โศลกเพลิงผลาญใจ ตอนที่04 ตื่น
ความหนาวเหน็บปลุกให้หญิงสาวตื่น หลินอวี่เหยาปรับสายตาครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง กวาดสายตาในห้องที่เก่าและทรุดโทรม บานหน้าต่างที่ชำรุดไม่อาจป้องกันสายลมหนาวได้ นางยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าทว่าเส้นผมยาวยุ่งเป็นกระเซิงสางด้วยมือยังทำไม่ได้
“นึกว่าจะตื่นมาแล้วกลับไปที่สถาบันเสียอีก” หญิงสาวถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านี้ อยากกลับบ้านก็ไม่รู้จะกลับยังไง ตอนมาเธอตกเขาแต่ที่นี่ไม่มีภูเขาจะทำซ้ำสถานการณ์เดิมก็ไม่ได้
หลินอวี่เหยาไม่ใช่คนจมกับความทุกข์ ชีวิตที่บ้านเด็กกำพร้าสั่งสอนให้เผชิญกับปัญหาทุกรูปแบบ คิดในแง่ดีก็คือไม่ต้องไปแย่งชิงความโปรดปรานกับผู้ใด แต่ก็คงไม่ใช้ชีวิตขาดอิสรภาพเช่นนี้ไปจนวันตาย ร่างกายนี้อ่อนแอแทบไร้เรี่ยวแรงทรงตัว ได้ยินเสียงประตูใหญ่เปิดออกตามด้วยร่างขันทีผอมบางนำตะกร้าอาหารมาวางบนโต๊ะที่ผุผัง เขาไม่เอ่ยวาจาใดเมื่อทำหน้าที่ตนเสร็จก็หมุนตัวออกไป ทิ้งให้หลิวอวี่เหยายืนนิ่งงันอยู่อึดใจก่อนเดินไปเปิดตะกร้าออกดู
“นี่มัน...ของคนกินเหรอ” นางมองข้าวต้มที่แทบเป็นน้ำขาวขุ่นและมีผักดองอีกเล็กน้อย ทว่ายามนี้เลือกไม่ได้ทำให้นางตัดสินใจยกน้ำข้าวที่เย็นชืดขึ้นกิน “คิดเสียว่ากลับไปใช้ชีวิตบ้านเด็กกำพร้าก็แล้วกัน”
กระเพาะที่ว่างเปล่ามีเศษอาหารลงไปเต็มเล็กน้อยพอบรรเทาความหิว หลินอวี่เหยาปลุกกำลังใจให้ตนเอง ก่อนจะตามหาอิสรภาพคงต้องจัดการชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่เสียก่อน และเริ่มจากการสำรวจโดยรอบ หญิงสาวเคยดูในซีรีย์มาหลายเรื่อง แม้งานการจะยุ่งมากแค่ไหนแต่ก็ยังมีเวลาพอสำหรับความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างกันนัก ทว่าเมื่อก้าวเท้าออกมานอกห้องก็สัมผัสลมหนาวจนต้องถอยกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมหนาวแบบนี้ล่ะ”
หลินอวี่เหยาไม่ชอบที่สุดก็คืออากาศหนาวเย็นอย่างนี้ เจ้าของร่างเล็กเดินกลับมาค้นหาเสื้อผ้าเท่าที่พอจะมีหยิบเสื้อคลุมเนื้อหยาบมาสวมทับแล้วเดินออกมาด้านนอก หิมะเริ่มละลายแล้ว แต่ยังมีบางส่วนที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ ความทรงจำที่ได้รับมา ที่นี่ไม่มีห้องครัว แต่สนมหลินเคยมีเตาเล็กๆ สำหรับต้มน้ำ น่าจะอยู่...
