่ามาสิ!”ห
เซี่ยอวี่กัดฟันพร้อมบังอาจพูดจาเลียนแบบนางถาน “นางกล่าวว่า ‘ตอนนี้ ยายแก่นั่นก็ตายไปแล้ว สกุลหรงยังมีที่คุ้มกะลาหัวของหรงจือจืออีกหรือ? ต่อไปหรงจือจือก็เป็นเพียงหมาตัวหนึ่งของเราเท่านั้น’!”หรงจือจือเดือดจนตาแดงก่ำ สั่นระริกไปทั้งตัว “ท่านย่าข้าไม่เคยยุ่งเรื่องสกุลฉี แล้วเหตุใด...เหตุใดพวกเขา? พวกเขาเองก็ไม่มีใครที่ไม่เสนอกับข้าว่าอยากจะรับอวี้ม่านกลับมา แต่ข้าเองก็ไม่เคยปฏิเสธ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยท่านย่าของข้าไป?”เซี่ยอวี่ตอบทั้งสะอึกสะอื้น “ฮูหยินกล่าวว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่สามีของคุณหนู อยากรับองค์หญิงกลับมา คุณหนูจะไม่ยินยอมก็ไร้ประโยชน์ มีคำว่ากตัญญูค้ำคอคุณหนูอยู่ คุณหนูเองก็จนปัญญา”“แต่ท่านย่าของคุณหนูไม่เหมือนกัน นางเป็นผู้ใหญ่ หากโวยวายขึ้นมาจะลำบากจริง ๆ ฮูหยินกล่าวว่าเพื่อหลานคนโตที่เกิดจากเมียเอกของจวน มีแต่ต้องสละชีวิตของท่านย่าคุณหนูเท่านั้น!”ครั้นหรงจือจือฟังถึงตรงนี้ นางก็หัวใจแทบสลาย เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแทบกระอักเลือดออกมาเจาซี “คุณหนู!”นางรีบเอ่ยกับเซี่ยอวี่ “เจ้าเลิกพูดได้แล้ว เจ้าไปเถอะ! เจ้ารีบกลับไปเสีย!”หรงจือจือห้ามเจาซีพลางจ้องเซี่ยอวี่แล้วก
เจาซีรู้สึกใจแตกสลายจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางกับคุณหนูมีความสุขกันขนาดนั้น ปรึกษาหารือด้วยกันยามนอนว่า หลังกลับไปอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่จะใช้ชีวิตเช่นไรจะมีความสุขเช่นไรทว่าเพราะนางถาน ความฝันนี้...จึงต้องสลายไปหรงจือจือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามเฮือก นัยน์ตาแดงเถือกไปหมด แววตาเย็นยะเยียบจนราวกับงูที่หลับเป็นตายมานานนางมองไปที่เซี่ยอวี่พร้อมเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปเถิด วันนี้ข้าจะทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยมา เจ้าเองก็ทำเป็นว่าไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังแล้วกัน”เซี่ยอวี่โขกศีรษะ “ขอบคุณที่คุณหนูหรงให้อภัย! บ่าวขอตัวลา!”นางลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นออกไปเจาซีมองแผ่นหลังของนาง ยังมีน้ำโหอยู่เล็กน้อย “คุณหนูเจ้าคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูช่วยนางขนาดนั้น แต่นางดันไม่ยอมเป็นพยานให้...”หรงจือจือส่ายศีรษะ “อย่างไรนางก็เป็นคนของฉีอวี่เยียน แค่ยอมบอกเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้ ก็นับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแล้ว”เจาซี “เช่นนั้น...เช่นนั้นเรื่องนี้ล่ะเจ้าคะ!”มุมปากของหรงจือจือยกขึ้น รอยยิ้มเย็นยะเยือกจนน่ากลัว “มีความอยุติธรรมก็ต้องทวงคืนความเป็นธรรม มีแค้นก็ต้องล้างแค้นอยู่แล้ว!”อวี้หมัวมัวเอ่ยขึ้นด้ว
