รัตติกาลถูกย้อมด้วยเปลวเพลิง
แผ่นดินสะอื้นครวญคร่ำร่ำไห้
โชคชะตาชิงชังกักขังข้าฯไว้
หนึ่งปรารถนาเพียงใจได้พบนาง
เสียงรำพึงรำพันหวานโศกล่องลอยในอากาศราวกับวงแขนที่โอบรัดทว่ามองไม่เห็น ความหนาวเย็บเสียดแทงทุกอณูเนื้อของร่างกายเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ปรารถนาเพียงการจำนนเพื่อปลดปล่อยจากความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งมวล ทว่าเสียงขับร้องบทกวีซ้ำๆ เรียกสติที่เหลือน้อยนิด เหนี่ยวรั้งให้กลับมา
‘ไม่ต้องกลัว ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่ากี่ชาติภพ ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ’
‘ไม่ต้องกลัว’
คล้ายมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ในลำคอ ในที่สุดหญิงสาวสำลักจนอาเจียนออกมาหมดสิ้น ร่างบอบบางพลิกตัวโกงคออาเจียนเป็นน้ำเหนียวข้นสีเหลือง บนพื้นที่มีหิมะปกคลุมบางเบาแต่กลับเห็นได้ชัดว่า นางสำรอกเอาน้ำย่อยออกมา
“ดีแล้วๆ อ้วกออกมาให้หมด” มือหยาบกระด้างตบแผ่นหลังของหญิงสาว “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
กระเพาะแสบร้อนไปหมด แต่กระนั้นกลับเรียกสติให้หญิงสาวได้เป็นอย่างดี ดวงตางดงามกวาดมองไปถ้วนทั่วแต่กลับยิ่งมึนงงสับสน
“เด็กน้อยของข้า” มือข้างนั้นยังคงลูบแผ่นหลังของนาง “รักษาชีวิตไว้เถิด ให้สมกับที่แม่เจ้ามอบชีวิตนางเพื่อเจ้า”
“คุณ...คุณน้าพูดเรื่องอะไรกันคะ”
กว่าจะเค้นเสียงพูดออกมาได้ก็แสนยากเย็น ลำคอแผดร้อนไปหมด เจ้าของดวงตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาจ้องมองเจ้าของมือหยาบกระด้าง สตรีตรงหน้าปล่อยผมยาวกระเซอะกระเซิง สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีขาวขุ่น ใบหน้าเหลือเค้าโครงความงามในอดีตทว่ายามนี้หมองคลำและผอมจนแก้มซูบตอบเห็นเป็นกระดูกที่โหนกแก้ม
“เจ้าพูดอันใดกัน หรือป่วยไข้จนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
“ที่นี่...” ไม่อยากจะใช้คำถามนี้เลย แต่หญิงสาวก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะใช้ประโยคไหนดี “ที่นี่ที่ไหนคะ”
“แย่แล้วๆ เจ้าป่วยหนักจริงๆ รีบเข้าไปด้านในเถิด แม้ยามนี้ปลายฤดูหนาวแล้ว แต่เจ้าดูสิหิมะยังหนาอยู่ ปีนี้หนาวรุนแรงเหลือเกิน”
ท่าจะป่วยหนักจริงๆ? หญิงสาวยันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก อาจเพราะก่อนหน้านี้ฟุบอยู่บนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะทำให้เสื้อผ้าที่สวมเปียกชื้น ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นทันที
“เหยาเอ๋อร์ แม้ถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่ตำหนักเย็นแห่งนี้ แต่เจ้าไม่ต้องทรมานตนเองจนรีบร้อนไปปรโลกเลย”
“เหยาเอ๋อร์” หญิงสาวยกนิ้วชี้ที่ตัวเอง “คุณน้ารู้จักชื่อของฉันหรือคะ”
สตรีผู้นั้นเบิกตาโตจ้องมองดรุณีที่เคยงดงามราวกับดอกกล้วยไม้ แล้วก็ส่ายหน้าด้วยความเวทนาใจ
“หลินอวี่เหยาเอ่ย แม้แต่ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้ แล้วเจ้าจำข้าได้หรือไม่ ข้าจื่อหนิง เจ้าจำได้หรือไม่ ข้าเคยได้ยินว่าคนป่วยไข้บางครั้งก็เลอะเลือนจดจำตัวเองไม่ได้”
“หลิน-อวี่-เหยา อ๊ะ!”
หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ เพียงก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่ทรุดโทรมแทบป้องกันไอเย็นไม่ได้เลย ร่างบอบบางก็ทรุดลงไปนั่งบนพื้น ราวกับมีพายุโหมกระหน่ำในศีรษะความทรงจำราวสายน้ำหลากโหมกระหน่ำถาโถมจนแทบสำลัก ในที่สุดหญิงสาวก็รู้ว่า ‘หลิวอวี่เหยา’ คือใคร
“นี่...ตำหนักเย็น...” หญิงสาวพึมพำหลังอาการปวดศีรษะเบาบางลงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นอีกครั้ง พื้นเย็นเหลือเกิน เสื้อผ้าก็บาง มิน่าเล่า เจ้าของร่างนี้จึงล้มป่วยจนสิ้นใจ
ถูกแล้ว หลินอวี่เหยาเจ้าของร่างนี้สิ้นลมไปแล้ว แต่หลินอวี่เหยาที่ประสบอุบัติเหตุตกเขาทะลุมิติมาในยุคจีนโบราณมาอยู่ในร่างของนางสนมอวี่เหยาที่ถูกป้ายความผิดและขับไล่มาที่ตำหนักเย็นแห่งนี้
“ฉัน...ข้า...ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณท่านน้าจื่อหนิงที่ช่วยเหลือ”
“เช่นนั้น ข้ากลับแล้วนะ”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวจะเดินไปส่งแค่อีกฝ่ายโบกมือไปมา
“ไม่ต้องๆ ข้ากลับเองได้” จื่อหนิงกล่าวแล้วก็เดินหลังงุ้มกลับไป
หลังมือที่มีรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ชวนให้รู้สึกหดหู่น่าสงสารยิ่ง
แต่ตอนนี้หลินอวี่เหยาสงสารตัวเองมากที่สุด
หญิงสาวเดินไปรินน้ำดื่ม น้ำเย็นชืดจนอยากหลั่งน้ำตา หนาวก็หนาวแล้วต้องมาดื่มน้ำเย็นอีก ไม่ต้องเดาเลยว่าแม้แต่ใบชาก็ไม่มี ทว่าน้ำเย็นที่ดื่มลงไปก็ช่วยเรียกสติให้หญิงสาวได้อีกครั้ง
แค่พริบตา หลิวอวี่เหยาที่กำลังเดินป่าขึ้นเขาเพื่อไปสำรวจตรวจสอบพรรณไม้โบราณกับทีมนักสำรวจอีกสามคนเดินและชาวบ้านที่ชำนาญเส้นทาง ทว่ากลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน หญิงสาวผลัดหลงกับคนอื่นและลื่นไถลตกเขา ความเจ็บปวดแสนสาหัสนำพาให้มาสู่ยุคจีนโบราณแห่งนี้
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามติดๆ กันอีกหลายครั้งทำให้หลิวอวี่เหยาไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น รีบไปค้นหาเสื้อผ้าแห้งสำหรับผลัดเปลี่ยน เมื่อถอดชุดที่เปียกชื้นออกผลันปรากฏเรือนร่างผอมบางจนเห็นกระดูก น่าจะเรียกได้ว่า ‘หนังหุ้มกระดูก’ จากความทรงจำที่ได้รับมาก็ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าของร่างนี้อยู่ในสภาพนี้