“เจอแล้ว!” ราวกับได้พบของล้ำค่า แม้เป็นเตาขนาดเล็กและยังมีรอยแตกร้าว แต่ก็ยังว่าเป็น ‘เตา’ ให้ได้พอใช้งานได้ “หม้อล่ะ หม้อจ๋า อยู่ไหนนะ”
ความเป็นคนมองโลกในแง่ดี หญิงสาวก้มๆ เงยๆ รวบรวมข้าวของที่พอจะใช้ได้ออกมา เจ้าของร่างเดิมใช้ชีวิตกับความโดดเดียวไร้ความหวัง ญาติพี่น้องไม่มีใครใส่ใจราวกับนางได้ตายจากพวกเขาไปแล้ว ตอนนี้นางต้องการน้ำดื่มและต้มน้ำสำหรับสระผม
“สภาพความเป็นอยู่ไม่มีมลพิษทางอากาศ เอาหิมะมาต้มเป็นน้ำดื่มคงไม่มีแบคทีเรียหรือโลหะหนักในอากาศหรอกนะ”
หญิงสาวพึมพำกับตนเองแล้วเดินย่ำไปบนพื้นที่ค่อนข้างลื่น เมื่อวานก็คงแบบนี้ ร่างกายอ่อนแอและจิตใจที่บอบช้ำ เพียงหกล้มลงไปก็ไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นยอมจำนนจนความตายมาพรากลมหายใจไปอย่างง่ายดาย หลินอวี่เหยาอยู่ในร่างที่มีชื่อเดียวกัน แต่นิสัยใจคอแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว ไม่ใช่แค่เธอมาจากศตวรรษที่21 แต่เพราะนิสัยของเธอเป็นเช่นนี้เอง ดวงตากลมโตมองหาหิมะที่เกาะบนกิ่งไม้ หิมะขาวสะอาดทำให้หญิงสาวยิ้มกว้าง แน่นอนว่านี่คือแหล่งน้ำที่พอจะหาได้ นิ้วมือที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเหมือนกิ่งไม้แห้งค่อยๆ กวาดหิมะใส่หม้อ การเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องระวังทำให้ร่างเล็กเดินเอียงไปมา สายตาเหลือบไปเห็นที่ริมกำแพง ใบสีเขียวที่แทรกขึ้นมาจากหิมะที่เริ่มละลายทำให้เห็นชัดว่าเป็น...
“นี่...หอมป่านี่น่า” ราวกับได้เจอของล่ำค่า หลิวอวี่เหยาค่อยๆ นั่งลงแล้ววางหม้อข้างตัว นางคุกเข่าบนพื้นที่เปียกชื้นแล้วใช้สองมือคุ้ยหิมะออกพยายามถอนต้นหอมป่าออกมา
‘เหยาเหยา ปู่ทำไข่ตุ๋นใส่หอมป่าซอยมาให้ ลองกินดูสิ หอมป่าดีกับสุขภาพช่วยรับมือกับการอักเสบของร่างกาย ปู่รู้ว่าเหยาเหยาไม่ชอบกินยา ลองกินไข่ตุ๋นสูตรพิเศษของปู่ดูหน่อยสิ’
เสียงของปู่หลินแว่วดังอยู่ข้างหู หญิงสาวยิ้มบางๆ ตอนนี้แค่ไข่ไก่ก็ไม่มี แต่ไม่เป็นไร เก็บไว้ใส่น้ำข้าวก็ได้
“คุณปู่ค่ะ เหยาเหยาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณปู่ต้องดูแลตัวเองให้มากๆนะคะ”
หญิงสาวได้แต่รำพึงกับตนเองแล้วลุกขึ้นเดินกลับมาที่เตาบิ่นๆ นั้น เธอวางทุกอย่างอย่างระวัง แล้วเดินหาสิ่งที่พอจะเป็นเชื้อไฟได้ ยังดีที่เดินป่าบ่อยและยังใช้ชีวิตกับชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล แค่การก่อไฟจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใดนัก เธอเก็บเศษไม้เก่าๆหักๆ และยังใบไม้แห้งที่คงถูกลมพัดมากองในห้องที่เจ้าของไม่เหลียวแล ไม่นานนักเตาที่ร้างการใช้งานมาแรมปีก็เกิดประกายไฟ หญิงสาวยื่นมือไปอังไฟแล้วมาแนบแก้มของตน
“ผอมเกินไปแล้ว แต่ก็นั้นแหละ ได้กินแค่น้ำข้าวแล้วยังมีชีวิตมาถึงเมื่อวานได้ก็นับว่าแข็งแกร่งมากจริงๆ”