“เพราะบนโลกใบนี้ มีเพียงท่านย่าผู้เดียวที่รักข้า เพราะการยอมรับของท่านย่า สำหรับข้ามันหมายถึงทุกสิ่ง”“แต่ท่านย่าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดท้ายที่สุดแล้ว ข้ากลับไม่เหลืออะไร! ข้ากลับไม่เหลืออะไรเลย! ข้าไม่เคยทำผิดต่อผู้ใด ข้าไม่เคยล่วงเกินผู้ใด แล้วเหตุใดสุดท้ายคนที่ต้องประสบเรื่องทั้งหมดนี้กลับเป็นข้า? ทำไมพวกเขาต้องแย่งไปกระทั่งท่านย่าไปด้วย? เพราะเหตุใดกันแน่?!”น้ำเสียงของนางแหบแห้ง น้ำตาไหลดุจสายฝน พร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาราวกับเป็นบ้าทว่าไหนเลยที่นางจะรู้ ในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลในที่ที่หิมะปกคลุมไปทั่วพื้นดิน ชายหนุ่มรูปงามสูงส่ง ดวงหน้าดุจเกี้ยวหยกผู้หนึ่ง กำลังยืนมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดวงใจแตกสลายสุดจะพรรณนาอยู่เงียบ ๆหรงจือจือไม่ได้คำตอบจากท่านย่า หากเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ นายหญิงใหญ่จะต้องกล่าวคำพูดปลอบใจนางมากมายเป็นแน่ บอกให้นางใจกว้าง อย่ายึดติดทว่าตอนนี้ไม่มีใครคอยปลอยนางแล้วท้ายที่สุดหรงจือจือก็ใจเย็นลง พลางฉีกยิ้มจาง ๆ ทั้งน้ำตาที่ไหลออกมา “ท่านย่า สกุลฉีรนหาที่เอง คนสกุลฉีเป็นคนปลุกปีศาจร้ายให้ตื่นเอง ท่านย่าคอยม
เฉินเยี่ยนซูไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงมองนางเงียบ ๆหรงจือจือไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ปริปากออกมา นางเองก็ไม่กล้าพูดเนื่องจากนางรู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ในแคว้นต้าฉีมีความหมายว่าอย่างไร แม้นางจะเคยช่วยชีวิตอีกฝ่าย ทว่านางเองก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยเพียงอีกฝ่ายเอ่ยออกมาคำเดียวก็สามารฆ่าตนได้แล้ว ง่ายราวกับบีบแมลงตัวหนึ่ง กระทั่งฝ่าบาทจะฆ่าคนยังต้องหาเหตุผล ทว่าราชเลขาธิการผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้ไม่ต้องส่วนนางยังไม่ได้แก้แค้นให้ท่านย่า นางยังตายไม่ได้ และล่วงเกินเขาไม่ไหว!หลังจากนั้น หรงจือจือก็นึกขึ้นได้ในฉับพลัน ท่านพ่อราวกับจะลอบตำหนิอัครมหาเสนาบดีเฉินเล็ก ๆ น้อย ๆ เนื่องจากริษยา ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะทำให้ตนลำบากด้วยเหตุนี้หรือไม่ เรื่องนี้ยิ่งทำให้ใจของนางกระวนกระวายแน่นอนว่าเฉินเยี่ยนซูย่อมมองความกลัวและความระวังตัวในแววตาของหรงจือจือออกแม้นางจะเคยช่วยชีวิตเขาไว้ นางมองแววตาของตนแล้วก็ระแวงเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้ทำให้หมัดของเขากำขึ้นโดยไม่รู้ตัว สกุลฉีไม่เพียงข่มเหงนาง เหยียดหยามนาง ทำให้คนที่รักของนางต้องตาย ยังทำลายความเชื่อใจที่นางมีต่อผู้คนอีกด้วยเขาเอ