ยามที่เห็นซ่งเหอเทียนจวินนั้นดูสบายๆ ไม่เจ็บปวด แต่สำหรับเหยาเหยาแล้วถูกความหนาวเหน็บบาดลึกถึงกระดูก หรือเพราะนางเป็นเพียงเซียนขั้นต่ำจึงไม่อาจทนรับในกวนอวิ๋นซื่อนี่ได้ หรือเพราะนางมีกลิ่นอายปิศาจติดกายทำให้ถูกตรวนด้วยโซ่เส้นใหญ่ แขนถูกไพล่ไปด้านหลัง ร่างเล็กนั่งไร้เรี่ยวแรงได้แต่เอนกายพิงลำต้นของต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวนั่งนิ่งบนพื้นดินที่เย็นเยียบใต้เงาร่มไม้กลืนกินพลังปราณ ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกเหมือนเลือดจากบาดแผลไหลซึมออกมาตลอดเวลา ราวกับเลือดของนางนั้นหยดไปบนพื้นและทำให้รอบกายค่อยๆ ถูกย้อมด้วยสีแดงชาด ดวงตาของนางพล่าเลือนไปที่ละน้อย ไม่รู้วันคืนผ่านไปนานเพียงใด นางรู้ดีว่าการปรุงโอสถทิพย์นั้นใช้เวลามาก โดยเฉพาะโอสถของเทพเซียนไม่เหมือนของมนุษย์ธรรมดาภาพความทรงจำค่อยๆ ผุดขึ้นมาที่ละน้อย ตั้งแต่ที่นางลืมตาในร่างกายนี้ แววตาอ่อนโยนของเซียนสมุนไพรซ่งเหอเทียนจวิน‘เหยาเหยา ต่อไปนี้นามของเจ้าคือเหยาเหยา’‘เหยาเหยา’ ดอกบัวน้อยเรียกขานตามที่เซียนสมุนไพรเอ่ยขึ้น เขายิ้มพอใจแล้วลูบหนวดเคราสีขาวของตน ‘พบกันล้วนเป็นเรื่องของวาสนา เรียกข้าว่าอาจารย์ปู่ก็แล้วกัน’‘อาจารย์ปู่’
มือที่เต็มไปด้วยเลือดสีสดสะบัดลิ้นงูที่ยังดิ้นอยู่ลงพื้น เยี่ยหรงไม่รอช้าเขาเสียเวลากับการค้นหากล้วยไม้บรรพกาลโดยไม่รู้ว่าจิ้นเฉิงพกติดตัวไว้ตลอด เขาเพียงแค่ใช้กรงเล็บมารกรีดแผ่นอกของอีกฝ่ายก็พบกล้วยไม้ที่ตามหา “เหยาเหยาเจ้าเอาสิ่งนี้กลับไป” “อะไรนะ” นางเงยหน้าขึ้นยังมึนงงอยู่ แต่ครู่เดียวก็ถูกยัดกล้วยไม้ใส่มือนางแล้วช้อนร่างแบบบางอุ้มขึ้น “อาเยี่ย! เจ้าจะทำอะไร” “เวลาไม่มากแล้ว ข้าเปิดประตูให้เจ้าได้เพียงแค่นี้” เขากรีดแผ่นฟ้าเปิดประตูสู่แดนเซียน แม้ต้องพลังมากเพียงใดแต่เขาจำเป็นต้องทำเพื่อส่งนางกลับไปให้เร็วที่สุด นางไม่ทันสั่งลาก็เห็นจิ้งเฉินเงื้อกระบี่ฟาดใส่แผ่นหลังของเยี่ยหรง “อาเยี่ย!” “รีบไป” “อ๊ะ!” ร่างบอบบางถูกโยนเข้าไปในช่องว่าง ดวงตานางเบิกกว้างเห็นเพียงเงาร่างใหญ่สองร่างต่อสู้กัน เปลวไฟโหมไหม้คละคลุ้งกับกลิ่นคาวเลือด เหยาเหยาประครองกล้วยไม้บรรพกาลไว้ในอ้อมอกยามเมื่อนางผ่านประตูพิภพก็ร่วงลงจากท้องฟ้าหล่นในสระน้ำของสวนเสียนเฉ่า ร่างเล็กจมดิ่งในสระน้ำ สายบัวขยับเคล