เพราะกำลังใจดีแม้ร่างจะยังไม่มีเรี่ยวแรงนัก แต่หลินอวี่เหยาก็จัดการหาภาชนะมาใส่น้ำสำหรับดื่ม นางเดินไปหาหิมะมาต้มน้ำสำหรับสระผม ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง ความรักสวยรักงามย่อมมีอยู่ ไม่มีเม็ดสบู่ ตอนนี้จะหาพืชสมุนไพรคงยาก เอาแค่สางให้ผมไม่พันกันก่อน ถ้าไม่เกรงใจเจ้าของร่างนี้ เธอคงตัดผมทิ้งไปแล้ว ขยับเคลื่อนไหวตัวมากเข้า ร่างกายก็ขับเหงื่อออกมา ความร้อนในร่างทำให้รู้สึกดีขึ้น ตอนนี้หญิงสาวไม่มีสมุด ปากกาหรือดินสอ ไม่มีแท็ปแล็ตหรือสมาร์ทโฟน นางใช้การลำดับสิ่งต่างๆในสมอง อาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญ ในความทรงจำของหลินอวี่เหยาคือจะมีขันทีนำอาหารมาส่ง วันละครั้งหรือสองครั้ง วันนี้มาแล้ว มื้อเย็นอาจไม่มีหรือบางคราวก็สองวันมาครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าก็สำคัญไม่ต้องถามถึงความสวยงามขอแค่ปกปิดร่างกายและสร้างความอบอุ่น หน้าต่างต้องหาอะไรมาปิด ไม่เช่นนั้นลมหนาวทำเอานางเจ็บป่วยได้แน่นอน ม่านมุ้งที่เปือนเก่าไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว เลาะออกน่าจะดีกว่า หญิงสาวหอบเสื้อผ้าที่มีไม่กี่ชุดออกมาพึ่งใกล้ไฟเพิ่มความอบอุ่น ยังดีที่หลังคายังใช้การได้ดี แต่ก็ไม่แน่ ถ้าฤดูฝนมาเยือนก็ไม่รู้ว่าจะกั้นฝน
โศลกเพลิงผลาญใจ ตอนที่04 ตื่น ความหนาวเหน็บปลุกให้หญิงสาวตื่น หลินอวี่เหยาปรับสายตาครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง กวาดสายตาในห้องที่เก่าและทรุดโทรม บานหน้าต่างที่ชำรุดไม่อาจป้องกันสายลมหนาวได้ นางยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าทว่าเส้นผมยาวยุ่งเป็นกระเซิงสางด้วยมือยังทำไม่ได้ “นึกว่าจะตื่นมาแล้วกลับไปที่สถาบันเสียอีก” หญิงสาวถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านี้ อยากกลับบ้านก็ไม่รู้จะกลับยังไง ตอนมาเธอตกเขาแต่ที่นี่ไม่มีภูเขาจะทำซ้ำสถานการณ์เดิมก็ไม่ได้ หลินอวี่เหยาไม่ใช่คนจมกับความทุกข์ ชีวิตที่บ้านเด็กกำพร้าสั่งสอนให้เผชิญกับปัญหาทุกรูปแบบ คิดในแง่ดีก็คือไม่ต้องไปแย่งชิงความโปรดปรานกับผู้ใด แต่ก็คงไม่ใช้ชีวิตขาดอิสรภาพเช่นนี้ไปจนวันตาย ร่างกายนี้อ่อนแอแทบไร้เรี่ยวแรงทรงตัว ได้ยินเสียงประตูใหญ่เปิดออกตามด้วยร่างขันทีผอมบางนำตะกร้าอาหารมาวางบนโต๊ะที่ผุผัง เขาไม่เอ่ยวาจาใดเมื่อทำหน้าที่ตนเสร็จก็หมุนตัวออกไป ทิ้งให้หลิวอวี่เหยายืนนิ่งงันอยู่อึดใจก่อนเดินไปเปิดตะกร้าออกดู “นี่มัน...ของคนกินเหรอ” นางมองข้าวต้มที่แทบเป็นน้ำขาวขุ
เมื่อเธอมาอยู่ในการดูแลของปู่หลิว จึงได้ใช้แซ่หลิวตามท่าน ปู่หลิวไม่ได้แต่งงานไม่มีลูกสืบสกุล แม้เธอเป็นผู้หญิงก็ยินดีรับเลี้ยงด้วยความเมตตา หลินอวี่เหยาอยู่กับปู่หลิวแทบตลอดเวลาจึงซึมซับความรู้ทางพฤกษศาสตร์มาด้วย หลายครั้งที่ปู่หลิวต้องไปประชุมสัมมนาก็พาเธอไปด้วย รวมทั้งขึ้นเขาเข้าป่าเพื่อศึกษาพันธุ์ไม้ต่างๆ จนตอนนี้เธอเดินตามรอยเท้าของปู่หลิน เป็นนักพฤกษศาสตร์หลังจากเรียนจบปริญญาโทและกลับมาทำงานที่สถาบันพฤกษศาสตร์แห่งชาติราวสองสัปดาห์ก่อนได้รับอีเมล์ถึงปู่หลินให้ช่วยวิเคราะห์ว่าในภาพถ่ายนี้ใช่ ‘กล้วยไม้บรรพกาล’ หรือไม่ หลายคนที่ได้เห็นต่างตื่นเต้นทั้งตกใจและดีใจ หากสิ่งที่เห็นคือกล้วยไม้ที่หายสาบสูญไปจริง นั้นแสดงว่าความสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยาในท้องที่นั้น และยังอาจพบพันธุ์ไม้อื่นๆ รวมทั้งสัตว์ป่าอีกด้วยเดิมทีศาสตราจารย์หลินเฉินอี้ จะเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ดันมาตกบันไดเพราะปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟในห้องอ่านหนังสือ โชคดีที่กระดูกไม่แตกหักแต่อักเสบจนเท้าบวมจนใส่รองเท้าไม่ได้ หลินอวี่เหยาจึงอาสาไปตรวจสอบด้วยตัวเอง และโชคดีที่คุณปู่หลิวหรืออาจารย์หลิวเป็นที่รักของบรรดาลูกศิษ