หรงเจียวเจียวเห็นหรงซื่อเจ๋อมั่นใจขนาดนี้ก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อยหรงซื่อเจ๋อวางกล่องอาหารในมือลงและเอ่ยปาก “ข้ารู้ว่าหลายวันมานี้พวกท่านลำบากมามาก ข้าจึงตั้งใจไปซื้อขนมมาฝากโดยเฉพาะ ในนี้ยังมีรังนกที่เป็นของโปรดของน้องหญิงด้วย”“พวกท่านรีบกินเถิด ประเดี๋ยวกินเสร็จแล้วข้ายังต้องนำกล่องอาหารกลับไปด้วย มิเช่นนั้นอาจจะถูกท่านพ่อจับได้”หรงเจียวเจียวน้ำลายไหล ที่ผ่านมานางไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะมีให้กินเป็นปกติ แต่เมื่อถูกสั่งห้ามไม่ให้กิน นางกลับนึกถึงรสชาติที่เคยกินอยู่ตลอดเวลานางยกอาหารออกมากินคำโตทันทีตอนแรกนางหวังยังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นบุตรสาวกินอย่างเอร็ดอร่อยก็กินตามแต่นางไม่ลืมที่จะกำชับหรงซื่อเจ๋อ “ต่อไปเจ้าอย่าได้มาที่นี่อีก หากท่านพ่อของเจ้ารู้เข้า เจ้าเองก็จะถูกลงโทษไปด้วย ช่วงนี้เขาไม่ค่อยพอใจเจ้านัก แผลที่หลังเจ้าก็ยังไม่หายดี”หรงซื่อเจ๋อพยักหน้า “ลูกเข้าใจขอรับ”นางหวังถามต่อ “เจ้ากับคุณหนูสกุลอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง? ถึงแม้ฐานะครอบครัวนางจะต่ำกว่าพวกเรามาก แต่บรรดาพี่ชายของนางล้วนแต่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะพี่ชายคนโตที่ได้เข้าสำนักฮั่นหลินแล้ว ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงให้
เดิมทีนางก็ทรมานมากพออยู่แล้วที่ท่านพ่อไม่ให้กินเนื้อสัตว์ในช่วงไว้ทุกข์ ทว่าตอนนี้กลับแย่ยิ่งกว่านั้น นางไม่เพียงต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งรังนกก็ยังอดกินไปด้วยนางหวังอยากกินผักใบเขียวอยู่แบบนี้ที่ใดกัน?นางลูบใบหน้าของบุตรสาวตัวเองด้วยความสงสาร “บุตรสาวผู้น่าสงสารของข้า ผอมซูบหมดแล้ว! หากไม่ใช่เพราะหรงจือจือ พวกเราสองแม่ลูกมีหรือจะตกอยู่ในสภาพน่าอนาถแบบนี้?”“ข้าพูดมาตั้งนานแล้วว่าดวงของนางข่มข้า แต่นางกลับไม่ยอมรับ! บัดนี้นางทำให้ข้าถูกลงโทษด้วยการคุกเข่าอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ยังจะมีหน้ามาพูดอะไรได้อีกกัน?”หรงเจียวเจียวพูดทั้งน้ำตา “เป็นเพราะลูกไม่ได้เรื่องเอง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของท่านพ่อ มิเช่นนั้นท่านแม่คงไม่ถูกลงโทษไปด้วย…”นางหวังพูดด้วยความชิงชัง “จะโทษเจ้าได้อย่างไร? ต้องโทษหรงจือจือต่างหาก ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้กลอุบายมารยาสาไถมาจากที่ใด ถึงได้ล่อลวงราชเลขาธิการเฉินได้”“เจ้าเป็นคนบริสุทธิ์และน่ารัก จะไปมีความสามารถต่ำช้าแบบนั้นได้อย่างไร? เจ้าจะสู้นางไม่ได้ก็ไม่แปลก!”“แต่ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ รอให้พวกเราออกไปแล้ว แม่จะหาคู่ดูตัวให้เจ้าใหม่ ราชเลขาธิการ
หรงซื่อเจ๋อกล้าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?ยังไม่ทันจะแต่งงานกันก็จะให้น้องหญิงของเขาก้มหัวต่อหรงเจียวเจียวเสียแล้ว วันหน้าแต่งงานไปแล้วจะไม่หนักกว่านี้หรือ? สงสัยจะได้เหยียบหน้าเซียวเซียวกันพอดี!ใต้เท้าอวิ๋นเห็นเขามีอาการหุนหันพลันแล่นก็รีบห้ามไว้ “ไม่ได้! หรงซื่อเจ๋อเป็นบุตรชายของมหาราชครูหรง ห้ามลงมือด้วย”“นอกจากนี้ หากเจ้าไปทำร้ายเขาถึงบ้านจริงๆ เมื่อเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทั่วทั้งใต้หล้าคงรู้เรื่องที่น้องหญิงของเจ้าหมั้นหมายกับเขา!”