“อร่อยมากจริงๆ!” เห็นสีหน้าพวกเขาแล้ว นางก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ หนทางการอยู่ร่วมกับเหล่าปีศาจคงไม่ยากเย็นอันใดนัก ขณะที่แจกจ่ายขนมเปี๊ยะต้นหอมนั้นก็พบว่ามีปีศาจน้อยตนหนึ่งหลบซ่อนอยู่ด้านหลังเสาต้นใหญ่ นางส่งยิ้มเป็นมิตรก่อนเดินเข้าไปหาพร้อมขนมเปี๊ยะในมือ “นี่...มากินด้วยกันไหม?” “กะ...กิน..กินได้รึ?” “ได้สิ...แต่ไม่รู้จะถูกปากเจ้าหรือเปล่านะ” มือเล็กผอมเกร็งจนเหมือนกิ่งไม้ยื่นมารับขนมเปี๊ยะที่หญิงสาวยื่นให้ ทว่ามันกลับคว้ามือนางมากัดอย่างแรงไม่สนใจขนมเปี๊ยะที่ตกลงบนพื้น ฟันซี่เล็กๆ นั้นกัดลงบนผิวหนังอ่อนนุ่ม เพียงครู่เดียวเลือดอุ่นๆ ก็ไหลออกจากรอยฟันแหลมคมนั้น ดวงตายาวรีจ้องมอง ทั้งที่ปากกัดมือนางอยู่แต่ยังฉีกยิ้มได้! “โอ๊ย!” หญิงสาวเจ็บจนหลุดเสียงร้องออกมา ทำให้ปีศาจตนอื่นๆ หันมามองด้วยความแตกตื่นตกใจ เจ้าปีศาจตัวน้อยไม่ได้แค่กันแต่ยังพยายามกินเนื้อของนางอีกด้วย! กลิ่นปราณพิสุทธิ์แผ่กำจายไปทั่ว เหล่าปีศาจชั้นต่ำสูดดมกลิ่นเย้ายวนชวนน้ำลายสอ แทบไม่อาจครองสติได้ แต่ปีศาจชราและปีศาจรับใช้ข
อยู่ที่นี่ได้สามสี่วันเหยาเหยาก็เริ่มคุ้นชินกับดินแดนอันมืดมิดนี้ แท้จริงก็ไม่ได้มืดมิดเสียทีเดียว มีกลางวันกลางคืนไม่ต่างจากดินแดนที่นางถือกำเนิด นางไม่มีความทรงจำก่อนที่จะถูกชุบชีวิต แต่ซ่งเหอเทียนจวินเป็นยิ่งกว่าอาจารย์ เป็นเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิดนางจึงไม่อาจเมินเฉยเมื่อรู้ว่าเขาต้องลำบากเพราะนางเป็นต้นเหตุ เยี่ยหรงไม่ได้กักขังนาง เพียงแค่ให้อยู่ในตำหนักนี้ นางจึงออกมาเดินเล่นนอกห้องโดยมีบ่าวรับใช้ติดตามหลายคน แรกๆ นางรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง แต่เมื่ออยู่ด้วยกันหลายวันจึงรู้ว่าพวกเขาแค่เห็นนางเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แม้รูปร่างหน้าตาผิดแผกจากที่นางเคยพบเห็น แต่ทุกตนล้วนจิตใจดี ดูใสซื่อน่ารักมากจริงๆ ทำให้นางไม่รู้สึกเหงาหรือหวาดกลัวพวกเขา “ที่นี่ปลูกต้นไม้ได้สินะ” “ฮูหยินต้องการต้นอะไรเจ้าคะ” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม อยู่ใกล้ชิดหลายวันก็พลอยชื่นชอบแม่นางคนงามไปด้วย ได้รับใช้ฮูหยินจอมมารที่มีใบหน้ายิ้มแย้มและจิตใจอ่อนโยนย่อมดีกว่ารับใช้ท่านจอมมารที่ต้องคอยดูสีหน้าทุกครั้งไป “ไม่ใช่แบบนั้น คือ...ข้าชอบปลูกต้นไ
