หลินอวี่เหยาเป็นเพียงบุตรีของเสนาบดีฝ่ายพิธีนามหลินเหวินเฉิง แต่หลินอวี่เหยาเป็นบุตรจากภรรยารองซึ่งมารดาของนางมาจากตระกูลพ่อค้าแม้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแต่เมื่ออยู่ในจวน กลับถูกภรรยาเอกกลั่นแกล้ง หลังให้กำเนิดบุตรสาวที่แสนน่ารักได้ไม่เพียงไม่กี่ปี มารดาก็ล้มป่วยสิ้นใจไร้การแลเหลียวของบิดา ในจวนหลังใหญ่โตงดงาม นางเติบโตอยู่ท้ายจวนอย่างเดียวดาย จนเมื่ออายุสิบห้ามีการคัดเลือกหญิงงามเป็นสนมของฮ่องเต้ มิรู้ว่าเหตุใดฮูหยินใหญ่ส่งหลินอวี่เหยาเข้ามาและก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้รับคัดเลือกทั้งที่นางไม่มีความงดงามสะดุดตาเลยสักนิด อยู่บ้านบิดาก็ไม่เหลียวแล อยู่ในวังหลวงฮ่องเต้ก็มิเคยชายตามอง นางไม่เคยได้เข้าเฝ้าถวายการปรนนิบัติเลยสักครั้ง บางทีฮ่องเต้อาจไม่รู้การมีตัวตนของหลินอวี่เหยาก็เป็นได้ เข้าวังได้ไม่นานก็ถูกใส่ร้ายป้ายสีเป็นคนผิดที่ไม่ได้กระทำผิด ฮองเฮาตัดสินโทษให้มาอยู่ที่ตำหนักเย็น บิดารู้ข่าวก็มิได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อยู่ที่นี่ราวกับรอวันตาย
หรือจะกล่าวให้ถูกต้องหลินอวี่เหยาตายไปแล้ว
หญิงสาวใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแข็งๆ ดึงผ้าห่มแสนเก่าขึ้นมาคลุมกาย หากหลับตาลงตอนนี้ ลืมตาอีกครั้งจะได้กลับไปศตวรรษที่ 21หรือเปล่านะ
โชคชะตาชิงชังกักขังข้าฯไว้
หนึ่งปรารถนาเพียงใจได้พบนาง
“เหยาเหยาขี้เซาจริงๆ”
“คุณปู่”
หญิงสาวงัวเงยเมื่อขยับตัวก็รู้สึกปวดหลังไม่น้อย เสียงชายวัยหกสิบปีที่ยังกระฉับกระเฉงอยู่หัวเราะออกมา แล้วใช้นิ้วโป้งกดแนวกระดูกสันหลังให้
“ง่วงก็ไปนอนดีๆ มาหลับหน้าคอมพิวเตอร์แบบนี้มันก็ปวดหลังนะสิ”
“ก็ไม่ได้จะหลับนี่ค่ะ มันหลับไปเอง” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสอาการปวดหลังเพราะนอนผิดท่าลดลงไปมาก เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ถอนแว่นตาแล้วเหลียวมองรอบตัว “คุณปู่เปิดโทรทัศน์ไว้หรือเปล่าคะ”
“เห็นปู่ว่างขนาดดูโทรทัศน์เรอะ” แม้จะอายุหกสิบแล้วแต่ก็ยังชอบทำตัวเหมือนเด็ก เขายกมือขึ้นเขกศีรษะหลานสาวไม่แรงนัก
“คุณปู่ได้ยินเหมือนเสียงคนท่องบทกวีโบราณไหมคะ”
“ไม่นี่” ปู่หลิวส่ายหน้าไปมา “ละเมออีกแล้วนะเหยาเหยา”
“นั้นนะสิคะ น่าจะละเมออีกแล้ว”
ตั้งแต่เด็ก หลินอวี่เหยามักได้ยินเสียงแว่วๆ เหมือนมีคนเรียกหาบ้าง หรือเสียงบทกวีโศกเศร้าแต่กลับจำไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินพูดว่าอย่างไร บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนหลงลืมอะไรไปบางอย่าง
“ทำงานมากไปแล้วนะ บอกให้ปู่พักผ่อนแต่ตัวเองก็ทำงานหนัก”
“ก็มันเพลินนี่คะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน “เหยาเหยาอายุแค่ยี่สิบห้าเอง พลังงานล้นเหลือค่ะ แต่คุณปู่นะ หกสิบแล้วนะคะ แล้วนี่ก็ไม่เจียมตัวเลย ปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟตกบันไดขาแผลงอีก”
“โธ่ บันไดไม่รักดีต่างหากล่ะ ไม่ใช่ความผิดของปู่” อีกฝ่ายยังเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “แล้วนี่เหยาเหยาไปทำงานแทนปู่ได้จริงๆเหรอ”
“ได้สิคะ เรื่องเล็กน้อยเอง” หลินอวี่เหยาปัดเรื่องเสียงรบกวนในหัวทิ้งไป “ดูจากภาพถ่ายที่ได้มามีความน่าจะเป็นกล้วยไม้บรรพกาล พรรณกล้วยไม้โบราณที่หายสาบสูญไปแล้วค่ะ แต่กล้วยไม้ชนิดนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่บันทึกไว้ คนที่เคยพบเห็นล่าสุดก็เมื่อห้าสิบปีก่อน ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่านี่จะเป็นกล้วยไม้ที่ว่านั้นจริงๆ”
“เหยาเหยานี่เหมือนพ่อจริงๆ” มือหยาบกร้านวางบนศีรษะด้วยความเอ็นดู
“คุณปู่สอนมาดีไงค่ะ” เธอยิ้มให้ “ขอบคุณที่เลี้ยงหนูจนโตขนาดนี้นะคะ”
“พูดอะไรแบบนั้น”
“หนูไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางก่อนนะคะ นั่งเครื่องบินแล้วต้องนั่งรถขึ้นเขาอีกแล้วยังต้องเดินป่าอีก จริงสิ ต้องเตรียมรองเท้าเดินป่า”
“สเปรย์ป้องกันแมลงก็อย่าลืมล่ะ”
“ทราบแล้วค่ะ ศาสตราจารย์หลินเฉินอี้”
หญิงสาววัยยี่สิบห้าเดินมาที่ห้องนอนของตนเอง สิบปีที่ผ่านมาศาสตราจารย์หลินเฉินอี้อุปการะเลี้ยงดูเธอมา เธอเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตที่สถานสงเคราะห์เด็ก เนื่องจากพ่อกับแม่แท้ๆ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ในตอนนั้นเธออายุเพียงแปดขวบไร้ญาติขาดมิตร ทางการจึงส่งเธอมาอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผ่านมาราวๆ สองปี ศาสตราจารย์หลินเฉินอี้ก็มาพบเธอ ท่านบอกว่าเป็นอาจารย์ของคุณพ่อแต่ก่อนหน้านี้ท่านทำงานอยู่ต่างประเทศ เพิ่งกลับมาที่จีนและเมื่อรู้ข่าวก็ตามสืบเสาะค้นหาจนรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ ศาสตราจารย์หลินเฉินอี้เป็นนักพฤกษศาสตร์ ทำงานสถาบันพฤกษศาสตร์แห่งชาติ ได้รับการยกย่องนับถืออย่างมาก
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าองค์หญิงเซวียนจิ้งหว่าน เป็นคนโปรดของไทเฮา องค์หญิงเซวียนจิ้งหว่านเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทล้วนสูงส่งสมกับที่ไทเฮาอบรมด้วยพระองค์เอง องค์หญิงผู้งดงามสวมชุดกระโปรงสีชมพูกลีบบัวเสริมความอ่อนหวาน กำลังเดินเข้าไปในตำหนักของไทเฮา แต่ดวงตาคู่งามสะดุดกับหญิงสาวรูปร่างเพรียวบางสาวเท้าเร็วๆ เดินไปทางอุทยาน“นั้นใคร” เซวียนจิ้งหว่านเอ่ยถามนางกำนัล“สนมหลินเพคะ”“สนมหลิน? ฮ่องเต้รับสนมใหม่เมื่อใดกัน” “สนมหลินอวี่เหยาเข้าวังมาเกือบสามปีแล้วเพคะ แต่เข้ามาแค่ครึ่งปีก็ทำความผิดจึงถูกส่งไปตำหนักเย็น อยู่ที่นั้นมาสองปี ด้วยความเมตตาของฮองเฮาให้ทำคุณไถ่โทษ โดยให้นางมาดูแลสวนดอกไม้ของไทเฮาเพคะ”“ฮองเฮาช่างมีเมตตาจริงๆ ให้อภัยคนที่ทำผิดได้” เซวียนจิ้งหว่านกล่าวชื่นชมจากใจ นางมีเว่ยซูอิ๋นเป็นแบบอย่าง งดงามและงามสง่าปกครองตำหนักในด้วยใจเมตตา ไทเฮานั่งอ่านพระคัมภีร์อยู่ โดยมีฮองเฮาชงน้ำชาให้ ภาพนี้เห็นจนชินตา ดูงดงามราวภาพวาดของจิตกรเอก เมื่อเห็นเซวียนจิ้งหว่านเข้ามาก็ไทเฮาก็วางคัมภีร์ลง เซวียนจิ้งหว่านส่งยิ้มก่อนแล้วถวายพระพรไทเฮาจากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้แล้วบีบนวด