พวกเขาอยากยกเลิกการหมั้นหมายแบบเงียบๆ มากกว่า ทำให้เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นพี่ใหญ่สกุลอวิ๋นถึงค่อยยอมสงบสติอารมณ์ลงอวิ๋นเสวี่ยเซียวกัดฟันพูดด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ “เขาไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าหรงเจียวเจียวนั่นพูดโง่เขลาอะไรที่จวนสกุลหลี่บ้าง หากข้าออกหน้าช่วยพูดให้นาง ชื่อเสียงของสกุลอวิ๋นคงได้จบสิ้นกันพอดี”“แค่ข้าไม่ได้ร่วมตำหนิหรงเจียวเจียวและแสดงออกถึงความดูแคลนก็คือว่าเห็นแก่การหมั้นหมายมากพอแล้ว!”มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าตอนนั้นนางอยากเหยียบย่ำหรงเจียวเจียวมากเพียงใด นางไม่ได้อยากทำเพื่อเอาใจหรงจือจือ แต่อยากทำเพราะดูแค
“ข้ากลัวว่าหากตัวเองพูดอะไรผิดจนเขาไม่พอใจแล้ว ข้อตกลงแต่งงานที่ได้มาโดยยากนี้จะเป็นอันยกเลิก ข้าเองก็ลำบากใจมากเช่นกันนะเจ้าคะ”“เวลานั้นท่านราชเลขาธิการโมโหมาก ทุกคนตกใจกลัวกันหมด ลูกจะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไร…”มหาราชครูหรงสะอึกไปชั่วขณะ เขาพิจารณาหรงจือจือก่อนจะซักถาม “เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้มีนิสัยประจบเอาใจผู้อื่นเช่นนี้!”หรงจือจือวางตัวเป็นบุตรสาวผู้เชื่อฟังพูดเสียงแผ่วเบาว่า “แต่ว่าท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่า การหย่าร้างหนึ่งครั้งสามารถโทษได้ว่าเป็นความผิดของสกุลฉี แต่หากวันหน้ายังมีการหย่าร้างอีก นั่นจะเท่ากับเป็นความผิดของลูกมิใช่หรือเจ้าคะ?”“วันนั้นลูกจดจำคำสอนของท่านและคิดทบทวนตัวเองอยู่ตลอด กลัวว่าหากตัวเองยังทำตัวแข็งกร้าวไม่ยอมคนเหมือนเดิม ท่านราชเลขาธิการเฉินจะไม่พอใจ ด้วยเหตุนี้จึงต้องระงับนิสัยของตัวเองเอาไว้”“ลูกเชื่อฟังที่ท่านบอกทุกอย่าง หรือว่าลูก…ทำผิดอีกแล้วเจ้าคะ?”มหาราชครูหรง “…”ยากมากที่เขาจะไม่รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองเมื่อตอนนั้นทำให้หรงจือจือไม่สบายใจ นางจดจำมานานขนาดนี้ อีกทั้งวันนี้ก็จงใจยกขึ้นมาโต้แย้งเขานี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าบุตรสาวของตัวเ
นางหวังเกือบโมโหอกแตกตายเพราะคำพูดนี้ หันไปมองด้วยความโมโห “หรงจือจือ เจ้าว่ากระไรนะ? เจ้าเป็นลูกสาวแต่กล้าบอกให้ข้าผู้เป็นมารดาไปคุกเข่ารับโทษอย่างนั้นหรือ?”มหาราชครูหรงอยู่ที่นี่ หรงจือจือย่อมไม่โง่เขลาที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าฮูหยินหรงให้มหาราชครูหรงไม่พอใจนางพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านแม่ บรรพบุรุษสกุลหรงของเราล้วนแต่เป็นผู้มีศีลธรรม ต้องช่วยสยบสิ่งอัปมงคลในตัวท่านได้อย่างแน่นอน”“ที่ลูกเสนอเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงสุขภาพท่าน ท่านควรรู้สึกขอบคุณจึงจะถูกนะเจ้าคะ!”นางหวังกัดฟัน เมื่อครู่นี้นางบอกให้หรงจือจือถอนตัวจากการแต่งงาน บอกว่าทำไปเพราะหวังดีและบอกให้นางรู้สึกขอบคุณ แต่แล้วตอนนี้ตัวเองกลับถูกคำพูดเหล่านี้ย้อนกลับเข้าตัว…นางมีหรือจะไม่รู้ว่าหรงจือจือกำลังเอาคืน!