เหยาเหยาแม้เคยถูกตำหนิเวลาทำผิดแต่ยังไม่เคยถูกใครชี้หน้าสาปแช่งเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวตกใจอยู่บ้างแต่ก็มิได้ตอบโต้สิ่งใด แต่รับรู้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังจะก้าวเท้าไปด้านหน้า นางจึงคว้ามือของเขาแล้วกุมไว้แน่น เยี่ยหรงถึงกับชะงักแล้วหลุบตามองนิ้วมือที่สอดประสานกับนิ้วของเขาอยู่ ภาพนั้นยิ่งทำให้จิ้งหว่านเดือดดาลหนักมากขึ้นจนไม่อาจทนดูได้อีก นางสะบัดหน้าหมุนกายซ่อนหยาดน้ำตาที่หลั่งรินแล้วใช้พลังเวทเปิดทางหายตัวไปทันที “อย่ากลัวไปเลย” “ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็น ‘ท่านพี่เยี่ยหรง’ของผู้อื่นด้วย” “แค่กๆ” เยี่ยหรงถึงกับสำลักน้ำลายตนเอง “นางเรียกข้าเอง ข้ามิได้ให้นางเรียกเช่นนั้น” “อย่างนั้นรึ” นางบีบมือเขาแน่นขึ้น ท่าทางร้อนรนนี้ทำให้นึกถึงเจ้าเสือดำตัวน้อยที่นางพยายามทำแผลให้ครั้งนั้น เหล่าปีศาจรับใช้เห็นภาพนี้แล้วก็ต่างอมยิ้มค่อยๆ โผล่ออกมาจากเงามืด มือของนางเล็กแต่อบอุ่น ชีพจรมั่นคงทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มโน้มหน้าลงกระซิบแผ่วเบาแต่ลมหายใจอุ่นร้อนทำให้แก้มนวลแดงเรื่อ
“นี่มันอะไรกัน” จิ้งหว่าน- ปีศาจสาวสวมชุดสีแดงเพลิงเดินเข้าในตำหนักของจอมมารแต่สัมผัสได้ว่ามีม่านเวทกั้นขวางไว้อยู่ นางหงุดหงิดหัวเสียกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ บรรดาบ่าวรับใช้ลอบส่ายหน้าถอนหายใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ “ซ่อนผู้ใดไว้รึ เหตุใดต้องป้องกันถึงเพียงนี้” “นั้นเป็นห้องของท่านจอมมาร หากไม่ได้รับคำสั่งก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้” แม้เป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำแต่พวกเขาเคารพเพียงจอมมารเยี่ยหรงเท่านั้น ส่วนผู้นั้นพวกเขาเคารพแค่พอเป็นพิธีไม่ถึงต้องทำตามคำสั่งแม้กับแม่นางจิ้งหว่านผู้เป็นธิดาเผ่างูโลกันต์ที่เสพพลังวิญญาณเป็นอาหาร เหนือสิ่งอื่นใดคือทุกตนรู้ว่าจิ้งหว่านหลงรักจอมมารเยี่ยหรงมาเนิ่นนาน แต่ท่านจอมมารไม่เคยชายตามอง แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเพราะมีนางในดวงใจอยู่แล้ว หญิงใดก็ไร้ความหมาย“ท่านพี่เยี่ยหรงอยู่ที่ใด ข้ามาพบเขา” นางพูดพลางยกมือขึ้นกอดอกเชิดใบหน้าขึ้นแค่เห็นท่านหญิงจิ้งหว่านก็รู้แล้วว่ามาพบผู้ใด บรรดาปีศาจตนเล็กตนน้อยต่างลอบถอนหายเบื่อหน่าย“ท่านจอมมารมิให้ผู้ใดเข้าพบขอรับ”“เจ้ายังไม่ได้ไปรายงาน จะรู้ได้อย่างว่าท่านพี่เยี่ยหรง