“ท่าน! จริงจังหน่อยได้ไหม!” “ได้ๆ ข้าเชื่อฟังเจ้าแล้ว” เขาพยายามเก็บรอยยิ้ม และยื่นมือไปรับตลับยาจากหญิงสาว แต่นางกลับชักมือกลับเขาคว้าได้เพียงความว่างเปล่า “ข้าลืมไป ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ย่อมต้องมีหมอทหารดูแลอย่างดี และยังมียาดีๆ ที่สรรพคุณดีกว่าของข้า” “ไม่มียาของผู้ใดดีไปกว่าของเจ้า” เขาไม่อยากแย่งชิงจากมือนาง แม้รู้ดีว่าหากเขาต้องการจริงๆ ก็ทำได้ไม่ยากเลย สีหน้าเหมือน...เอ่อ...ลูกหมาน้อย ทำให้หลินอวี่เหยาทำตัวไม่ถูก ยามอยู่กับนางเขาดู ‘เชื่อง’ ไร้พิษส่ง แต่เมื่อครั้งที่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาดูเหมือนหมาป่าที่พร้อมขยำทุกคนที่กล้าขวาง นี่...เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ เห็นนางเอาแต่จ้องหน้าเขา ชายหนุ่มก็วางท่าทีเคร่งขรึมมีเพียงแววตาที่เป็นประกายหวานหยาดเยิ้ม “ข้าชอบที่เหยาเหยามองข้าเช่นนี้ แต่ข้าไม่มีเวลามากนัก ภารกิจเร่งด่วนหวังว่าจะเข้าใจ” “เอ่อ...อืม..อะ...เจ้าค่ะ” นางได้สติพูดจาตะกุกตะกักไปหมด “เอ่อ...ทำไมท่านเรียกข้าว่าเหยาเหยา” “หรือเ
หญิงสาวรวบผมด้วยเชือกเส้นเล็ก นางสระผมและมีเฉิงฮัวช่วยเช็ดและแปรงผมให้ ทว่าหลินอวี่เหยาไม่คุ้นชินกับการมีคนปรนนิบัติรับใช้จึงไม่ได้ให้ทำอะไรมาก นางก็ให้เฉิงฮัวไปพักที่ห้องเล็กด้านข้าง หลินอวี่เหยามองรอบกาย ผ่านมาสี่เดือนสำหรับชีวิตใหม่ เวลาไม่ช้าไม่เร็วแต่ทำให้นางค่อยๆ ลืมความคิดที่จะได้กลับไปโลกปัจจุบัน แต่ไม่เคยลืมคนสำคัญอย่างคุณปู่หลินเลย หลังจากฝึกฝนมาระยะหนึ่งการเขียนอักษรของนางก็ดีขึ้น อาจยังไม่ดีนัก แต่ก็ไม่น่าอับอายเช่นที่ผ่านมา นางไม่รู้สถานการณ์ที่ฝู่หม่าเป็นเช่นไร นอกจากพืชผักที่ทนแล้งแล้ว ยังต้องระวังเรื่องโรคระบาดอีกด้วย ใบหน้างามครุ่นคิดแล้วจรดพู่กันลำดับความสำคัญต่างๆ เปลวเทียนวูบไหวเล็กน้อย แต่หญิงสาวก็ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าคือบุรุษในชุดดำอำพราง มือใหญ่ยกขึ้นดึงผ้าสีดำที่ปิดครึ่งใบหน้าลงเพื่อมิให้เจ้าของเรือนแตกตื่นตกใจ แต่ดูเหมือนว่านางจะเดาได้ก่อนแล้วว่าเป็นเขา “หลี่กงกงให้คนซ่อมหน้าต่างแล้ว ท่านยังเข้ามาได้อีกหรือ?” “เจ้ามิได้ลงกลอนแน่นหนา คราวหน้าให้สาวใช้ตรวจดูบานหน้า
เพียงข้ามคืนทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ฟูกนอนใหม่เอี่ยมถูกส่งมาเปลี่ยนรวมทั้งหมอนและผ้าห่ม ม่านมุ้งที่ชำรุดก็เช่นกัน หน้าต่างที่แม้ซ่อมแล้วแต่ยังปิดไม่สนิทก็ถูกเปลี่ยนบานใหม่และยังมีนางกำนัลส่งมาอยู่รับใช้นางเพิ่มอีกหนึ่งคน “เช่นนั้นเจ้าชื่อเฉิงฮัวก็แล้วกัน” หลินอวี่เหยาพูดกับนางกำนัลอายุประมาณสิบห้าปี นางท่าทางดูทึมทื่อไม่น่าพึ่งพาได้ จนนางต้องเหลือบมองทางขันทีซูจินที่อายุเท่ากัน เอาเถอะ ดีกว่าส่งนางข้าหลวงมาอบรมมารยาทให้นาง เรื่องของนางเป็นที่พูดถึงไปทั่ววังหลวง เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ให้หลี่กงกงลงมาจัดการด้วยตนเอง หลินอวี่เหยากวาดตามองข้าวของเครื่องใช้ใหม่ในห้องแล้วก็ยิ้มจางๆ เรื่องดีอีกเรื่องคือนางยังอยู่ที่ตำหนักเดิมซึ่งนางร้องขอกับฮ่องเต้ไว้ ‘หม่อมปลูกพืชผักและยังเลี้ยงปลาไว้ด้วย ให้หม่อมฉันอยู่ที่เดิมเถิดเพคะ’ “ซูจินเจ้าถือว่าเป็นพี่ใหญ่เพราะอยู่กับข้ามาก่อน ต้องคอยช่วยดูแลสั่งสองเฉิงฮัวให้ดี อย่าเอาแต่ใช้นางล่ะ” “ข้ารู้แล้ว เอ่อ ทราบแล้วขอรับ” ซูจินเองก็ต้องระวังคำพูดมากย
‘เหยาเหยา’ ความเจ็บแปลบราวลูกธนูพุ่งเข้าใส่ที่หัวใจ หลินอวี่เหยาสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้น นางก้มมองหน้าอกของตน ราวกับเห็นลูกศรทะลุทรวงอก หยาดโลหิตแผ่กระจายย้อมชุดขาวที่สวมอยู่ให้กลายเป็นสีแดง หญิงสาวยกมือที่สั่นระริกขึ้นแตะปลายศรนั้นทว่ามันสลายไปสิ้น และไม่มีคราบเลือดบนเสื้อของนาง เมื่อครู่นี่มันอะไรกัน ภาพที่นางเห็นคือสิ่งใดกันแน่ ชายบนหลังอาชาปีศาจนั้นคือเยี่ยหรงหรือ? “เหยาเหยา!” เยี่ยหรงพุ่งเข้าไปทันทีไม่สนใจว่าตนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ร่างเล็กโงนเงนและร่วงลงในอ้อมกอดของเขาพอดี “เจ้าเจ็บที่ใด” หลินอวี่เหยาปรับลมหายใจครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าไปมา แต่ก่อนนางแอบตำหนิที่เขาพูดน้อยจนเหมือนคนเป็นใบ้ แต่ตอนนี้กลายเป็นนางที่อับจนถ้อยคำเสียงเอง ใบหน้านี้ แววตานี้ คล้ายกันนัก แต่ไม่ใช่...ไม่ใช่คนเดียวกัน “ฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาต...” “เราไม่อนุญาต” เซวียนจิ้งเฉินยกมือห้ามโดยไม่ต้องรอให้แม่ทัพเยี่ยหรงพูดจบประโยค “อย่างไรนางก็เป็นสนมของเรา เจ้าไม่ควรแตะต้องนางและไม่มีสิทธิ์พานางไปที่ใดทั
ใช่ว่าหลบไม่พ้น แต่เพราะใจจดจ่อกับแววตาคู่งามจึงไม่ทันระวังเจ้าก้อนหินเล็กๆ ที่กระทบหลังมือของเขา เสียงชักกระบี่อ่อนของหลี่หยวนซินดังขึ้นแทบทันทีที่เห็นหินก้อนนั้น แต่กระนั้นบุรุษในชุดผ้าไหมสีดำเรียบง่ายตัดเย็บประณีตก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีสุขุมไร้ความหวาดกลัว หลินอวี่เหยาถอยหลังไปครึ่งก้าว สูดลมหายใจลึกเรียกอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่และยกมือขึ้นกุมลำคอ แต่สายตาของนางจ้องมองไปยังชายที่นางเคยช่วยชีวิตไว้ ยามนี้เขาสวมเสื้อผ้าขับเน้นรูปร่างสูงใหญ่และองอาจ ที่จริงบุรุษหน้านิ่งผู้นี้ก็ดูหล่อเหลาไม่น้อย ติดที่สีหน้าเดียวตลอดและยังพูดน้อยมากจนต้องคาดเดาอารมณ์กันเลยทีเดียว “บังอาจ!” หลี่หย่วนซินวาดกระบี่ไปจ่อลำคอของแม่ทัพเยี่ยหรง แต่ดวงตาดุจเหยี่ยวคู่นั้นไม่เพรียงไม่ใส่ใจแต่ยังจ้องมองเพียงหลินอวี่เหยาเท่านั้น “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” “ไม่...ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” แปะ แปะ แปะ เซวียนจิ้งเฉินตบมือและฉีกยิ้มกว้าง ทำราวกับไม่ถือสาที่แม่ทัพหนุ่มทำลงไป “หลี่กงกง เก็บกระบี่ของเจ้าเสีย ฝีมือเจ้ามิใช่คู่ต่อกรกับแม่