นางกัดฟันพูดว่า “หรงจือจือ เจ้าอย่ามาพูดเหลวไหล มีสิ่งอัปมงคลอะไรกัน? กล้าดีอย่างไรมาแช่งแม่ตัวเองแบบนี้ เจ้า…”แต่แล้วตอนนี้มหาราชครูหรงกลับพูดตัดบทด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ว่าจะมีสิ่งอัปมงคลหรือไม่ เจ้าก็ควรไปทบทวนตัวเองที่โถงบรรพชน !”นางหวังตกใจ “ท่านพี่?”มหาราชครูหรงมองนางด้วยความผิดหวัง “เมื่อก่อนนี้ข้าคิดเพียงว
นางไม่อยากให้นางหวังกับหรงเจียวเจียวสมปรารถนา!ขณะที่นางหวังกำลังพูดอยู่ จู่ๆ ก็เกิดความคิดอะไรบางอย่าง “เจ้าสามารถบอกท่านราชเลขาธิการไปว่า ตัวเองเป็นหญิงมั่วบุรุษ ไม่คู่ควรที่จะแต่งงานกับเขา ทั้งยังสามารถแต่งเรื่องไปว่าตัวเองเป็นกามโรค เพียงเท่านี้ ท่านราชเลขาธิการก็จะหลีกหนีเจ้าเหมือนแมลงมีพิษและละทิ้งเจ้าแล้วมิใช่หรือไร?”ถึงแม้หรงจือจือจะเลิกคาดหวังในตัวนางหวังมานานแล้ว แต่นางก็ยังหน้าซีดอยู่ดีที่ได้ยินดังนี้ครานี้ ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดมีเสียงตวาดลั่นด้วยความเดือดดาลดังมาจากประตู “เหลวไหล! เจ้ากำลังพูดเรื่องบ้าอะไร?”นางหวังหันไปมองก็พบว่าเป็นมหาราชครูหรง ครั้นทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองพูดก็มีสายตาหวาดกลัว “ท่านพี่ ข้า…เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแต่พลั้งปากไปชั่วขณะ!”มหาราชครูหรงพูดด้วยสีหน้าเขียวซีด “แบบนี้เรียกว่าพลั้งปากหรือ? หากเจ้าจะกล่าววาจาเช่นนี้ในเวลาที่พลั้งปาก เช่นนั้นก็ดื่มยาพิษให้ตัวเองเป็นใบ้ไปเลยเถอะ จะได้ไม่สร้างปัญหา!”ในใจนางหวังขื่นขม เสียใจจนดวงตาแดงพร่า ตั้งแต่ที่แต่งงานมา นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพี่ใช้วาจารุนแรงกับนางขนาดนี้นี่ทำให้นางอดพูดอย่างขุ่นเคืองไม่ได้
ตอนนี้นางหวังมีความคิดดีๆยามนี้มีนางกำนัลเฉินอยู่ด้วย นางไม่อาจลงมือกับหรงจือจือ แต่ในฐานะมารดาแล้ว การสั่งให้หรงจือจือไปคุกเข่าที่โถงบรรพชนของสกุลหรง ต่อให้ไทเฮาทรงเสด็จมาด้วยองค์เองก็ประณามอะไรไม่ได้หรงจือจือเลิกคิ้วมองนางหวัง “ฮูหยินหรงกล่าวผิดแล้ว ผู้ที่ทำให้น้องสามขายหน้าในวันนี้ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”“ผู้ที่ยกเรื่องการหมั้นหมายระหว่างนางกับราชเลขาธิการเฉินขึ้นมาพูดคือป้าสะใภ้สกุลหลี่ ส่วนผู้ที่ชี้แจงว่าไม่ได้จะแต่งงานกับน้องสามคือท่านราชเลขาธิการ ตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน?”นางหวังพูดด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเองอีก! หากไม่ใช่เพราะเจ้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งการแต่งงานของน้องหญิงเจ้า ท่านราชเลขาธิการมีหรือจะไม่ชอบเจียวเจียวผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปเลือกหญิงมั่วโลกีย์ที่ผ่านมือคนอื่นมาแล้วเช่นเจ้า!”นางกำนัลเฉินขมวดคิ้ว “ฮูหยิน ระวังวาจาด้วย”นางมองว่าตัวเองเจอประสบการณ์มามาก ทว่ากลับไม่เคยเห็นมารดาคนใดดูแคลนบุตรสาวของตัวเองเช่นนี้มาก่อนหรงจือจือฟังถ้อยคำหยามเหยียดของนางหวังแล้วไม่ได้มีสีหน้าขุ่นเคืองแต่อย่างใดตรงกันข้าม