หลินอวี่เหยาเป็นเพียงบุตรีของเสนาบดีฝ่ายพิธีนามหลินเหวินเฉิง แต่หลินอวี่เหยาเป็นบุตรจากภรรยารองซึ่งมารดาของนางมาจากตระกูลพ่อค้าแม้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแต่เมื่ออยู่ในจวน กลับถูกภรรยาเอกกลั่นแกล้ง หลังให้กำเนิดบุตรสาวที่แสนน่ารักได้ไม่เพียงไม่กี่ปี มารดาก็ล้มป่วยสิ้นใจไร้การแลเหลียวของบิดา ในจวนหลังใหญ่โตงดงาม นางเติบโตอยู่ท้ายจวนอย่างเดียวดาย จนเมื่ออายุสิบห้ามีการคัดเลือกหญิงงามเป็นสนมของฮ่องเต้ มิรู้ว่าเหตุใดฮูหยินใหญ่ส่งหลินอวี่เหยาเข้ามาและก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้รับคัดเลือกทั้งที่นางไม่มีความงดงามสะดุดตาเลยสักนิด อยู่บ้านบิดาก็ไม่เหลียวแล อยู่ในวังหลวงฮ่องเต้ก็มิเคยชายตามอง นางไม่เคยได้เข้าเฝ้าถวายการปรนนิบัติเลยสักครั้ง บางทีฮ่องเต้อาจไม่รู้การมีตัวตนของหลินอวี่เหยาก็เป็นได้ เข้าวังได้ไม่นานก็ถูกใส่ร้ายป้ายสีเป็นคนผิดที่ไม่ได้กระทำผิด ฮองเฮาตัดสินโทษให้มาอยู่ที่ตำหนักเย็น บิดารู้ข่าวก็มิได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อยู่ที่นี่ราวกับรอวันตายหรือจะกล่าวให้ถูกต้องหลินอวี่เหยาตายไปแล้วหญิงสาวใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแข็งๆ ดึงผ้าห่มแสนเก่าขึ้นมาคลุมกาย หากหลับตาลงตอนนี
รัตติกาลถูกย้อมด้วยเปลวเพลิงแผ่นดินสะอื้นครวญคร่ำร่ำไห้โชคชะตาชิงชังกักขังข้าฯไว้ หนึ่งปรารถนาเพียงใจได้พบนางเสียงรำพึงรำพันหวานโศกล่องลอยในอากาศราวกับวงแขนที่โอบรัดทว่ามองไม่เห็น ความหนาวเย็บเสียดแทงทุกอณูเนื้อของร่างกายเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ปรารถนาเพียงการจำนนเพื่อปลดปล่อยจากความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งมวล ทว่าเสียงขับร้องบทกวีซ้ำๆ เรียกสติที่เหลือน้อยนิด เหนี่ยวรั้งให้กลับมา‘ไม่ต้องกลัว ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่ากี่ชาติภพ ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ’‘ไม่ต้องกลัว’คล้ายมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ในลำคอ ในที่สุดหญิงสาวสำลักจนอาเจียนออกมาหมดสิ้น ร่างบอบบางพลิกตัวโกงคออาเจียนเป็นน้ำเหนียวข้นสีเหลือง บนพื้นที่มีหิมะปกคลุมบางเบาแต่กลับเห็นได้ชัดว่า นางสำรอกเอาน้ำย่อยออกมา“ดีแล้วๆ อ้วกออกมาให้หมด” มือหยาบกระด้างตบแผ่นหลังของหญิงสาว “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”กระเพาะแสบร้อนไปหมด แต่กระนั้นกลับเรียกสติให้หญิงสาวได้เป็นอย่างดี ดวงตางดงามกวาดมองไปถ้วนทั่วแต่กลับยิ่งมึนงงสับสน“เด็กน้อยของข้า” มือข้างนั้นยังคงลูบแผ่นหลังของนาง “รักษาชีวิตไว้เถิด ให้สมกับที่แม่เจ้ามอบชีวิตนางเพื่อเจ้า”“คุณ...คุณน้าพูดเรื