ฮูหยินอวิ๋นกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “เอาแบบนี้เลย ประเดี๋ยวกลับไปหารือกับบิดาและพี่ชายของเจ้าแล้วค่อยว่ากัน!”วันนี้บิดาและพี่ชายของอวิ๋นเสวี่ยเซียวไปทำงานพอดี เป็นเหตุให้ไม่ได้มาด้วย“เรื่องในราชสำนักเปรียบได้กับการดึงผมเส้นเดียวกระทบทั้งตัว การแต่งงานระหว่างสองครอบครัวก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เรื่องนี้ต้องให้บิดาของเจ้าตอบตกลงด้วย”อวิ๋นเสวี่ยเซียวกอดแขนฮูหยินอวิ๋นออดอ้อน “ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าท่านแม่ใจดีที่สุด”ทว่าฮูหยินอวิ๋นกลับรู้สึกปวดหัว “เจ้านี่นะ ดูแล้วคงจะอ่านตำรามากเกินไป ถึงได้มีความคิดพวกนี้!”หากเป็นแม่นางคนอื่น ต่อให้รู้สึกว่าอนาคตไม่สดใสก็คงก้มหน้ายอมรับชะตากรรม อย่างมากก็แค่คิดหาวิธีออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากหลังจากแต่งงาน อวิ๋นเสวี่ยเซียวยิ้มว่า “ข้ารู้สึกว่าคุณหนูใหญ่สกุลหรงคงอ่านตำรามามากเช่นกัน นางถึงได้มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่จะหย่าร้าง ลูกรู้สึกนับถือในตัวนางมากจริงๆ”ครานี้ฮูหยินอวิ๋นมีอาการตื่นตกใจ “เจ้าเลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว! แค่อนุญาตให้เจ้าพูดเรื่องถอนหมั้นก็ถือว่าครอบครัวใจดีกับเจ้ามาก อย่าได้พูดเรื่องหย่าร้างอีก วันหน้าแต่งงานไปแล้วก็อย่าได้คิดเรื่องนี้”อว
ฮูหยินอวิ๋นฉุนเล็กน้อย ขณะที่มองอวิ๋นเสวี่ยเซียวก็กล่าว “ถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก หากข่าวแพร่ออกไปแล้ว สุดท้ายมันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเจ้า”อวิ๋นเสวี่ยเซียว “ก่อนหน้านี้เพราะงานขาวดำของนายหญิงผู้เฒ่าหรง เรื่องงานหมั้นยังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างเอิกเกริกเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“คิดว่าคงมีแค่สองตระกูลที่รู้เรื่อง ไม่สู้ยกเลิกงานหมั้นแบบส่วนตัว หากด้านนอกมีข่าวลืออะไร พวกเราก็บอกได้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”ฮูหยินอวิ๋นแตะหน้าผากของนางเบา ๆ พลางกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าว่า พ่อและพี่ชายเจ้าตามใจเจ้าเกินไปเสียแล้ว คำพูดที่ไม่มีขอบเขตเช่นนี้ ยังจะกล้าพูดพล่อย ๆ ออกมาได้”“เจ้าลองดูในเมืองหลวงแห่งนี้ สตรีผู้สูงศักดิ์บ้านใด เป็นฝ่ายอยากถอนหมั้นก่อนบ้าง? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”อวิ๋นเสวี่ยเซียวท้อแท้เล็กน้อย ตอนที่นางเอ่ยปาก ความจริงก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก บนโลกนี้มีขีดจำกัดมากมายต่อสตรี แต่บุรุษกลับผ่อนปรนเป็นอย่างมากหากในงานเลี้ยงแต่งบทกวีวันนี้คนที่ประพฤตติตัวไม่เหมาะสม และโดนดูถูกเป็นตนเอง แม้หรงซื่อเจ๋อจะถอนหมั้น ก็คงไม่มีใครตำหนิเขาแม้แต่นิดเดียว แต่สกุลอวิ๋นของนางยังต้องถูกวิพากวิจาร